ช่วงวันหยุดกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เราได้ออกเดินทางและพบกับเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ซึ่งหลบซ่อนอยู่ในสถานที่เล็กๆ ท่ามกลางหุบเขาของอุทยานแห่งชาตศรีลานนา สิ่งที่เราได้เรียนรู้และสัมผัสแม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงไม่นานแต่กลับสร้างความประทับใจได้มากมายเหลือเกิน เรากำลังแนะนำให้รู้จักกับ "ชุมชนบ้านหลวง" ต.โหล่งขอด อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
จะว่าไปแล้ว พอมานึกๆ ดูคำว่า 'หลวง' ในภาษาเหนือ แปลว่า ใหญ่ ถ้าอย่างนั้นชุมชนบ้านหลวงก็คงจะหมายถึง ชุมชนที่ใหญ่โต แต่วินาทีแรกที่เราหมุนพวงมาลัยจากถนนเชียงใหม่พร้าวผ่านซุ้มประตูทางเข้าวัดพระธาตุดอยเวียงชัยมงคลซึ่งถือเป็นทางเข้าหลักของหมู่บ้าน สิ่งที่เราพบกลับกลายเป็นว่าที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีถนนเส้นน้อยสำหรับใช้สัญจรภายในชุมชน บ้านเรือนหลังน้อยใหญ่ปลูกสลับไปมากับพื้นที่โล่งกว้างซึ่งถูกแบ่งเป็นสัดส่วนมีน้ำเจิ่งนองเพื่อเตรียมตัวเป็นทุ่งนาสีเขียวขจีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และทิวทัศน์ของภูเขาสีเขียวที่ซ้อนทับกันแน่นหนาโอบกอดหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้เอาไว้
เราดับเครื่องยนต์ที่หน้าบ้านหลังน้อยซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของหมู่บ้าน บริเวณลานด้านหน้าเต็มไปด้วยจักรยานนับสิบคัน ส่วนหนึ่งของพื้นที่แบ่งเป็นร้านกาแฟและไอศกรีมที่ตกแต่งด้วยไม้เก่าแบบเรียบง่าย มองเข้าไปที่หน้าบ้านซึ่งอยู่ถัดไปด้านในมีตุ๊กตาปั้นดินเผารูปสิงสาราสัตว์มากมายอวดความน่ารัก น่าเอ็นดูแข่งกับความสดใสของไม้พุ่มสีเขียวนานาชนิด มีป้ายเล็กๆ เขียนชื่อสถานที่ให้เราได้แน่ใจว่าเดินทางมาถึงเป้าหมายของเราแล้ว "บ้านคนกับดิน โฮมสเตย์"
เรายืนสำรวจพื้นที่รอบๆ ด้วยสายตาได้ไม่นานนัก พี่ทิพย์และพี่อ้วน ผู้ริเริ่มสร้างสรรค์พื้นที่แห่งนี้ก็ออกมาต้อนรับเราอย่างเป็นกันเองในทันที พร้อมกับชาเขียวเย็นรสชาติดีและมะม่วง...ที่ตกแต่งใส่จานมาอย่างน่ารัก ถือเป็นการต้อนรับที่อบอุ่นราวกับญาติมิตรเลยทีเดียว เราเกริ่นนำที่ไปที่มาของกันและกันจากนั้นก็ขอเยี่ยมชมพื้นที่ด้านหลังบ้านซึ่งพี่ทิพย์กับพี่อ้วนดัดแปลงไว้เป็นที่พักสำหรับต้อนรับนักเดินทางหัวใจสีเขียว
เมื่อผ่านประตูบานน้อยที่กั้นระหว่างตัวบ้านและร้านกาแฟด้านหน้ากับที่พัก ราวกับหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียว ทั้งไม้พุ่ม ไม้เลื้อย หรือต้นสูงใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่พืชผักสวนครัวที่ปลูกแซมอย่างแนบเนียนกับบริบทรอบข้าง จู่ๆ เราก็รู้สึกว่าตัวเราเล็กลงทันใด ภายในบริเวณเนื้อที่ 130 ตารางเมตร ประกอบด้วยบ้านหลังเล็กๆ 4 หลัง สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงและความคิดแบบธรรมชาติของพี่ทั้งสอง สไตล์ของบ้านมีกลิ่นอายความเป็นชนบทของภาคเหนือผสมกับความเป็นสมัยใหม่ที่ไม่ล้ำเกินไป ขนาดของบ้านก็พอเหมาะกับการพักผ่อนเงียบๆ ในช่วงวันหยุด จริงๆ พี่อ้วนนั้นเป็นนักจัดสวนตัวยงที่กวาดรางวัลมาก็มาก แต่เมื่อสอบถามถึงแนวคิดการจัดสวนแห่งนี้ พี่อ้วนกลับบอกว่าไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมากมาย ไม่ได้ใช้หลักการอะไรเป็นพิเศษ เพราะอยากให้ออกมาเป็นธรรมชาติ ธรรมดา ไม่ประดิษฐ์
แต่ที่สำคัญคือ นอกจากพี่อ้วนจะเป็นนักจัดสวนแล้วยังเป็นเกษตรกรสายเลือดอินทรีย์อีกด้วย พอพูดถึงเรื่องนี้หัวใจเราก็พองโตขึ้นมาด้วยอยากรู้อยากเห็น ไม่รู้ว่าพี่อ้วนเห็นแววตาใสๆ ของพวกเราหรืออย่างไร แกจึงอาสาพาพวกเราทัวร์บ้านหลวงเสียเลย
เริ่มต้นกันที่ วัดพระธาตุหลวงเชียงดาว วัดที่มีโบราณสถานเก่าแก่กว่า 700 ปี เมื่อทราบถึงที่มาที่ไปแทบไม่น่าเชื่อว่า ด้วยเวลาเพียงสิบกว่าปีภายใต้การดูแลของพระครูวรวรรณวิวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยเวียงชัย เจ้าคณะตำบลโหล่งขอด จะสามารถบูรณะวัดแห่งนี้ให้ใหญ่โตสวยงามตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาแห่งนี้ได้สง่างามเช่นนี้ การไปคราวนั้นเราได้มีโอกาสพบกับท่านพระครู และได้ฟังธรรมหรือข้อคิดสั้นๆ จากท่าน ในเรื่องของความไม่ประมาท คนประมาทต่อให้มีเครื่องรางของขลังศักดิ์สิทธ์แค่ไหนก็ช่วยอะไรไม่ได้ จงใช้ชีวิตอยู่ในความไม่ประมาทแล้วไม่ว่าเรื่องไหนๆ ก็จะสามารถดำเนินไปได้ด้วยดี ถือเป็นคำสอนที่เรียบง่ายแต่เป็นความจริงที่สุด หลายครั้งที่เรามักประมาทจนทำให้ต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ แล้วเราก็เอาแต่โทษปัจจัยภายนอกจนลืมไตร่ตรองไปว่าสิ่งร้ายๆ ที่เกิดขึ้นนั้นมาจากความประมาทในการใช้ชีวิตของเราหรือไม่ นอกจากเป็นวัดที่เงียบสงบและสวยงามแล้ว ที่วัดพระธาตุหลวงเชียงดาวแห่งนี้ยังมีโครงการที่กำลังจะจัดตั้งมหาวิทยาลัยชีวิตอีกด้วย เป็นหลักสูตรที่ตั้งใจจะสอนเรื่องการใช้ชีวิตให้เข้ากับธรรมชาติ อยู่อย่างมนุษย์ที่ผูกพันและเกื้อกูลต่อกัน ประชาชนทั่วไปที่สนใจก็สามารถมาร่ำเรียนกันได้โดยใช้เวลาประมาณ 3 ปีครึ่งหลังจากจบหลักสูตรจะได้ประกาศนียบัตร ถือเป็นโครงการที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อชุมชนและคนทั่วไปอย่างมาก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in