เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เป็นโอตะค่ะ!Rada Subphachaisirikul
10 Second Matter
  • 10 วินาทีที่มีค่าที่สุดของคุณ พอจะบอกได้มั้ยคะว่ามันคือตอนไหน? ยากใช่มั้ยล่ะ แต่เมื่อวานทำให้เราตอบได้อย่างชัดถ้อยชัดคำว่า 10 วินาทีที่มีค่าที่สุดของเราคือตอนที่มิวสิค BNK48 ยื่นมือมากุมมือเราทั้งสองข้าง ความอุ่นและนุ่มนั้นทำให้เรารู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ดีมากๆ ในชีวิต

    เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม เป็นวันที่มีงานจับมือครั้งแรกของประเทศไทยเกิดขึ้น งานจับมือเป็นงานที่วงไอดอลในญี่ปุ่นนั้นจัดกันจนแทบจะเป็นเรื่องปกติ รูปแบบของงานเริ่มต้นตั้งแต่วางขายแผ่นซิงเกิล (อันนี้เอาเป็นรูปแบบของวง 48g ที่มาทำในไทยละกัน ถ้าจำไม่ผิดของญี่ปุ่นจะซับซ้อนและเยอะกว่านี้ซึ่งเราไม่แม่นข้อมูล แล้วก็มีแบบของวงอื่นที่ทำในรูปแบบต่างกันด้วย) ในแผ่นซิงเกิลทุกๆ แผ่นจะมีบัตรจับมือ 1 ใบ ซึ่งเท่ากับ 1 สิทธิ์ บางคนก็ซื้อเป็น 10 แผ่นเพื่อบัตรจับมือ 

    ถามว่าทำไมถึงต้อลงทุนขนาดนั้น เพราะไอดอลรูปแบบนี้จะ ห้ามถ่ายรูปคู่ ไม่ทักทายในที่สาธารณะจะดีกว่า ไม่มีที่ให้พูดคุย ไม่สามารถขอลายเซ็นได้ จนดูเหมือนห่างไกล แต่พอมีงานจับมือทีก็กลายเป็นว่าได้ใกล้ชิดสุดๆ พูดคุยแม้จะแค่ไม่กี่วินาที จับมือแน่นๆ และยิ่งเมมเบอร์ที่ร่าเริงและมีรีแอ็กชันที่ดีก็พอจะทำให้เราฟินไปตลอดปีได้เลย

    ทั้งหมดที่เราทำกับเมมเบอร์ได้ในงานจับมือคือจับมือและคุย

    แต่มันคือช่วงเวลาดีๆ ในชีวิตเพราะมันคือไม่กี่ครั้งที่เราจะได้พูดคุยและจ้องตากับคนที่เราชอบ กับไอดอลที่เราชอบ มันคุ้มค่าจริงๆ นั่นคงเป็นสิ่งที่ทำให้คนมากมายไปงานจับมือกัน

    เกริ่นประมาณนี้ก่อน ต่อไปนี้จะรายงานสถานการณ์ในงาน ความเลวร้ายและความดีงามของงานนี้
  • เราไปถึงห้างประมาณ 10 โมง คนลดลงจากตอนเช้าตรู่ที่ได้รับรายงานมาว่าคนเยอะมากๆ ประมาณนึงแล้วแต่ก็ยังเยอะอยู่ดี
    ทีแรกระบบการต่อแถวเป็นดังนี้

    เนื่องจากมีการเปิดขายเข็มกลัดและโฟโต้เซ็ตที่เป็นจำนวนจำกัด ซึ่งสองอย่างนี้แยกบูธกัน แถวจึงแยกเป็นสองแถว ก่อนประตูจะเปิด มันก็แยกเป็นสองแถว แต่เมื่อประตูเปิด จำเป็นต้องมีการตรวจกระเป๋า สแกนร่างกาย ซึ่งมีจุดตรวจได้มากกว่า 1 ผลที่ออกมาคือ ใครตรวจเสร็จได้เข้าก่อน คิวที่ต่อกันมาตอนเช้าก็พังหมด 

    นี่คือสิ่งที่ได้รับรายงานมา

    แต่สิ่งที่เราไปพบคือ มีแถวเดียวที่ต่อได้ ทุกคนไม่มีใครรู้ว่าแถวนี้ต่อไปไหน แต่ถ้าจะเข้างาน ยังไงก็ต้องต่อแถวนี้ เราเริ่มต่อแถวที่โซนด้านขวาของทางเข้างาน แถวมันขดไปเรื่อยๆ และแถวที่อยู่ตรงทางเข้าจริงๆ คือแถวริมซ้ายสุด มันงงมากๆ และขดแถวแบบไร้สาเหตุ และเพราะมันต่อแถวเดียว (ทั้งที่สามารถแบ่งเป็น 2-3 แถวตามช่องตรวจกระเป๋าได้) มันเลยกินระยะเวลานานมากในการเข้างาน

    เมื่อเข้างาน เนื่องจากฮอลล์เป็นวงกลมสภาพที่เห็นคือแถวที่ซ้อนกันไปหมด ทั้งแถวซื้อของแถวจับมือ (เพราะถึงเวลาเริ่มจับมือรอบแรกแล้ว) เลนจับมือวางตัวตามแนวโค้งของวงกลม แถวทุกแถวจะมาชนกันตรงกลาง กว่าจะหาปลายแถวเจอก็เสียเวลาไปอีกหลายนาที อันนี้ผิดพลาดมาตั้งแต่เลือกสถานที่ จนถึงการจัดการแก้ปัญหาใช้สถานที่ให้มีประสิทธิภาพด้วย เพราะยังไงๆ เลนที่วางตัวตามแนววงกลมก็ไม่เวิร์ก

    และทีมงานก็ไม่พอ ที่จริงถ้ามีปัญหาขนาดนี้ ทางออกที่ดีที่สุดควรเป็นการมีป้ายชูท้ายแถว แต่ก็มีแค่ไม่กี่ป้าย แฟนคลับต้องช่วยกันเอง บางคนก็ชูโทรศัพท์ที่เขียนชื่อเมมเบอร์ และเราก็เห็นทีมงานที่พยายามบอกพยายามตอบเต็มที่อยู่นะ แต่เขาตอบไม่ได้หรอกว่าแถวอะไรอยู่ตรงไหน เพราะมันงงมากๆ อันนี้สงสารทีมงานมากกว่า เราเองก็เคยทำงานเป็นทีมงาน เป็นคนที่ต้องคอยบริการคนอื่น มันเหนื่อยและมีปัญหามากมายจริงๆ

    กล่าวโดยย่อคือพังมากๆ
  • มาถึงตอนจับมือ เรามีบัตรอยู่สองใบ ไปถึงก็ต่อแถวมิวสิคเลย (แน่นอนว่าหาแถวนานมาก) ตั้งใจไว้ว่าจะจับมือมิวสิคทั้งสองใบ พอเข้าไปใกล้มากขึ้นหัวใจก็เต้นแรงขึ้น ตื่นเต้นมากๆ 

    ก่อนหน้านี้เรามักจะไปที่ตู้ปลา (เดี๋ยวอธิบายเรื่องตู้ปลาเพิ่มตอนหน้าแล้วกัน) ในวันที่มิวสิคมา ความถี่ช่วงก่อนหน้านี้คือมิวสิคจะไปตู้ปลาสัปดาห์ละครั้ง ทุกครั้งเราจะเอาจดหมายไปให้ฝากให้มิวสิค เราหย่อนจดหมายให้สิคไปประมาณ 2 ครั้งก่อนที่เราจะได้มีโอกาสเข้าไปหน้าตู้ซึ่งปกติเต็มไปด้วยผู้คนบังมิด มีคนใจดีให้เราไปยืนข้างหน้า เลยได้โอกาสชี้บอกสิคที่กำลังถือจดหมายไว้ว่านั่นคือจดหมายของเราเอง นับจากวันนั้นสิคก็เลยจำหน้าเราได้

    พอเข้าไปถึงคิวเราก็ต้องวางกระเป๋า ถอดนาฬิกา และได้โอกาสสุ่มนามบัตรของมิวสิคหนึ่งที ซึ่งอันนี้ไม่ซีเรียส เราไม่ได้หวังอยู่แล้ว และพอเดินเข้าไป สบตากับสิค เสียงก็ลอยมาทันที

    "แฟรี่~~~~~~~~~~~~~~~"

    พอเรายื่นมือไปสิคก้คว้าทั้งสองมือไปจับไว้ มือของสิคนุ่มมากและอุ่นมากๆ เราทิ้งตัวลงไปกับราวกั้นเลยตอนนั้น ดีใจที่สิคยังจำเราได้เนื้อหาการพูดคุยที่เหลือก็เป็นไปตามนี้

    ข้าพเจ้า : โอ๊ยย ขอบคุณนะที่จำเราได้ (ย่อตัวจนพิงกับที่กั้นเลย)
    มิวสิค : คนนี้เราจำได้อยู่แล้ว
    ข้าพเจ้า : แต่ว่าเดี๋ยวเราต้องกลับเชียงใหม่แล้วแหละ
    มิวสิค : แล้วจะได้เจอกันอีกทีเมื่อไรอะ
    ข้าพเจ้า : เอ่อ (จะหมดเวลาเลยปล่อยมือ) เดี๋ยววนอีกรอบๆ

    พอวนรอบที่สอง ความตื่นเต้นน้อยลงหน่อย ตอนนั้นนามบัตรหมดแล้ว

    ข้าพเจ้า : เราไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้เจออีกเมื่อไร (ทุกคนคิดใช่มั้ยล่ะคะว่าถ้าจะตอบอย่างนี้ก็ไม่ต้องวนมาตอบก็ได้ 5555) 
    มิวสิค : เหรอ (เสียงอ่อย)
    ข้าพเจ้า : แต่จะพยายามฝากจดหมายมาให้บ่อยๆ นะ
    มิวสิค : เราจำจดหมายแฟรี่ได้น้า
    จบ. หมดเวลา

    ที่จริงมีอีกอย่างที่อยากบอกสิคแต่ไม่ได้บอก คือ "ซักวันจะต้องเป็น BNK48 ให้ได้เลย รอเราหน่อยนะ" เสียดายที่ไม่ได้บอก มัวแต่ตอบว่าไม่รู้จะได้เจออีกเมื่อไร

    แต่แค่ชื่อของเราถูกเอ่ยโดยสิค แค่นั้นเราก็พอใจแล้ว 
    จะมีอะไรดีไปกว่าการจ้องตาสิค จับมือนั้นแน่นๆ แล้วซึมซับเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตไว้อีกล่ะ?
  • .

    .

    ตอนที่เราเดินออกมา เจอกับการจัดแถวที่ไม่ดี คนที่เยอะและสับสนวุ่นวาย ทีมงานที่ไม่พร้อม เราก็ได้พบว่างานนี้อยู่ได้ด้วยตัวเมมเบอร์
    ความดีงามในการจับมือเมมเบอร์ได้ 100 คะแนนเต็ม ทุกคนทำเต็มที่และดีมากๆ
    แต่เราให้คะแนนของการจัดงาน -100 

    เรารู้สึกดีกับการจับมือเมมเบอร์มากเท่าไร
    งานก็แย่มากขนาดนั้นแหละ

    ที่ยังมีคำชมจากคนร่วมงานอยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะเมมเบอร์ล้วนๆ

    เราหวังว่าทีมงานจะพัฒนาต่อไปนะ



    ปิดท้ายด้วยภาพมิวสิคในงานจับมือแล้วกัน วันนั้นมิวสิคน่ารักมากๆ~

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in