ท่ามกลางมหาสมุทรไกลโพ้นปรากฏสำเภาใหญ่ที่ไม่มีผู้ใดรู้จุดหมาย ท้องฟ้าถูกย้อมเป็นสีดำ
“กะลาสีละเลยในหน้าที่ แอบมากินเสบียงยามวิกาล โทษคือถูกจับมัดติดกับเสาเรือ”น้ำเสียงอันแหบพล่าเอ่ยขึ้นทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งจนตัวโยน อุณหภูมิโดยรอบลดลงอย่างน่าตกใจความรู้สึกหวาดกลัวเพิ่มมากขึ้น เขาตัดสินใจเอ่ยถามกลับไป
“เสียงใครน่ะ”
ในมุมห้องเก็บเสบียง เด็กหนุ่มหยิบตะเกียงไฟเดินเข้าไปใกล้ ๆกับต้นเสียง เมื่อแสงสว่างฉายชัดเห็นร่างของชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่บนลังไม้ สองมือเหี่ยวย่นประสานกันไว้บนหน้าตักหนวดเคราและผมเพ้ายาวรกรุงรัง เสื้อผ้าซอมซ่อกับรองเท้าบูทเก่า ๆ ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มสร้างความหวาดระแวงให้กับเด็กหนุ่มไม่น้อย
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะไอหนู” ชายชราเอ่ย
“คุณเป็นใคร” เด็กหนุ่มกลั้นใจถาม
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญหรอก แต่ข้าอยู่บนเรือมานานมากแล้ว” ชายชราเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีที่เป็นมิตรก่อนจะถามเด็กหนุ่มกลับ“ไอหนู เอ็งคงไม่ใช่กะลาสีของเรือลำนี้ใช่ไหม”
“ใช่ ผมหนีพวกคนที่เขาจะจับผมขึ้นมา แล้วทำไมคุณถึงมาอยู่ตรงนี้ไม่ขึ้นไปช่วยพวกเขาข้างบนเหรอ บนดาดฟ้าเรือน่ะ” เด็กหนุ่มยังคงไม่ไว้วางใจชายชราตรงหน้า
“เหอะ ดูตัวข้าสิ แก่ขนาดนี้รังแต่จะไปเป็นภาระพวกคนหนุ่มเขาเปล่า ๆ..นี่ลดตะเกียงลงเถอะแล้วมานั่งคุยกับข้าดีกว่า” ชายชราลุกขึ้นลากลังไม้เก่า ๆ หนึ่งลังมาวางตรงหน้าเด็กหนุ่ม
“ตาจะไม่ไปบอกพวกเขาเหรอว่าผมแอบขึ้นเรือ”
“บอกไปให้ได้อะไรละ เอ็งตัวกะเปี๊ยกแค่นี้ใช้งานคงไม่ได้ มีหวังโดนจับโยนให้ฉลามกินมากกว่า เอ้า นั่งลงสักทีสิ ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่อยู่ได้”
เด็กหนุ่มรีบวางตะเกียงลงข้าง ๆแล้วนั่งลงบนลังไม้ที่ชายชรานำมาวางให้เขาทันที
“ดีเหมือนกันมีเอ็งเป็นเพื่อนคุย ข้าน่ะเหงามากเลยนะ ไม่ค่อยมีใครอยากคุยกับข้าเสียเท่าไหร่คนส่วนใหญ่บนเรือมีเรื่องให้ต้องทำเยอะแยะ”
“แล้วตาพอจะรู้ไหมว่าเรือลำนี้จุดหมายมันคือที่ไหน”เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความอยากรู้เพราะตั้งแต่เขาขึ้นเรือมาแอบได้ยินพวกกะลาสีคุยกันว่าเรือลำนี้แล่นไปบนน่านน้ำอย่างไม่มีจุดหมายพวกเขาใช้ชีวิตอยู่บนเรือนานว่าบนบกเสียอีกพอนึกถึงตรงนี้ก็ทำให้เด็กหนุ่มหยุดความคิดลงพลันคิดในใจว่าคงไม่ต่างอะไรกับชายชราที่อยู่ตรงหน้าเขา
เมื่อได้ยินดังนั้นเด็กหนุ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาทันที แต่ความหวังที่จะได้กลับขึ้นฝั่งยังคงมีอยู่
“งั้นตารู้เส้นทางการเดินเรือไหม” เด็กหนุ่มเอ่ยถามต่อ
“แน่นอนไอหนู งั้นข้าขอถาม เอ็งเคยได้ยินเรื่องเล่าของพวกกะลาสีหรือเปล่าล่ะขยับเข้ามาใกล้ ๆ ข้าจะเล่าให้ฟัง”
ไม่มีแม้แต่ลมกระทบผิวหนังแต่กลับทำให้เปลวไฟในตะเกียงสั่นไหวเด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ ตั้งใจฟังเรื่องเล่าของชายชรา
นานมาแล้วในยุคสมัยที่โลกใต้ทะเลปกครองโดยเทพโพไซดอน มนุษย์และเทพต่างก็พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเทพอยู่ได้ด้วยการกราบไหว้เคารพบูชาและมนุษย์ก็มักจะได้รับสิ่งดี ๆ ตอบแทน เช่นเดียวกับชาวประมงคนหนึ่งนามกลอคัส เขาได้รับพรวิเศษจากเหล่าปวงเทพแห่งท้องทะเลและกลายเป็นส่วนหนึ่งของท้องทะเลกลอคัสมีหน้าที่ช่วยเหลือกะลาสีกับชาวประมงให้ผ่านพ้นพายุได้อย่างปลอดภัยเขาทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งวันหนึ่ง กลอคัสตกหลุมรักนางพรายผู้งดงามนามว่าซิลลา
ซิลลาเป็นหนึ่งในบรรดาลูกสาวจำนวนหลายคนของเทพโพไซดอนกับสนมนางหนึ่ง ซิลลามีผิวขาวราวกับไข่มุกดวงตาสีฟ้าครามราวกับท้องทะเล เส้นผมยาวสวยดุจผ้าแพรชั้นเลิศ เมื่อซิลลาเติบโตขึ้นจึงกลายเป็นที่หมายปองของเหล่าเทพหลายองค์เช่นเดียวกับโพไซดอน แต่ความรักที่โพไซดอนมีให้แก่นางกลับเป็นความรักที่มากกว่าผู้เป็นพ่อจะมีให้
เมื่อท่านจ้าวแห่งท้องทะเลรู้ว่ากลอคัสมีใจให้กับซิลลา เขาโกรธมากสั่งให้แม่มดเชอร์ชีปรุงยาพิษทำให้นางซิลลามีรูปร่างอัปลักษณ์เพื่อกลอคัสจะได้ตัดใจในคราแรกแม่มดปฏิเสธเทพแห่งท้องทะเลเพราะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียแต่อย่างใดกับเรื่องนี้เป็นเหตุให้โพไซดอนออกอุบายส่งต่อข่าวลือไปถึงหูของกลอคัสว่าแม่มดเซอร์ซีสามารถทำยาเสน่ห์ได้หวังจะให้ทั้งสองตกหลุมรักกัน
แผนการของโพไซดอนเป็นอย่างหวัง แม่มดเซอร์ซีอ้อนวอนขอความรักต่อกลอคัสแต่กลอคัสยังคงมีรักที่มั่นคงต่อนางซิลลาเท่านั้น
“ท่านแม่มดเซอร์ซี ความรักที่ท่านมีให้ข้าเป็นเพียงยาหอมหากได้สูดดมวันหนึ่งกลิ่นหอมก็จะจางหายไปแต่ความรักที่ข้ามีให้ซิลลาเป็นดังต้นไม้ที่จะคงอยู่ตลอดไปแม้วันหนึ่งจะตายไปแต่เมล็ดพันธ์ก็ยังงอกเงยขึ้นมาใหม่ ข้าก็ไม่มีวันหมดรักนาง”
ความรักเป็นเสมือนดาบสองคม คำพูดของกลอคัสไม่ได้ทำให้นางรู้สึกโกรธแค้นเขาแต่อย่างใดกลับสร้างไฟแค้นที่มีต่อตัวนางซิลลาอย่างมาก แม่มดปรุงยาพิษทำให้ซิลลากลายเป็นอสุรกายน่าเกลียดลำตัวมีหัวงูและหัวสุนัขดุร้ายงอกออกมา ภายในปากเต็มไปด้วยฟันอันแหลมคม ด้วยรูปลักษณ์ที่อัปลักษณ์ทำใหนางต้องทนทุกข์ทรมานสิ่งเดียวที่หลงเหลือในความคิดคือความเกลียดชังและมุ่งร้าย นางหลบหนีไปซ่อนตัวอยู่บริเวรหน้าผาหรือยอดโขดหินสูงคอยจับเหล่ากะลาสีและชาวประมงกินเป็นอาหาร
“หลังจากนั้นเป็นยังไงต่อ แล้วกลอคัสช่วยอะไรเธอไม่ได้เลยเหรอ” เด็กหนุ่มตั้งใจฟังเรื่องราวที่ชายชราเล่าอย่างใจจดใจจ่อ
“ความทุกข์ทรมานของซิลลาไม่ว่าใครก็ไม่สามารถช่วยนางได้ ความเกลียดชังเปลี่ยนให้นางกลายเป็นอสุรกายเต็มตัวสิ่งเดียวที่กลอคัสทำได้คือคอยช่วยเหลือเหล่านักเดินเรือผู้น่าสงสารแต่บางครั้งก็ช่วยได้ไม่หมดทุกคนหรอก เพราะลึก ๆ แล้วกลอคัสก็คงรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้นางกลายเป็นสิ่งอัปลักษณ์เช่นนี้” ชายชราอธิบายด้วยท่าทีที่สุขุม
“น่าสงสารจัง แล้วเรื่องเล่าเกี่ยวอะไรกับเส้นทางการเดินเรือละ”เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไอหนู ข้าน่ะรู้ทุกอย่าง ทั้งเส้นทางและจุดหมายของเรือลำนี้ คงไม่ต่างกับเรืออีกหลายลำที่ข้าเคยเห็นอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าพายุจะซัดคลื่นลูกใหญ่นำพาเรือลำนี้สู่ปากของอสุรกายฉะนั้นข้ามีทางเลือกให้เอ็งสองทางเลือก หนึ่งลงเรือเล็กที่ผูกอยู่ท้ายเรือเพื่อไปผจญจุดหมายของตัวเองกับสองเอ็งยังอยู่บนเรือลำนี้และเดินทางสู่จุดหมายที่เรียกว่าความตายเช่นเดียวกับกะลาสีคนอื่นๆ”
ในตอนนั้นเองเด็กหนุ่มรับรู้ได้ว่าชายชราที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้เป็นเพียงกะลาสีที่ใช้ชีวิตบนเรืออย่างยาวนานแต่เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าของกะลาสีเด็กหนุ่มจึงไม่รอช้ารีบพุ่งตรงไปยังท้ายเรือทันที
เรื่องราวของกลอคัสได้รับการกล่าวขานจากเด็กหนุ่มผู้รอดชีวิต เทพผู้ช่วยเหลือนักเดินเรือยังคงทำหน้าที่ของตัวเองเสมอหากเมื่อไหร่ที่เกิดพายุฝนกลอคัสจะปรากฏตัวขึ้นบนเรือลำนั้น คอยเตือนภัยเหล่ากะลาสีและชาวประมงถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถช่วยซิลลาให้กลับมาเป็นดังเดิมได้ แต่ความรักที่ กลอคัสมีต่อนางยังคงอยู่ไปตราบชั่วกาลนาน
>>>>>> See You Next Story <<<<<<
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in