บางทีเราก็ได้เป็นเพื่อนกับคนที่อายุเยอะกว่า
บอกตามตรงเลยเราไม่ค่อยชอบคุยกับคนอายุเยอะกว่าเท่าไหร่ คือเหมือนว่ามันจะมีความอะไรบางอย่างในตัวเราที่ไม่สามารถคุยกับคนอายุเยอะกว่าได้แบบลื่นไหลเราจะรู้สึกไม่กล้าพูดเล่นหรือคุยอะไรมากเท่าไหร่ ยกเว้นกับบางคนจริงๆคนที่คุยเล่นได้ หยอกมุขแป้กได้ ชอบอะไรคล้ายๆกัน ก็จะมีความกล้ามากขึ้นเหมือนกับอปป้าคนนี้ที่เราได้รู้จัก
ตลกมาก
ดูเหมือนว่าอะไรๆก็เป็นใจให้ได้เจอกัน
เราคุยกันไม่เยอะเท่าไหร่เพราะว่าก็นั่นแหละด้วยความที่เค้าแก่กว่าเกือบ 7 ปี
เราเลยไม่รู้จะชวนคุยอะไร มันเหมือนเป็นคนละช่วงไปเลย
แต่อยู่ดีๆ เราก็ได้คุยกันมากขึ้นเพราะว่าเราอยู่ใกล้กันมาก
จริงๆ ก็มารู้โดยบังเอิญว่าใกล้กัน ใกล้ชนิดที่ว่าเดิน 5 นาทีถึง ช่วงนั้นเราเลยได้สนิทกับอปป้า
อปป้าเป็นเพื่อนคนที่สองของเรา จริงๆก็ไม่ได้เรียกว่าอปป้าหรอกนะ
เราไม่อยากเรียกเท่าไหร่ คือเราคิดว่าคำว่า"อปป้า" มันมีความมุ้งมิ้งอยู่ในคำนี้รู้สึกสยิวนิดหน่อย
ที่ต้องเรียกคนอื่นที่ไม่ใช่นักร้องที่ตัวเองชอบว่าอปป้า
แต่ว่าก็มีบางทีที่เรียกนะ น้อยครั้งมากแบบจนมุมจริงๆถึงจะเรียก
เราหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยชื่อ เพราะไม่อยากเรียกอปป้าเนี่ยแหละ (เป็นอะไรมากมั้ย)
อปป้าไม่ใช่คนโซล (แต่อยู่โซล)
เพื่อนเกาหลีคนที่สองก็ยังไม่ใช่คนเมืองกรุงอยู่ดี
อปป้าบอกว่าบ้านเกิดอยู่ที่ "โพฮัง"
งง อีกแล้ว
เป็นชื่อที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนอีกแล้วและก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ส่วนใหญ่ของเกาหลี
ต้องเปิดกู้เกิ้ลอีกแล้วเพื่อเช็คความบ้านนอกของอปป้า
โพฮังที่วงกลมสีแดงอยู่ทางใต้ๆ เกือบๆจะปูซานแล้วนะเนี่ย
โอเค เช็คแล้วบ้านนอกอยู่พอตัวนะเนี่ย
เรามักจะถามอปป้าเกี่ยวกับโพฮังเสมอ เพราะมันเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับเรา
เราไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย เวลาที่เราถาม คำตอบจากอปป้าก็จะมีแต่แบบเดิมๆ ว่า
"ไม่มีอะไรหรอกเป็นเมืองที่ไม่มีอะไรจริงๆ บ้านนอกที่แท้จริง
ภาษาถิ่นก็มีนะ พูดคล้ายๆกับปูซานนั่นแหละ"
ด้วยความที่ตอนนี้อปป้าอยู่โซลมาก็นานตั้งแต่เรียนปริญญาตรียันตอนนี้กำลังเรียนปริญญาเอกอยู่
ก็เลยชอบโซลมากกว่าบ้านเกิดตัวเอง อาจเพราะเป็นความคุ้นชินมากกว่าด้วย
"ชั้นชอบโซลมากกว่าโพฮังนะอยากจะเป็นคนโซลมากกว่าโพฮังอ่ะ"
ตอนอปป้าพูดประโยคนี้มาเราขำก๊ากเลย พอเข้าเมืองกรุงก็ชุบตัวทันที่เลยเน้อ
ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอมอปป้ากำลังเรียนปริญญาเอกอยู่ มีเวลาว่างวิทยานิพนธ์ก็ทำเสร็จแล้ว
เลยมาเที่ยวกรุงเทพฯ หนึ่งเดือนแต่เป็นการเที่ยวที่ไม่ใช่เที่ยวเพราะไม่ค่อยไปไหนเลยหรือเรียกได้ว่ามาใช้ชีวิตเป็นคนกรุงเทพฯ มากกว่า
เวลาเจอกัน เราก็มักจะถามว่าอปป้าไปไหนมาแล้วบ้าง
อปป้าก็จะตอบว่า
"ไม่ค่อยได้ไปอ่ะ ชั้นไม่ชอบไปเที่ยวที่ที่มีแต่นักท่องเที่ยวเพราะชั้นเป็นคนกรุงเทพฯ ไม่ใช่นักท่องเที่ยว"
เป็นไงล่ะ...
งงล่ะสิ คนส่วนใหญ่เวลาไปเที่ยวต่างประเทศก็อยากไปสถานที่พีคๆ ถ่ายรูปอวดคนในเฟสว่าชั้นมาที่นี่แล้วนะแกแต่อปป้าไม่ใช่แบบนั้นเลย มากรุงเทพฯ เพื่อจะมาทำตัวเป็นบางกอกเกอร์ที่แท้จริง
หนึ่งเดือนของอปป้าที่กรุงเทพฯก็คืออยู่ที่ยิมออกกำลังกายแล้วก็ไปเดินเล่นเที่ยวแถวๆบ้าน ไม่ค่อยไปไหนไกลมากมีบ้างที่นัดเจอกับเพื่อนเกาหลีที่มาอยู่ไทย วนๆอยู่แบบนี้
ข้าวที่ชอบกินก็คือข้าวราดแกง (ไข่ดาว2) อาหารอีสานส้มตำปูปลาร้าของโปรดเลย อปป้าเล่าให้ฟังว่า ครูฝึกที่ยิมเป็นคนอีสานสอนทำอาหารไทยด้วย เคยทำแกงเขียวหวานครั้งนึง ก็พอกินได้ รสชาดสไตล์เกาหลี
ช่วงที่มาอยู่กรุงเทพฯได้สักพักนึง
เรามักจะถามอปป้าเสมอว่ากรุงเทพฯเป็นยังไงบ้าง โอเครึป่าวคำตอบก็คือ
"กรุงเทพฯคือสวรรค์ไม่อยากกลับโซลเลย"
อปป้าบอกว่ากรุงเทพฯเป็นเมืองที่อยู่ได้แบบสบายๆผู้คนยิ้มแย้ม มีน้ำใจ เฮฮา ไม่มีความเครียดใดๆ
ไม่เหมือนกับโซล ถ้าพูดถึงการใช้ชีวิตอยู่ที่โซลก็คือ ทุกคนมุ่งหน้าหาเงิน เงิน เงิน สังคมกดดันเครียดแถมการสมัครงานในโซลก็ไม่ได้ง่าย การแข่งขันสูง พอมาอยู่กรุงเทพฯ บรรยากาศรอบตัวโอเคมากกว่า
แม้จะเป็นเมืองที่เร่งรีบ ผู้คนแย่งกันกินแย่งกันใช้ไม่ต่างจากโซลแต่บรรยากาศทางความรู้สึกมันต่างกันแถมอปป้ายังบอกอีกว่า ว่าจะลองหางานในกรุงเทพฯทำดูแต่ว่าขอคิดก่อนนะ
ในความคิดของเราคือกรุงเทพฯก็ไม่ได้เครียดแบบที่อปป้าว่าจริงๆนั่นแหละ
แต่การ มาเที่ยว กับ การใช้ชีวิต มันต่างกัน
อปป้ามาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯแบบสบายๆ ไม่ต้องตื่นเช้าไปเรียนหรือไปทำงาน ไม่มีภาระอะไร
อปป้ายังไม่เจอกับปัญหาหลายๆอย่าง ในกรุงเทพฯ
เพราะอปป้าไม่ได้มาใช้ชีวิตที่นี่
เพราะอปป้าแค่มาพักผ่อนที่นี่เท่านั้น
ก็เหมือนกับตอนที่เราไปเที่ยวที่โซลเราก็ชอบที่นั่น แน่นอนแหละเพราะเราไปเที่ยวไง
ถ้าเกิดว่าต้องไปใช้ชีวิตจริงๆอาจจะไม่ชอบแล้วก็ได้ มั้งนะ
จริงๆแล้วเราก็ชอบแทบจะทุกที่ที่เราไปเที่ยวแหละ
ประเด็นนี้เราสามารถคิดกันได้หลายแบบนะ
ซีเรียสแล้วอ่ะ ข้ามดีกว่า
พูดถึงโซลบ้างดีกว่า
เราถามอปป้าว่าชอบที่ไหนในโซล ด้วยความอินดี้ของอปป้าแน่นอนว่าคำตอบคงไม่ใช่สถานที่สุดฮิต
"ชั้นชอบที่ที่ไม่มีอะไรในโซล"
งงอีกแล้ว
อปป้าบอกว่า ชอบแถวๆที่มันเงียบๆ สถานที่ที่ไม่มีนักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติ
ไม่ใช่ว่าไม่ชอบชาวต่างชาตินะ แต่แค่ไม่ชอบความวุ่นวาย
ที่ที่มีแต่ชาวต่างชาติมันก็ไม่ใช่เกาหลีแล้วเหลือแต่สถานที่เท่านั้น ในด้านความรู้สึกมันไม่ใช่
โหยยย ซึ้งเลยก็จริงเนอะว่าแต่มันคือที่ไหนอ่ะ
"จำชื่อไม่ได้เหมือนกัน อย่าลืมดิ ชั้นก็มาจากบ้านนอก"
เออลืมไปเลยอปป้าก็ไม่ใช่คนโซล แต่ก็สัญญาว่าถ้าเราไปโซลอีกจะพาที่อะไรแบบนั้น
อปป้าถามกลับว่าแล้วไปที่ไหนมาแล้วบ้างในโซล
เราก็บอกไปที่ที่เคยไปมาทั้งหมด แน่นอนว่าบางที่ก็รู้จักบางที่ก็ไม่รู้จัก
เราถามอปป้าว่าทำไมไม่ไปล่ะ ที่นี่ชอบมากเลยนะ บรรยากาศดีมากๆ
"ชั้นอยู่แต่บ้านอ่ะ เพราะว่าไม่มีแฟนก็เลยไม่ไปเที่ยวไหน"
เห้ยทำไมอ่ะทำไมชีวิตมันเศร้าแบบนี้ เพื่อนไง ไปเที่ยวเดินเล่นกับเพื่อนสิ
"ผู้ชายเกาหลีเค้าไม่เที่ยวเล่นด้วยกันหรอกนะนอกจากไปกินเหล้าด้วยกัน"
เศร้าอย่างต่อเนื่องทำไมจะไปกับเพื่อนไม่ได้ สังคมคนประเทศนี้มันเป็นยังไงกัน
"เศร้าเนอะพวกคนโสดแบบชั้นก็ต้องอยู่แต่บ้าน ออกไปข้างนอกก็เจอแต่คนรักกัน"
สงสาร....
งั้นอปป้าก็หาแฟนสิ
"หาแฟนอ่ะไม่ยากหรอกนะ แต่ผู้หญิงเกาหลีคาดหวังในตัวผู้ชายสูง นิสัยก็ไม่ค่อยดีหวังจะเอาแต่ตังค์จากผู้ชาย ตอนนี้ยังไม่เจอคนที่ใช่ด้วย รอไปก่อนสักพักดีกว่า"
สรุปว่ายังไม่เจอคนที่ใช่ แถมพออายุมากขึ้น เงื่อนไขทางความรักก็มากขึ้นตาม
ตอนนี้อปป้าเลยทำตัวให้ดีพร้อมสำหรับการเป็นแฟนก่อน การเป็นผู้ชายเกาหลีมันไม่ง่ายนะ
ยังไงก็หวังว่าอปป้าจะได้มีแฟนเร็วๆนะ จะได้ออกไปเที่ยวชมบ้านชมเมืองสไตล์คนมีคู่แบบคนอื่นบ้าง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
คนเกาหลีส่วนใหญ่ ก็มักจะคิดว่าชาวต่างชาติที่มาสนใจเรียนภาษาเกาหลีเป็นติ่ง
"ชอบนักร้องเกาหลีหรอ"
ช๊อคเล็กน้อยกับคำถาม แน่นอนว่าเราเคยเป็นติ่งแต่ตอนนี้ก็ไม่ได้อาการหนักแล้ว
เราตอบไปตามความจริง แล้วก็ตามคาดเลย
"นักร้องเกาหลีห่วยแตกจะตาย เลิกชอบไปเลย"
คนเกาหลีบางส่วนก็เป็นแบบนี้นะ ไม่ชอบนักร้องประเภทไอดอลที่หน้าตาคล้ายๆกันหมด
อปป้าคือหนึ่งในนั้น อปป้าบอกว่าไม่ชอบ ร้องเพลงก็บ้าบอ หน้าตาก็เหมือนกันไปหมด เห้อ
อืืม.
เราก็เห้อเหมือนกันเพราะเราชอบไง (เลือดติ่งพุ่งพล่าน)
แล้วอปป้าก็แนะนำให้เราฟังเพลงนู่นเพลงนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเพลงสมัยอปป้าอ่ะนะ (โบราณ)
หรือไม่ก็เป็นเพลงนอกกระแสที่เราก็ฟังอยู่แล้ว
พอเราถามว่าแล้วนักร้องที่ชอบไม่มีหรอโซนยอชีแดอะไรแบบนี้ ผู้ชายที่ไหนไม่ชอบบ้าง
อปป้าก็บอกว่ามันไม่ใช่สไตล์ แน่นอนว่าเราถามต่อว่าอะไรคือสไตล์ของอปป้าล่ะคะ?
อปป้าชะงักเล็กน้อย...
เหมือนไม่อยากบอก...
และ
สุดท้ายก็เปิดรูปกลุ่มนักร้องที่ชอบให้ดู
ภาพที่เห็นก็คือกลุ่มนักร้องญี่ปุ่นวงที่มีสมาชิกในวงเยอะๆ (ไม่ใช่ AKB)
เราจำชื่อวงไม่ได้แล้วแถมโชว์รูปเมน (คนที่ชอบมากที่สุด) ให้ดู
"นี่ๆ ชั้นชอบคนนี้นะ หน้าเหมือนคนไทยเลย เพราะว่าชั้นชอบผู้หญิงไทย ชั้นก็เลยชอบคนนี้"
....ค่ะ
ความติ่งของเราไม่รู้ว่าจะสู้กับความโอตาคุของอปป้าได้มั้ย
เห็นมั้ยคนเราก็มีสิ่งที่ชอบมากๆ ต่างกัน
เพราะฉะนั้นจะมาว่ากันไม่ได้เนอะ
ทำมาเป็นเนอะอปป้า เนอะ
ในที่สุดวันที่อปป้าจะได้อยู่กรุงเทพฯก็เริ่มน้อยลง
วันที่จะกลับโซลก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน ก่อนอปป้ากลับโซลรู้สึกใจหายสุดๆ
เราถามอปป้าว่า เป็นไงจะได้กลับโซลแล้ว ดีใจมั้ย คิดถึงอาหารเกาหลีรึป่าว
"ไม่อยากกลับ การได้มาใช้ชีวิตที่นี่เหมือนฝันเลยกลับโซลไปแล้วก็ต้องไปใช้ชีวิตแบบเดิม น่าเบื่อ อยากอยู่กรุงเทพฯ มากกว่า"
เห้อ.
ความดราม่าระดับนี้เราเข้าใจ
"เมื่อวานชั้นอยู่ในห้องแล้วฟังเพลงไทยเพลงนึง อยู่ดีๆก็ร้องไห้ออกมา"
หืม ฟังเพลงไทย ฟังรู้เรื่องหรอ ? งงมาก
"ฟังไม่รู้เรื่องหรอก แต่ดูเอ็มวีไง มันเศร้าอ่ะแถมคิดเรื่องที่ต้องกลับโซลอยู่ด้วย น้ำตาไหลเฉย"
โห อะไรวะจังหวะนั้นเศร้ามากจริงๆ
สุดท้าย
อปป้าก็กลับโซล เราก็ได้เห็นชีวิตอปป้าบ้างผ่านทางเฟสบุค
สเตตัสล่าสุดหลังจากอปป้ากลับถึงโซล "จากสวรรค์กลับสู่นรก" โหว อะไรจะขนาดนั้น
กลับไปโซลไม่นานอปป้าก็รับปริญญา เราก็ยังคุยกันบ้างถามข่าวคราว
อปป้าชอบบ่นๆว่าอยากกินหมูกะทะกับส้มตำปูปลาร้า
เบื่อแล้วจาจังมยอน หนาวมากที่โซล คิดถึงไออุ่นที่ไทย (ไออุ่น?)
แล้วก็เรื่องสัพเพเหระมากมายฯลฯ
ชีวิตเราเองก็ยังเป็นเหมือนเดิมขาดแค่ไม่ได้เจออปป้าบ่อยๆแล้ว แถมยังไม่รู้ว่าจะได้เจออีกเมื่อไหร่เราดีใจมากที่ได้รู้จักกับอปป้าคนนี้เป็นคนเกาหลีที่ได้คลุกคลีมากที่สุด แถมได้เปิดมุมมองใหม่ๆ
จริงๆแล้วการเป็นเพื่อนกับคนอายุมากกว่าก็ไม่ได้ยากอะไรนี่เนอะ
ไว้เจอกันอีกนะอปป้า
เร็วๆนี่แหละ
:)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in