เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Lucky Layoff โชคดีที่ตกงานBUNBOOKISH
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จ (ต้อง) อยู่ที่นั่น

  • 2 ปี 11 เดือน 2 วัน
    ก่อนเกิดเหตุ


    เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าเราจะต้องทำงานคอนซัลท์ให้ได้ ก็เลยเริ่มสมัครงานที่บริษัทคอนซัลท์แห่งหนึ่งเอาไว้ตั้งแต่เทอมสุดท้ายก่อนเรียนจบ

    เราจัดการรวบรวมเอกสารต่างๆ ทั้งเรซูเม่ ใบสมัคร ประวัติการศึกษา และใบประกาศกิจกรรมมากมาย รวมถึงเรียงความบรรยายเหตุผลที่เราเลือกสมัครงานในบริษัทแห่งนี้ความยาวหนึ่งหน้ากระดาษเอสี่ นอกจากนี้บริษัทที่เรายื่นใบสมัครยังต้องมีการสอบข้อเขียนอีกหนึ่งด่านด้วย

    และเมื่อผ่านด่านนั้นมาก็ยังต้องเจอการสัมภาษณ์งานแบบ Case Interview ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของการสัมภาษณ์งานบริษัทคอนซัลท์ทั้งหลาย เพื่อทดสอบการคิดหาเหตุผลและวิเคราะห์ตรรกะของผู้สมัครล้วนๆ ด้วยคำถามที่ดูไม่น่าจะมีใครในโลกนี้ตอบได้ถูกต้องหรอก เช่น
  • “เมื่อวานฝนตกทั้งหมดกี่เม็ด” ...
    “ผู้ชายที่ใส่เสื้อสีแดง ยืนอยู่ตรงสี่แยกไฟแดง กำลังจะไปทำอะไร” ...
    “บริษัทยาออกผลิตภัณฑ์ยาลดความอ้วนตัวใหม่ คิดว่าควรจะตั้งราคาขายเท่าไหร่” ...
    “ในกรุงเทพฯ มีวิทยุกี่เครื่อง อ้อ รวมวิทยุในรถยนต์
    ด้วยนะ” ...

    แต่ละคำถามดูยากเกินจะคาดเดา เหมือนขึ้นอยู่กับอารมณ์ของคนสัมภาษณ์ เช่น หันไปที่หน้าต่างแล้วเห็นฝนตก ก็เลยถามว่ามีฝนตกกี่เม็ด ซึ่งให้ตายเถอะ ใครจะไปตอบได้ เมื่อเป็นอย่างนี้จะให้เก็งข้อสอบล่วงหน้าคงไม่ได้ ทำได้อย่างเดียวคือฝึกตั้งสติและคิดวิธีตอบคำถามเอาไว้เยอะๆ อย่างเช่น ถ้าอยากรู้ว่ากรุงเทพฯ มีวิทยุทั้งหมดกี่เครื่อง ก็ต้องคิดก่อนว่าแล้ววิทยุจะมีอยู่ในที่ไหนได้บ้าง หลักๆ ก็ที่บ้านคน ตามสถานที่อื่นๆ เช่น ห้างสรรพสินค้าหรือโรงเรียน รถยนต์ส่วนตัวและรถโดยสารทั้งหลาย ดังนั้นเราต้องเริ่มคิดตั้งแต่ที่ว่า ในกรุงเทพฯ มีจำนวนบ้านกี่หลังคาเรือน (คำนวณจากข้อมูลจำนวนประชากรและเฉลี่ยจำนวนคนต่อบ้าน) แต่เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ทุกบ้านจะมีวิทยุ และไม่ใช่ทุกบ้านจะมีวิทยุเพียงหนึ่งเครื่อง…

    เมื่อรู้ว่าคำถามจะมาแนวนี้ ก็ต้องเตรียมตัวให้หนัก ค่อยๆ ลำดับวิธีการคิดให้รอบคอบและเป็นเหตุเป็นผล

    เราใช้เวลา 2-3 เดือน ไปกับการสมัครงานและฝึกเคสอินเทอร์วิว เรื่องหาบริษัทสมัครงานนั้นไม่เท่าไหร่ เพราะในไทยไม่ได้มีบริษัทคอนซัลท์มากมายนัก การเขียนเรียงความหนึ่งหน้ากระดาษหรือการสอบข้อเขียนก็ไม่สร้างความลำบากอะไรนัก แต่กับไอ้เคสอินเทอร์วิวนี่สิ เรียนการเงินมาสี่ปี วันๆ เอาแต่ทำกิจกรรมถึกๆ เถื่อนๆ รับน้องบ้าง จัดค่ายอาสาบ้าง จัดกิจกรรมหาเงินบริจาคบ้าง ไอ้พวกไปแข่งขันวางแผนธุรกิจอะไรก็ไม่เคยไปกับเขา อะไรที่มันมีสาระพอที่จะเอามาตอบ คำถามฉลาดๆ นี่บอกได้เลยว่าไม่เคยสัมผัส
  • การฝึกเคสอินเทอร์วิวฉบับหฤหรรษ์จึงเกิดขึ้น

    “ถ้าสายการบินหนึ่งประสบปัญหาขาดทุนติดต่อกัน
    มาสองปีแล้ว ควรจะทำยังไง”

    นี่คือคำถามจาก ‘แพง’ คุณเพื่อนผู้ชาญฉลาด เป็นนักแข่งแก้ปัญหาเคสธุรกิจที่สามารถคว้ารางวัลมาได้มากมายเสมือนเทพที่ลงมาสถิตในคณะ เรียนจบด้วยเกรดเฉลี่ยสูงสุด และช่างเป็นความประเสริฐของนางที่มาช่วยซ้อมตั้งคำถามให้เรา

    “................................................”

    “ว่าไงไอ้เป๋า บริษัทจะทำยังไงดี”

    “จะเริ่มยังไงล่ะวะ สายการบินอะไร แล้วบินไปไหนมึงก็ไม่บอก แล้วกูจะไปรู้ได้ยังไง” น้องเป๋าเริ่มโวยวาย

    เจอแค่คำถามแรกก็ไปไม่ถูกแล้ว คนชอบพูดกันว่ายากที่สุดก็คือการเริ่มต้น แต่นี่มันยังไม่ทันได้เริ่มต้นเลยนะกระเป๋า

    “ตั้งสติก่อนมึง ถ้าไม่รู้ มึงก็ต้องถามเขา ถามไปทีละอย่างจนกว่าจะได้สิ่งที่พาไปถึงคำตอบ แต่มึงต้องลำดับวิธีการคิดออกมาเป็นขั้นเป็นตอน อย่าไปถามอะไรโง่ๆ…”

    โห โวยวายนิดเดียว เจอสวนกลับเป็นชุด
  • “อะ มึงลองคิดดูว่า กำไรมาจากอะไร มันก็คือรายได้ลบออกด้วยค่าใช้จ่าย ถูกมั้ย ดังนั้นถ้าจะขาดทุนก็เป็นไปได้สองทางคือ หนึ่ง ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น หรือสอง รายได้ลดลง เพราะงั้นมึงก็ถามไปก่อนเลยว่า รายได้ของสายการบินลดลงหรือเปล่า ถ้าเขาบอกว่ารายได้เท่าเดิม มึงก็รู้แล้วว่าที่ขาดทุนเพราะค่าใช้จ่ายเพิ่ม มึงก็ถามต่อ ค่าใช้จ่ายนี่มีองค์ประกอบอะไรบ้าง...”

    เพื่อนแพงผู้ช่ำชองค่อยๆ ถ่ายทอดวิทยายุทธให้

    กว่าจะได้คำตอบสักเคสหนึ่งก็ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เราฝึกกับคุณเพื่อนแพงอย่างนี้เป็นร้อยๆ เคส จนสามารถสร้างตำราสอบสัมภาษณ์ฉบับกระเป๋าเป็นของตัวเองขึ้นมา บอกได้เลยว่าถ้าเจอคำถามแบบนี้ตามตำราของอิชั้นตรงกับโจทย์ประเภทที่ 5 หรือถ้าเป็นแบบนี้ก็ตรงกับโจทย์ประเภทที่ 17

    และเมื่อมีคัมภีร์ ความมั่นใจก็เริ่มมา
    แต่...

    “อีแพงงงง บริษัทเอ เขาไม่เรียกไปสอบข้อเขียนด้วยซ้ำอะ”
    “อีแพงงงง กูสอบตกข้อเขียนของบริษัทบีแล้วว่ะ”
    “อีแพงงงง กูผ่านสัมภาษณ์รอบแรกกับบริษัทซีแล้วนะ (ทั้งหมดมี 3-4 รอบ) แค่นี้ก็ดีใจมากแล้วว่ะ”

    เหมือนความหวังจะเริ่มมา... แต่ก็ดีใจได้แค่ชั่วคราว

    “อีแพงงงง กูตกสัมภาษณ์รอบสอง”
  • ตอนนั้นเพื่อนแพงได้ทำงานในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งไปแล้ว แถมยังได้เงินเดือนเริ่มต้นเกินหนึ่งแสนมานิดหน่อยกำลังสวย ส่วนเรายังต้องสัมภาษณ์นู่นนี่อยู่เลย ก็เลยเกิดความหวั่นใจว่าหรือเราจะมีศักยภาพไม่พอสำหรับอาชีพนี้กันแน่

    ลำพังเรื่องศักยภาพของตัวเองก็น่าเป็นห่วงแล้ว แต่ก็ยังอุตส่าห์หาเรื่องใส่ตัวในช่วงรอสัมภาษณ์งานอีก

    การสัมภาษณ์งานในบริษัทคอนซัลท์นั้น เรื่องบุคลิกภาพและการแต่งตัวถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ถึงขนาดต้องใส่สูทไปทุกครั้ง ถ้าใส่แค่เสื้อเชิ้ตธรรมดาก็อาจจะถูกมองว่าไม่มีความโปรเฟสชั่นแนลได้ ส่วนเรื่องแต่งหน้าทำผมก็ต้องให้ออกมาสุภาพดูดีและมีความน่าเชื่อถือ

    สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ก่อนจะรู้ตัวว่าถูกเรียกไปสัมภาษณ์งาน เราดันคึกไปทำสีผมมาใหม่ แล้วคุณช่างก็จัดให้เป็นสีทองอร่ามเยี่ยงนักร้องเกิร์ลกรุ๊ปสัญชาติเกาหลี ทองขนาดที่คุณพ่อเห็นแล้วยังแซวเรียกว่าอั้งม้อ เดินไปไหนก็เด่นเป็นสง่า หาความเคร่งขรึมไม่เจอสักนิด ช่างเป็นบุคลิกภาพที่ไม่เหมาะกับอาชีพนี้สิ้นดี

    “อาจารย์ว่าหนูพอจะไปสัมภาษณ์บริษัทคอนซัลท์ด้วยผมสีนี้ได้หรือเปล่า อาจารย์ว่ามันจะน่าเกลียดไปมั้ยคะ”

    ตอนนั้นกังวลถึงกับไปปรึกษาอาจารย์ที่คณะ ที่ขนาดเป็นอาจารย์จบนอกและหัวสมัยใหม่แล้ว อาจารย์ก็ยังให้คำตอบที่ทำร้ายจิตใจคือ ไปย้อมสีดำเถอะลูก จะไปสมัครงานคอนซัลท์นะ ไม่ใช่นักร้อง...
  • วันก่อนนัดสัมภาษณ์ เราก็เลยตั้งใจจะไปซื้อสเปรย์ฉีดผมดำที่ห้างฯ พารากอน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเห็นวางขายเต็มไปหมด แต่พอวันที่จะไปซื้อสินค้าก็ขาดตลาด หมดเกลี้ยง ไปตระเวนดูร้านขายอุปกรณ์ทำผมแถวประตูน้ำก็ไม่มี

    “ฉิบหายแล้วมึง จะสัมภาษณ์งานพรุ่งนี้ ตอนนี้หัวยังทองอยู่เลย ทำไงดี”

    กระเป๋าเริ่มลนลานโทร.ไปขอความเห็นจากเพื่อนแพงเจ้าเก่า

    “ไปร้านทำผมได้ป่ะ ให้เขาโกรกเลย”

    “สี่ทุ่มแล้วมึง ร้านทำผมที่ไหนจะยังเปิดวะ”

    “ทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็ต้องไปทั้งอย่างนี้แหละ มึงผูกผมให้ดูเรียบร้อยหน่อยแล้วกัน” เพื่อนแพงเริ่มตัดบท แต่ก็ยังไม่วายให้กำลังใจทิ้งท้าย

    “ไม่ต้องกลัวเว้ย กูว่าที่ผ่านมามึงหวังน้อยไป มึงคิดว่าแค่ผ่านรอบแรกก็พอใจแล้ว มึงเลยได้แค่ผ่านรอบแรกไง มึงต้องคิดสิว่า มึงอะเก่งที่สุดแล้ว คนจบนอกมาเขาไม่เอาหรอก เขาเอาคนจบไทยอย่างมึงนี่แหละ ยิ่งจบม.ปลายจากต่างจังหวัดด้วย เท่สุดแล้ว คนอื่นเขาหัวดำเรียบร้อยไปสัมภาษณ์ แต่มึงหัวทองดูมีสง่าราศี และถึงวันๆ จะเอาแต่ออกค่ายอาสา ไม่เคยไปแข่งเคสอะไรกับเขาก็เหอะ แต่มึงอะ ต้องได้ชัวร์”

    นี่ตกลงว่าเพื่อนมันกำลังแอบด่าหรือให้กำลังใจกันแน่...
  • ในที่สุดเราเลยเข้าไปสัมภาษณ์ในสภาพผมทองอร่ามตา แต่รวบอย่างเรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

    บริษัทนี้คือความหวังที่ใกล้เคียงกับการจะได้ทำงานคอนซัลท์ของเราที่สุดแล้ว เพราะอุตส่าห์ผ่านการสัมภาษณ์มาตั้ง 5 รอบ ผ่านคนสัมภาษณ์มาถึง 12 คน (ได้เจอคนแทบจะหมดทั้งบริษัทแล้วมั้งเนี่ย) น่าจะต้องได้แล้วสิ

    พี่คนที่สัมภาษณ์เรารอบนี้อธิบายให้ฟังว่า ที่ต้องเรียกสัมภาษณ์หลายรอบก็เพราะถึงจะเป็นบริษัทต่างชาติใหญ่โต แต่สาขาที่กรุงเทพฯ นี้ก็เล็กๆ ดังนั้นการรับใครสักคนเข้ามาในทีมจึงเป็นเรื่องสำคัญ ต้องเป็นคนที่มีศักยภาพพร้อมที่สุด และเข้ากับทีมได้ดีที่สุด เพราะต้องทำงานด้วยกันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน

    แม้จะฟังดูยุ่งยาก แต่ก็ทำให้เราประทับใจที่นี่มาก เพราะเพื่อนร่วมงานก็เป็นปัจจัยสำคัญของคนจิตใจอ่อนไหวใฝ่ดราม่าอย่างเรา การที่ได้เจอทุกคนตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์จึงไม่ใช่แค่การให้เขาได้ทำความรู้จักเรา แต่เราเองก็ได้ทำความรู้จักคนในทีมก่อนด้วย และถ้าสุดท้ายสัมภาษณ์ผ่านขึ้นมาจริงๆ แปลว่าเราก็คงจะเหมาะกับที่นี่แล้วแหละ

    ใช้เวลาสัมภาษณ์อยู่เกือบสองเดือน และแล้วก็มาถึงการสัมภาษณ์รอบสุดท้าย...

    เรามีนัดสัมภาษณ์กับคุณฝรั่งนายใหญ่ของบริษัทตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า โดนถามคำถามยากๆ จนเริ่มมึนไปประมาณสามเคส สัมภาษณ์เสร็จตอนบ่ายเลยขอบินกลับบ้านนอกไปทำใจรอฟังผลที่บ้าน

    จังหวะที่รอขึ้นเครื่องฯ อยู่ที่สนามบินก็มีเบอร์แปลกโทร.เข้ามา
  • “Hello. My name is Chris. I’m calling from ABCD (ชื่อสมมตินะ) consulting firm. May I speak to Kapau please?”

    เฮ้ย! ภาษาอังกฤษ เฮ้ย! …

    “Speaking.” เราตอบไปด้วยความตื่นเต้น

    “We are very impressed with your interviews and would like to offer you a position here.”

    อะไรนะ นี่เรากำลังจะได้งานในบริษัทนี้แล้วใช่มั้ย ไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย!?

    “You have two weeks to make your decision. We hope you choose to join our firm.”

    โอ้โห ไม่ต้องรอตัดสินใจถึงสองอาทิตย์หรอกค่ะ เป๋าตกลงปลงใจตั้งแต่ตอนไปสัมภาษณ์แล้วค่ะ!

    แต่ถึงจะตื่นเต้นจนแทบกรี๊ดอยู่กลางสนามบิน แต่ตามหลักของการเป็นโปรเฟสชั่นแนลแล้ว เราต้องไม่แสดงความดีใจออกหน้าออกตา ต้องทำเป็นขอเวลาตัดสินใจเล็กน้อย ให้ดูเหมือนว่ามีตัวเลือกเยอะ แล้วก็ต่อรองเงินเดือนบ้างให้พอดูมีอำนาจ จากนั้นค่อยตอบตกลงอีกที เรื่องวางฟอร์มอะไรแบบนี้เราก็โปรเฟสชั่นแนลอยู่แล้ว...

    “That’s Okay. I will definitely join your firm. I’m going to tell my mom this good news.”
  • ตอนนั้นนายฝรั่งอาจงงเล็กน้อย ว่าอีนี่จะบอกทำไม ว่าจะไปบอกคุณแม่ อาจจะเริ่มไม่มั่นใจว่าเลือกคนถูกหรือเปล่าวะเนี่ย

    แต่เราน่ะเหรอ จิตใจลอยล่องไปในอากาศแล้ว แค่คิดว่ากำลังจะได้ทำอาชีพในฝันก็ดีใจยิ่งกว่าได้มงกุฎนางสาวไทย ได้รถเบนซ์จากคุณตัน หรือถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเสียอีก

    ชีวิตก่อนกับหลังรับโทรศัพท์มันช่างต่างกันสิ้นเชิง จากที่ตระเวนสัมภาษณ์งานมาหลายบริษัท ตอนนี้เรากำลังจะได้เป็นคอนซัลแทนต์จริงๆ แล้ว!

    ป.ล. พอเข้ามาทำงานแล้วมีแต่คนบอกว่า พี่ๆ ในออฟฟิศจำ ‘น้องหัวทอง’ คนนี้ได้ตั้งแต่ตอนมาสัมภาษณ์แล้วล่ะ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in