เมื่อเราได้อ่านหนังสือที่เค้าชอบ และแนะนำให้เราอ่าน มันทำให้เรารู้จักโลกอีกใบของเค้ามากขึ้น โลกที่ถ้าคนนอกที่ไม่ได้รู้จักเค้าดีมองเค้าเข้ามา อาจจะไม่เข้าใจว่าเค้าคิดอะไร ทำไมถึงมีความคิดแบบนี้ จนเมื่อเราเกิดการแชร์ความคิดผ่านหนังสือด้วยกัน เหมือนกับว่าเรากำลังอ่านมันไปพร้อมกัน เรากำลังอ่าน 'ความคิด' และ 'ตัวตน' ของคนอีกคนผ่านหนังสือเล่มหนาๆในมือเรา มันทำให้เราเห็นความแตกต่างในความคิด แต่มันเป็นความแตกต่างที่นำไปสู่ความเข้าใจ เข้าใจว่าในโลกนี้มันก็มีคนคิดแบบนี้นะ เป็นอะไรที่เราเข้าใจได้ และบางครั้งก็ดูเหมือนมันจะเวิร์คใช้ได้เลยถึงจะมีทั้งมุมที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่เราสามารถเอาจุดแตกต่างระหว่างกันนั้นไปใช้ในชีวิตของเราได้อย่างสมดุล และลงตัว
จังหวะการเปิดกระดาษทีละแผ่น ทำให้เราเกิดการสัมผัส เกิดความรู้สึก เกิดสมาธิในการไล่ตามตัวอักษรเพื่อให้กระบวนการความคิดดำเนินไปพร้อมกันได้อย่างทันท่วงทีกับตัวอักษรแต่ละคำที่ปลายนิ้วและสายตาไล่สัมผัสผ่านไป เพราะงั้นจึงไม่แปลกใจเลย หากวงการสำนักพิมพ์จะยังสามารถดำรงอยู่ได้ในยุคที่ผู้คนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายดายเพียงแค่ปลายนิสสไลด์สัมผัสหน้าจอเพราะหนังสือเป็นสิ่งที่สามารถเติมเต็มความรู้สึกและความสุขที่มาจากการสัมผัสเหล่านั้นได้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เป็นสัมผัส.. ที่โลกแห่งหน้าจอไม่สามารถเติมเต็มหรือทดแทนได้
“หนังสือบางเล่มเกิดจากความตั้งใจของเราที่จะเลือกหยิบจับมันขึ้นมาด้วยความอยากรู้ แต่บางเล่มเกิดจากการที่เราอยากรู้จักใครสักคน เพื่อให้มันนำพาเราไปให้ได้รู้จักกับโลกอีกใบหนึ่งของเค้า ซึ่งต่อมาโลกใบนั้นก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของโลกของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกที เราก็ขาดมันไม่ได้แล้ว..”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in