กราบสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผมจะมาขอใช้พื้นที่นี้ฝึกฝนการวิจารณ์ภาพยนต์ ซึ่งภาพยนต์ที่ผมจะมาวิจารณ์ในวันนี้คือเรื่อง Manchester By The Sea ภาพยนต์แนว ดราม่า จากผู้กำกับและเขียนบท Keneth Lonergan ที่ได้นักแสดงชั้นเยี่ยมทั้ง Casey Affleck, Michelle Williams, Kyle Chandler มาร่วม
ต้องบอกก่อนว่า โดยส่วนตัวชื่นชอบภาพยนต์ ดราม่า แบบนี้อยู่แล้ว ทันทีที่ได้ดูตัวอย่างและโปสเตอร์ต่างๆ ที่ดูมีความเศร้า ก็ทำให้ผมอยากดูมากมายนัก ความยอดเยี่ยมของภาพยนต์เรื่องนี้คือ การได้เข้าชิงรางวัลเกียรติยศทางภาพยนต์อย่าง ออสก้า ถึง 6สาขา คือ ภาพยนต์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม สมทบหญิงยอดเยี่ยม สมทบชายยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม และ บทภาพยนต์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม และได้มา 2 รางวัลคือนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม Casey Affleck และ บทภาพยนต์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม Kenneth Lonergan
เรื่องย่อ
Manchester By The Sea เล่าเรื่องครอบครัวแชนด์เลอร์ ครอบครัวชนชั้นแรงงานจากแมสซาชูเซตส์ที่โจ (ไคล์ แชนด์เลอร์) พี่ชายของลี (เคซีย์ แอฟเฟล็ก) จากโลกนี้ไปอย่างไม่คาดคิด เขาจึงต้องเป็นคนดูแลหลานชาย (ลูคัส เฮดเจส) แล้วลีก็ต้องเผชิญหน้ากับโศกนาฏกรรมในอดีตที่พลัดพรากเขาจากอดีตภรรยา แรนดี้ (มิเชล วิลเลี่ยมส์) และชุมชนที่เขาได้เกิดและเติบโตมา
หนังถ่ายทำที่นอร์ท ชอร์ แห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ ซึ่งหนังเรื่องนี้เขียนบทและกำกับโดย เคนเนธ โลเนอร์แกน (You Can Count On Me, Margaret)
หนังเรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย แมตต์ เดมอน (Jason Bourne), คิมเบอร์ลี่ สจ๊วต (Through a Lens Darkly: Black Photographers and the Emergence of a People), คริส มัวร์ (The Adjustment Bureau) และเควิน วอลช์(The Way Way Back) ผ่านบริษัท K-Period Media
บทวิจารณ์
การเล่าเรื่องของ Manchester By The Sea นั้น เป็นการเล่าเรื่องแบบ Minimalism เน้นความเรียบง่ายในการเล่าเรื่อง
(Exposition) เปิดเรื่อง
หนังเล่าผ่าน ชีวิตของ ลี แชนด์เลอร์ ( เคย์ซี่ เอฟเฟล็ค)ที่อาศัยอยู่ชั้นใต้ดินของอพาร์ทเม้นท์ในเมือง ทำอาชีพเป็นช่างซ่อมประจำอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ ที่วันๆต้องแก้ไขปัญหา ซ่อมนู่นซ่อมนี่ สีหน้า แววตา ของ ลี นั้น บ่งบอกได้ว่า ทำไปตามหน้าที่ที่สุดแสนจะน่าเบื่อ หนังทำให้ผู้ชมอยากที่จะรู้จักนาย ลี แชนด์เลอร์ คนนี้มากขึ้น ด้วยบุคลิกที่ดูเหมือนไม่เป็นมิตรกับใคร เงียบๆนิ่งๆเกรี้ยวกราด ในฉากที่ชกต่อยกันในบาร์ ทำให้เริ่มอยากรู้ว่า เขาเป็นใครกัน ทำไมเขาถึงทำแบบนี้ ผมว่าเป็นการเปิดเรื่องที่ให้คนดูตั้งคำถาม โดยผ่าน พฤติกรรมตัวละครที่มีความขัดแย้งในอารมณ์ที่ดี ทำให้เริ่มอยากรู็จักตัวละครนี้
การพัฒนาเหตุการณ์(Rising action)
หนังดึงอารมณ์ดูไปอีก เมื่อ ลี ได้รู่ข่าวว่า พี่ชายของเขาเสียชีวิต ทำให้ต้องลางาน กลับไปดูแลงานศพพี่ชาย หนังใช้วิธีเล่าเรื่องโดยตัดสลับ (Flashback)ของลี ว่าเขาผูกพันธ์กับพี่ชายอย่างไร แต่ถึงแม้พี่ชายจะเสียชิวิต แต่บุคลิก ของลี ยังคงมีความนิ่ง ไม่มีสติแตก แต่แววตาเขาดูเศร้า อันนี้ต้องขอชม นักแสดง เคย์ซี่ เอฟเฟล็ก ที่แสดงได้สุดยอดจริงๆ
และที่สุดยอดอีกฉากคือ เมื่อเขาถึงโรงพยาบาลที่ศพพี่เขาอยู่นั้น ได้พบเพื่อนเก่าทั้งหมอ และ เพื่อนของพี่ ลีก็ยังมีท่าทีนิ่ง ดูแข็งแกร่งแต่เมื่อเขาได้ไปดูศพของพี่ชาย ความแข็งกร้าวภายนอกนั้น ค่อยๆหายไป เขาร่ำไห้เบาๆ และกอดศพพี่ชายที่รัก การที่หนังตัดสลับ อดีต/ปัจจุบันนั้น ทำให้เราเริ่มรู้สึกถึงความผูกพันของ2พี่น้องคู่นี้ และมันเป็นการเล่าเรื่องที่ฉลาดที่สามารถทำให้คนดูรักทั้ง ลี และ พี่ชาย ไปพร้อมกัน นั่นเท่ากับว่า คนดูเสียใจไปกับลีด้วย
แต่กระนั้น ลีไม่ได้มีแค่เรื่องงานศพพี่ชายอย่างเดียว เขายังต้องดูแล หลานชายคนเดียวของเขา ที่กำลังเป็นวัยรุ่น ซึ่งลี ต้องมาเป็นผู้ปกครองแทน พี่ชายที่ตายไป ลี ต้องทำความเข้าใจ รู้จักหลานในวัยรุ่นให้มากขึ้น เพราะฉะนั้น นี่น่าจะเป็นหน้า Drama กึ่งๆ coming of age คำว่า Coming of age ในที่นี้ อาจไม่ได้หมายถึง หลานชายของลี แค่คนเดียว แต่อาจจะรวมถึง ลี ด้วย
ภาวะวิกฤติ (Climax)
บอกก่อนเลยว่า ฉากclimax ในหนังเรื่องนี้ อย่างที่เห็นตั้งแต่ต้นเรื่อง หลังจากที่ลีเจ็บปวดจากการเสียพี่ชายแล้ว คนดูจะต้องเจ็บปวดในคำตอบว่าทำไม ลี แชนด์เลอร์ ถึงกลายมาเป็น คนบุคลิกแบบนี้ หนังเล่า Flashback กลับไปเห็นถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่สุดของมนุษย์ นั่นคือการสูญเสีย
การสูญเสียครั้งใหญ่ ที่ส่งผลให้ชีวิตคู่ของนาย ลี แชนด์เลอร์พังทลายลง โศกนาฎกรรมในอดีตครั้งนี้นั้น ทำให้คนดูนั้น จุกไปเลย ท้องไส้มันหวิวๆ คนดูพร้อมเข้าใจและเห็นใจ ลี มากขึ้น
การแสดงของ เคย์ซี่ เอฟเฟล็ก ในฉากการสูญเสียนั้น คือที่สุดของหนังเรื่องนี้ เพราะมันเป็นธรรมชาติมากๆ แวตา สีหน้าที่แสนเจ็บปวด คนดูน้ำตาซึม พูดอะไรไม่ออก มันช่างโหดร้ายนัก และคนๆเดียวที่ยืนเคียงข้าง ลี นั้นคือ พี่ชายของเขาเอง โจ แชนด์เลอร์ คนดูจะยิ่งรัก พี่ชายคือ โจ มากขึ้นเพราะ เขาคือคนเดียวที่ เข้าใจลี คอยปลอบ คอยช่วยจัดการชีวิตน้องชาย แววตาของโจ ก็เสียใจ ที่เห้นน้องชายของตัวเองเป็นแบบนี้ คนดูยิ่งรัก ลี และ โจ แชนด์เลอร์ไปพร้อมกัน
"ฉากClimax ของเรื่องนี้ เล่นทำเอา จุก ไปเลย"
ภาวะคลี่คลาย(Resolution)
ลี ต้องทำความรู้จักหลานชายให้มากขึ้น พร้อมทั้งจัดการชีวิตให้ อาจเกิดความกระทบกระทั่งกันบ้างแต่ก็เข้าใจกันได้ในที่สุด การกลับมาบ้านทำให้ ลี พบคนมากมายในงานศพพี่ชาย ทั้งภรรยาเก่า ที่มาพร้อมสามีใหม่ เพื่อนๆคนรู้จักต่างๆ จบงานศพ ก็ต้องจัดการชีวิตหลานที่กำลังเป็นวัยรุ่น เรียนรู้และยอมรับในความสูญเสีย ใช้ชีวิตต่อไปข้างหน้า และจงดูแลคนที่คุณรักให้ดีที่สุด
Character
ลี แชนด์เลอร์ รับบทโดย เคย์ซี่เอฟเฟล็ก
คาแรคเตอร์เป็นแบบกลม (Round Character) เป็นตัวละครที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัว
ชายหนุ่มที่ซ่อนความเจ็บปวดไว้ข้างใน เคย์ซี่ เอฟเฟล็ก แสดงได้ไม่มีที่ติ สีหน้า แววตา น้ำเสียง ทำให้เราเข้าถึง สัมผัสกับตัวละครได้อย่างดี และ เสียใจไปกับตัวละคร นี่คือชาย ที่เจ็บปวดทางอามรมณ์ที่สุด ในภาพยนต์ที่ได้ดูมาในปีที่แล้ว สมควรแล้วที่กวาดรางวัล นักแสดงนำชายมาแทบทุกสถาบัน รวมถึง ลูกโลกทองคำ และ ออสก้าอีกด้วย
โจ แชนด์เลอร์ รับบทโดย ไคลด์ แชนด์เลอร์
พี่ชายแสนอบอุ่น คอยเคียงข้างน้องชายในยามเจ็บปวด เป็นตัวละครที่ทำให้คนดูรัก และ เสียใจกับลี ที่เสียพี่ชายไป
แรนดี้ แชนด์เลอร์ รับบทโดย มิเชล วิลเลี่ยม
ถึงแม้บทเธออาจจะไม่เยอะ แต่การแสดงนั้นยังยอดเยี่ยมเช่นเคย
สรุป
ภาพยนต์เรื่องนี้ เป็นภาพยนต์ ดราม่า ชั้นดี ที่สื่อถึงการสูญเสียของมนุษย์ เข้าถึงความเป็นคนธรรมดา ดูจริงอย่างมาก การคุม Mood & tone ด้วยโทนสีฟ้า หรือ Blue ทำให้ สื่อถึงความเศร้าได้อย่างดี การเล่าเรื่องที่เรียบง่าย แต่โดน ปล่อยหมดฮุกทีเดียว คนดูจุก และสะเทือนอารมณ์
และเอาใจช่วยตัวละคร
- บทดีมาก
- นักแสดงขั้นเทพ
คะแนนจากความคิดเห็นส่วนตัว
9.5/10
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in