เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
os,sf whatevergreenasavocado
#แจมที่มีหางเต่า
  • note : ไม่สนุก ไม่รู้แต่งไปทำไมด้วย 

    แค่คิดถึงสมัยเรียนมัธยม

    และอยากให้น้องไปเชงเม้ง




    #แจมที่มีหางเต่า 

               “เชี่ยโน่”

               “ไร”

               “ไอ้เชี่ยโน่”

               “อะไรของแม่ง! แป๊ปดิจะเสร็จแล้วเนี่ย” เจโน่พูดพลางกดหัวน้ำยาลบคำผิดลงบนโต๊ะไม้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะปิดฝาแล้วเกาจมูกด้วยความภาคภูมิใจ

               “อีมุกมาแล้ว!”

               “สัด”

               “เหี้ยโน่ ไอ้สันดาน!!!!” และแน่นอนว่าการที่โน่ใช้โต๊ะเรียนหนังสือของเพื่อนต่างกระดานวาดรูปก็ทำให้โดนร้องเท้าป๊อปทีนเบอร์สามสิบแปดปาเข้าให้ที่กลางกบาลด้วยความแรงเท้าที่เด็กผู้หญิงคนนึงจะทำได้

               แต่ๆมันยังไม่จบแค่นั้น มุกวิ่งตามเจโน่ออกมานอกห้องทั้งที่มีรองเท้าข้างเดียว ในมือถือด้ามที่โกยขยะที่สนิมเขรอะมาด้วยอีกต่างหาก

               อะไรกัน นี่กะจะเอาให้ตายกันเลยหรือไง มุกมันควรดีใจด้วยซ้ำที่ผลงานมาสเตอร์พีซของเจโน่ไปปรากฏอยู่บนโต๊ะมัน โงคูตอนปล่อยพลังเนี่ย เท่ห์อย่าบอกใครเชียว

               “อีมุก กูขอโทษได้มั้ยล่ะ” เจโน่ไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมห้องไปเอาเรียวแรงมาจากไหนถึงไม่ยอมหยุดวิ่งตามกันสักที

               “แล้วมึงมาสะเหล่อเขียนโต๊ะกูทำไม! วันหลังไปซื้อกระดานมาวาดเล่น ไอ้คว๊าย!”

               “ก็ขอโทษไง เดี๋ยวกูไปแก้เป็นมายเมโล่ดี้ให้ ..โอ้ย!” รองเท้าป๊อปทีนอีกข้างถูกปามาที่กลางหลัง เจโน่สาบานได้เลยว่ามันต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้อย่างแน่นอน

               “ยังจะพูดอีก!”

               “อีชิบหายมุก พอแล้ว หายกันดิ หลังกูก็เปื้อนแล้วอ่ะ หยุดไล่กูซักที!

               “ไม่ จนกว่าเลือดหัวมึงจะออก!”

               “อีมุ๊..เฮ้ย” เพราะว่ามัวแต่หันหลังไปเจรจากับอียักษ์ขมูขีก็เลยไม่ได้สนใจมองทางหน้า เจโน่วิ่งชนเข้ากับใครซักคนที่เดินมาจนอีกคนเซไปแปะกับผนังอีกฝั่ง

               “เฮ้ย โทษทีๆ” เจโน่เตรียมวิ่งต่อ แต่ไม่ทัน เขาถูกมุกจับคอเสื้อไว้จากด้านหลังแล้วดึงจนแทบจะรัดคอ   

               “สันดานไม่ดี!” มุกเปิดฉากด่าเขาต่อหน้าคนแปลกหน้าที่ยังคงตัวแปะผนังอยู่ท่าเดิม “มึงขอโทษเค้าเลย”

               “ไรว้า” เจโน่เกาหัวแกร่กๆอย่างไม่รู้จะทำยังไง

               “เร็ว ไม่งั้นกูฟาดจริงอ่ะ”

               “อีนี่ก็ดุจั๊ง” เจโน่เอี้ยวตัวหลบมุกที่ง้างไม้เตรียมฟาดแล้วหันไปหาผู้ชายอีกคนที่ยืนมองอยู่ “ขอโทษครับ เมื่อกี้ไม่ได้มอง”

               “เอ่อ ไม่เป็นไรอ่ะ”

               

               เจโน่คุ้นหน้าของผู้มาใหม่ตะหงิดๆ เขาไม่รู้ว่าเผลอจ้องไปนานเท่าไหร่ อาจจะนานเป็นนาที แต่ก็นึกไม่ออกอยู่ดี 

               

               “เธอรู้จักห้อง307มั้ย มันไปทางไหน” 

               “เธอจะไปทำอะไรที่นั่นอ่ะ” มุกพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงจนเจโน่ต้องเบะปากให้กับความตอแหลของเพื่อนร่วมห้อง

               “เราย้ายมาใหม่อ่ะ นั่นห้องเรียนเรา”

               “เอ้าเหรอ..”

               “อื้อ”

               “ห้องเดียวกันเลย ไปดิ เดี๋ยวพาไป”

               “อ๋อ ขอบคุณนะ แล้วนี่เธอชื่ออะไร”

               “เรามุก เธออ่ะ”

               “แจม” หืม เจโน่หันขวับทันทีที่ได้ยินชื่อของเจ้าตัว

               ‘เชี่ย ใช่แล้ว’เจโน่พูดกับตัวเองเบาๆพร้อมกับความรู้สึกหลากหลายที่ตีขึ้นมาในอก

               เจโน่ลากมุกออกมาเล็กน้อยแล้วกระซิบให้พอได้ยินกันสองคน “อีมุก นี่ไง”

               “นี่ไงเหี้ยไร”

               “มึงก็เอาโต๊ะโงคูให้มันนั่ง แล้วมึงก็ไปนั่งอันใหม่”

               “สันดานเหี้ย”

               “ลิควิดมันเหม็นนะมึง เอาไม่เอา”

               “เออ”

               “วิ่งดิ รอไรวะ”

               เจโน่ตบเข้าที่หน้าอกด้วยความภาคภูมิใจที่โน้มน้าวจิตใจเพื่อนสำเร็จก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับไอ้ตัวดีที่ที่เป็นอริเก่ากันมาตั้งแต่สมัยชาติปางก่อน

               “เต่า..”

               “ห้ะ”

               “ไอ้หางเต่า”

               “อ๊อ นี่มึงเองหรอไอ้ตาตีบ”

               “เออ เวลคั่ม ทู เฮล”

               

    #แจมที่มีหางเต่า



               เฮลที่แท้จริงเกิดขึ้นตอนที่พบว่ามุกจัดแจงย้ายโต๊ะโงคูมาอยู่ติดกับโต๊ะเจโน่ทั้งๆที่มันเป็นโต๊ะเดี่ยวตัวเดียวในห้องมาโดยตลอดเพราะจำนวนนักเรียนเป็นเลขคี่ และเจโน่ก็พอใจจะให้มันเป็นแบบนั้น

               “ขยะแขยง”

               “กูเองก็เหมือนกัน อี๋ เหม็นเต่า”

               “สัด”

               เจโน่กับแจมเป็นญาติกัน เป็นญาติห่างๆๆๆๆ ห่างมากๆจนไม่ต้องนับว่าเป็นญาติเลยก็ได้ ทั้งสองคนเจอกันที่งานรวมญาติเป็นประจำอย่างน้อยปีละสามครั้ง ตรุษจีน สารทจีน เชงเม้ง

               เจโน่จำได้ดีว่าเคยถูกจับแต่งตัวเหมือนกันอย่างกับแฝดเพราะเป็นเด็กผู้ชายที่วัยไล่เลี่ยกัน เจโน่ร้องไห้แทบเป็นแทบตายเพราะคิดว่าแต่งตัวเหมือนเด็กผู้หญิง เป็นผู้หญิงต้องผมยาว แจมผมยาว เพราะฉะนั้นแจมเป็นผู้หญิง

               

               กว่าจะมารู้ก็ตอนสิบขวบแล้วว่าไอ้ผมยาวๆที่ท้ายทอยนั่นเรียกว่าหางเต่า เจโน่ล้อแจมแบบนั้นทุกครั้งที่มีโอกาสจนมีปีหนึ่งที่แจมสุดจะทนใช้มือตบเข้าที่ปากเจโน่จนเลือดกบปากจริงๆก็ไม่ได้ตีแรงเท่าไหร่หรอก ฟันมันโยกอยู่แล้วด้วยแหละ

               และนั่นก็เป็นภาพสุดท้ายของไอ้แจมในความทรงจำ พอเริ่มขึ้นมัธยมก็แทบจะไม่ได้เจอกันอีก เจโน่ไม่รู้ว่ามันจะยังเป็นเด็กดีไปร่วมงานทุกครั้งหรือเปล่า แต่เป็นเจโน่เองที่โดดทุกครั้งที่มีโอกาส อ้างว่าไปเรียนเสริมบ้างล่ะ ไม่สบายบ้างล่ะ แต่จริงๆแล้วเจโน่ก็แค่อยู่บ้านเล่นเกมส์เท่านั้นเอง

               เจโน่ไม่ชอบการถูกเปรียบเทียบ ถึงแม้ว่าป๊าม้าจะไม่ได้กดดันอะไร แต่ผลการเรียนของตัวเองก็กลายเป็นอะไรที่ทำให้เขาไม่กล้าออกไปเจอญาติๆเองมากกว่า

               เคยมีปีนึงที่อาเจ็กขับรถหอบเอาลูกชายตัวเองที่สอบติดหมอมาอวดถึงบ้านญาติๆทุกคนด้วยตัวเอง มิหนำซ้ำยังมาพร้อมกับคำดูถูกถากถาง ลำพังเจโน่เองโดนพูดแบบนั้นใส่น่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่พอนึกถึงหน้าป๊าม้าที่ยิ้มแห้งๆแบบนั้นแล้วก็รู้สึกเจ็บในอกทุกที  

               ตอนนั้นเขาอยู่แค่มอสามเอง ทำไมถึงจะต้องมาโดนอะไรแบบนี้แล้ววะ เจโน่ได้แค่คิดในใจ

               


    #แจมที่มีหางเต่า


               “ฮุ”

               “ฮุ”

    แจมินกับเจโน่ส่งเสียงแสดงความไม่พอใจออกมาในวันที่โรงเรียนมีซ้อมหนีไฟ ลำพังแค่วิ่งขึ้นตึกลงตึกเจโน่ไม่มีปัญหาหรอก จนมาถึงตอนที่ต้องซ้อมจับกับข้อมือของคนด้านข้างเพื่อทำเป็นฐานในการอุ้มคนเจ็บ 

    “อี๋”

    “กูก็รังเกียจเหมือนกันเหอะ มึงอย่ามากระแดะ”

    “กลับบ้านไปกูต้องลอกหนังตรงนี้ทิ้ง”

    “กูตัดแขนหาอันใหม่มาใส่เลย”

    “เวอร์และไอ่หางเต่า”

    “มึงเริ่มก่อน” แจมบีบข้อมือเจโน่แรงขึ้น “อีกอย่างนะ กูไม่มีหางเต่าแล้วเว้ย”

    “แล้วยังไง มึงหนีความจริงไม่ได้หรอก” เจโน่เองก็ไม่ยอมแพ้ ออกแรงบีบข้อมือแจมจนนิ้วขึ้นข้อขาว

    “มึงสิไอ้หลอ”

    “ฟันขึ้นแล้วโว้ย”

    “แล้วยังไง มึงหนีความจริงไม่ได้หรอก”

    “กวนตีน”

    “กูจะย้ำอีกทีนะ มึงเริ่มก่อน ไอ้ตาตีบ”

    .


               “มึงรู้จักกับเด็กใหม่ด้วยหรอวะ” แฮชเปิดฉากถามทันทีที่เจโน่หย่อนก้นลงบนเก้าอี้โรงอาหาร 

               “ให้กูแดกก่อนมั้ยล่ะ”

               “นี่กูก็อดทนเอานิ้วจิกต้นขามาตั้งแต่คาบสามแล้ว บอกกูเถอะ”

               “จิ๊”

               “เออ กูนั่งอยู่ข้างหน้าได้ยินหมดอ่ะ ที่มึงเถียงกะมัน” ไอ้จุนเสริม

               “ก็ได้ยินแล้วไง รู้จัก”

               “ไปรู้จักกันได้ไง”

               “ญาติกู แบบหลานของอาเหล่าม่าที่เป็นเมียคนที่สองของอาเหล่าอากงที่เลิกกันแล้วไปมีสามีใหม่ คือเป็นหลานของอาเหล่าม่ากับสามีใหม่ งงมั้ย”

               “มึงควรวาดเป็นแฟมิลี่ทรี”

               “ก็จะลงทุนเกินไป”

               “เออ มันห่างๆอ่ะ ห่างมากๆ แบบก็เจอกันแค่ตรุษจีนสารถจีนพวกเนี้ย เวลาที่อาเหล่าม่าที่เป็นเมียคนที่สองของอาเหล่ากงกูที่เลิกกันไปแล้วมาไหว้”

               “อ่อ..”

               “อ่อนี่เข้าใจยัง”

               “ไม่ค่อย”

               “สัด”

               “ชื่อไรนะ”

               “แจม”

               “เอ๊ะ..” จุนทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “กูจำได้ละ ตอนเข้าค่ายตอนนั้นอ่ะ ที่แอบกินเหล้า มึงเคยพูดว่าคิดถึงแจม.. คนนี้แน่เลย”

               “เอ้า ยังไงครับจิระ มึงชอบเค้าหรอ”

               “สัด ไม่ได้ชอบ”

               “คนเกลียดกันเค้าไม่คิดถึงกันนะมึง”

               “...”

               “คิดดีๆ พวกกูไม่ล้อหรอก”

               “...”

               “แต่จะแซวบ้างเป็นบางโอกาส”

               “สัด”


    #แจมที่มีหางเต่า 



               “อุ้” แจมแสร้งเอามือปิดปากกลั้นหัวเราะแล้วมองไปทางอื่นเพราะเห็นคะแนนสอบหลักหน่วยเต็มห้าสิบของเจโน่

               ส่วนเจ้าของผลงานเองก็แค่ยักไหล่เบาๆแล้วยัดข้อสอบเข้ากระเป๋าลวกๆ

               “โน่ มึงได้เท่าไหร่”

               “ไม่น่าถาม”

               “ตั้งใจเรียนหน่อยดิวะ มอห้าแล้วนะ” เจโน่โดนจุนดุมาตั้งแต่สามปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย บางทีก็แอบคิดเหมือนกันว่าจุนจะพูดให้มันเปลืองน้ำลายทำไมในเมื่อสุดท้ายแล้วเขาก็ทำไม่ได้อยู่ดี

               ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรียกว่าอะไร เหมือนหมดหวังในตัวเองมั้ง ฝ่ายแอนเจิลในหัวสมองไม่เคยเอาชนะฝ่ายเดวิลได้เลยซักครั้ง จนมันปลง มันชินชาไปหมด

               ใช่ว่าเจโน่จะไม่เคยพยายาม แต่พอได้เริ่มไปนิดนึงแล้วก็รู้สึกว่านี่มันคือการทรมานตัวเองชัดๆ ทำไมคนเราต้องทนอยู่กับอะไรที่ตัวเองไม่ชอบ ไม่รู้จริงๆ

               หลังจากลองพยายามอยู่สองสามหน เจโน่ถอดใจ แล้วเดินไปบอกพ่อแม่ตรงๆว่าจะขอเข้ามหาลัยเอกชน และพ่อแม่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการตัดสินใจของเขา แต่ก็อย่างที่บอก ครอบครัวคนจีนน่ะมันใหญ่ และมีการ keep in touchกันตลอดเวลา ปัญหามันเลยไปหนักที่หัวญาติๆคนอื่นเสียมากกว่า 

               “ไม่ใช่แนว” เจโน่พูดติดขำแล้วควักโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเกมส์ต่อสู้ออนไลน์ที่กำลังฮิต

               “ว้าย โง่หนิ”

               “ก็ไม่เคยบอกว่าตัวเองฉลาด”

               “ทำตัวแบบนี้ก็สมควร” แจมยังคงพูดตอกย้ำ

               ต้องยอมรับตามตรงว่าเจโน่เริ่มมีน้ำโหที่สุดเท่าที่จะเคยมีกับคนรุ่นเดียวกัน แจมนี่มันสมกับเป็นญาติของเขาจริงๆ ญาติเหี้ยๆที่คอยแต่จะกดคนอื่นให้ต่ำลงอยู่เสมอ

               

               “...” เจโน่กำโทรศัพท์ในมือแน่นอย่างข่มใจ 

               “ป๊าม้ามึงคงเศร้าน่าดูเลยนะ มีลูกแบบมึงเนี่ย” โอเค มันถึงขีดสุดแล้วที่เจโน่จะทนไหว มันเหมือนญาติคนอื่นจริงๆmindset แบบเดียวกันเป๊ะๆเลย

               “ป๊าม้ากูไม่ได้พูดอะไรแล้วมึงเสือกอะไร”

               “...”

               “ปากว่างมากก็เก็บไว้อมเหรียญเหอะ ส้นตีน” เจโน่ดันโต๊ะของตัวเองไปข้างหน้าอย่างแรงแล้วกระเดินฟัดกระเฟียดออกจากห้องเรียนไป

               เขาไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามายืนอยู่ที่นี่ทำไม รู้แค่ว่าถ้าอยู่ตรงนั้นต่อไป ตาของไอ้คนข้างๆต้องมีรอยช้ำเป็นวงจากหมัดของเจโน่แน่นอน

    ,


               เจโน่ไม่เคยโมโหร้ายขนาดนี้มาก่อน ทั้งแฮช แจม และจุนก็ต่างตกใจมากด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะแจมที่เป็นคนพูดถ้อยคำร้ายๆพวกนั้นออกไป

               “มันโกรธเราแน่ๆเลย”

               “เราก็ว่างั้นแหละ” แฮช

               “แจมพูดแรงไปรู้ตัวใช่ไหม”

               “อือ เรารู้สึกผิดอยู่”

               “...”

               “ทำไงดี ไม่เคยเล่นแรงขนาดนี้เลย” มันผิดคาดจริงๆเพราะแจมตั้งใจจะให้เจโน่เถียงอะไรกลับมาซักอย่าง ไม่ใช่ซีนอารมณ์แบบนี้

               “ก็ขอโทษแหละ”

    ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีเหมือนเดิม แต่มันก็ไม่เคยดีอยู่แล้วนี่ ขอแค่ไม่แย่ไปกว่านี้ก็พอ ยังไงก็ต้องนั่งข้างกันอีกตั้งนาน

    แจมไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเจโน่ไปหลบอยู่ที่ไหนถ้าไม่ได้แฮชพาไป คนที่โมโหแล้วกินไม่ยั้งมันมีอยู่จริง อย่างน้อยก็เจโน่ที่จ้วงลูกชิ้นถุงเบ้อเริ่มอยู่ที่หลังห้องการงานในตอนนี้

               แจมค่อยๆย่องเสียงเบาเหมือนแมวแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเจโน่ที่เหลือบมามองด้วยหางตาแล้วตั้งใจกินของที่อยู่ในมือต่อ

               “เหม็นเต่า ออกไปไกลๆ”

               “...”

               “จะมาปากเสียอะไรอีก วันนี้ไม่มีอารมณ์”

               “..ป่าว”

               “...”

               “ขอโทษอ่ะ”

               “...”

               “กูพูดลืมคิด”

               “...”

               “ไม่ได้มาพูดให้มึงหายเกลียดกูนะ”

               “...”

               “แต่ถ้าเกลียดมากขึ้นก็อยากให้มึงลดลงมาเกลียดเท่าเดิม”

               “...”

               “แบบ อยากให้แฟร์ๆ เพราะกูก็ยังไม่หายเกลียดมึง อีหลอ” 


    #แจมที่มีหางเต่า


               แจมมาถึงโรงเรียนเช้ากว่าปกติเพราะพ่อมีธุระต้องไปทำต่อ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งคุยเล่นกับเพื่อนที่โรงอาหารก่อนเพลงมาร์ชโรงเรียนจะดัง

               จุนกับแฮชกวักมือเรียกแจมไปนั่งด้วยกันหลังจากที่เห็นใบหน้าง่วงมึนนั่นเดินเข้ามาในบริเวณโรงเรียน

               บ้านแจมทำร้านทองอยู่ที่อำเภอรอบนอกของจังหวัด กว่าจะมาโรงเรียนก็ใช้เวลานานพอสมควรถึงต้องตื่นเช้ากว่าเพื่อนๆ ส่วนเจโน่เองก็เหมือนกัน ที่บ้านเป็นร้านทองเหมือนกัน ชื่อเหมือนกัน ต่างกันที่เป็นสาขาในเมืองเท่านั้นเอง

               “มึงกูก็ได้นะแจม ไหนๆก็เรียนห้องเดียวกัน”

               “อ..”

               ปุ๊! ปุ๊!

               

               แรงของอะไรสักอย่างที่ลอยมาแปะหลังทำให้แจมต้องชะงักคำพูดที่จะตอบแฮชแล้วหันไปมองที่ต้นเสียงแทน

               ความรู้สึกถ่วงๆที่เสื้อทำให้คนใส่พอจะเดาได้ว่ามันคืออะไร พอยื่นมือไปแตะก็..ชัดเลย ไข่มุกเหนียวๆติดอยู่ที่เสื้อด้านหลังของแจมเต็มไปหมด

               “เหี้ยโน่!”

               เคยดูคลิปที่มีsound effect เป็นเสียงพูดว่า run!ไหม ตอนนี้เจโน่รู้สึกแบบนั้นเลย วันนี้ก็โดนไล่กวดอีกแล้ว แตกต่างกันตรงที่หนีวันนี้ไม่ใช่ที่โกยขยะแต่เป็นส้อมโรงอาหารแทน

               เจโน่คิดว่าตัวเองแน่แค่ไหนถึงได้วิ่งไปด้วยหันมาเป่ามุกใส่แจมินรัวๆแบบนั้น

               “ขอให้มุกติดคอมึงตาย!”

               เจโน่หันมาเป่ามุกอีกครั้งอย่างไม่เกรงกลัว ก่อนที่จะต้องเบรกดังเอี๊ยดเพราะหลังจากนั้นไม่กี่นาทีคุณครูยักษ์มาพร้อมกับไม้เรียวในมือพร้อมกับเรียกนายจิระ!ลั่นโรงอาหารทั้งๆที่ตอนนี้เจโน่เป็นเหยื่ออยู่ด้วยซ้ำ 

    เดาว่าครูคงไม่รู้จักชื่อไอ้แจมก็เลยเรียกเขาแทนละมั้ง

               “จัดการมันเลยครู เอาส้อมมาเล่น อันตราย”

               “แต่จิระเริ่มก่อนนะครับ”

               “อืม ครูเห็น”

               “...” และแน่นอนว่าเมื่อเรื่องมาถึงครูแล้ว เจโน่จะทำไรได้นอกจากจ๋อย

               “จิระ แลกเสื้อกับเพื่อน”

               ราวกับฟ้าผ่าลงที่กลางใจ ตอนนี้เสื้อที่มีลายจุดกรังๆและมีชื่อ จิรัฎฐ์ปักอยู่บนอกได้มาอยู่บนตัวของเจโน่แทนแล้ว

               “มึงรู้จักคำว่าเวรกรรมมั้ย ไอ้หลอ” แจมพูดพร้อมกับแลบลิ้นใส่ปิดท้ายฃ

               หลอกใครก็หลอกได้ แต่จะหลอกตัวเองเจโน่ก็หลอกเหมือนกันว่าไม่พอใจเลยสักนิดที่ได้ใส่เสื้อของมัน ไม่พอใจเลยจริงๆ เลอะก็เลอะ เหม็นก็เหม็น ชื่อก็กาก วุ๊ว ใครจะไปชอบ


    ,


               “ฮุ! /ฮุ!” เจโน่กับแจมถอนหายใจแล้วสะบัดหน้าออกจากกันทุกครั้งที่บังเอิญเหลือบไปสบสายตากับคนข้างๆ

               “หยุดดิ๊”

               “...”

               “ไอ้ตาตีบ มึงหยุดซักที”

               “อะไรมึง”

               “มึงอย่าสั่นขา มันกระเทือนมาทางกูเนี่ย รำคาญเว้ย”

               “ไม่ใช่ปัญหาของกู” เจโน่ตั้งใจสั่นขาให้แรงขึ้นอีกจนตัวหนังสือที่ปรากฏบนสมุดที่แจมกำลังเขียนบูดเบี้ยวไปหมด

               “เหี้ยเจโน่”

               “ไรมึงไอ้เต่า”

               “หยุด ก่อนที่กูจะเอาปากกาปักลูกตามึง”

               “มึงทำกูฟ้องเจ็ก เอาดิ”

               “กูก็จะฟ้องม้ามึงว่ามึงสันดานเหี้ย”

               “ใครเริ่ม”

               “มึง!”

               “มึงต่างหาก!”

               

               “โอ้ยเชี่ยโน่ มึงจะแกล้งเพื่อนทำไมเนี่ย” เจโน่โดนจุนที่นั่งอยู่ด้านหน้าหันมาค้อนใส่อย่างคาดโทษ

               “ก็มันกวนตีน”

               “เราเปล่า นายก็ได้ยินใช่ปะว่ามันสั่นขากวนตีนเราก่อน” แจมินพูดอธิบายบ้างพร้อมตวัดสายตาไปหาเจโน่ในจังหวะที่พูดคำว่า‘มัน’

               “ได้ยินดิ”

               “แฮช” เจโน่เรียกเพื่อนสนิทอีกคนที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งด้านหน้าของเจโน่พอดี 

               “กูก็ได้ยิน เอ๊ ยังไงน้าโน่” 

               

               ขาที่เคยสั่นหยุดกึกลงอย่างไวเมื่อได้รับสายตาล้อเลียนจากแฮช เหมือนแฮชจะเป็นคนเดียวที่ทำสำเร็จเสมอในเรื่องปราบพยศเจโน่ ไม่ใช่ว่ามันฉลาดปราดเปรื่องอะไร แต่ก็แค่คนประเภทเดียวกันก็คงจะรู้ว่าต้องจัดการกับตัวเองอีกคนยังไง แบบนั้นมากกว่า

               “อู้ว”

               “หุบปากอีแฮช”

               “จ้า”

               “แจมย้ายมานั่งกับเรามั้ย แล้วให้ไอ้แฮชไปนั่งกับโน่แทน” 

               “แล้วแฮชโอเคเหรอ”

               “ได้หมดอ่ะ”

               “เออ ให้มันไป มันทนไม่ได้หรอก อ่อนจะตายห่า”

               “เสือกนักไอ้เหี้ยหลอ”

               “เอ้า ไอ้เต่ามึ๊ง”

               “เอาไง ย้ายไม่ย้าย”

               “ไม่เป็นไรก็ได้ เดี๋ยวเรารับกรรมกับไอ้คนคนนี้ไว้ให้เอง สงสารแฮช”


    ,


               เจโน่หน้าบูดเป็นตูดยิ่งกว่าเดิมเพราะจุนชวนแจมลงมากินข้าวด้วยกัน จริงๆแล้วเรียกว่าลากจะโอเคกว่าเพราะจุนไม่ยอมให้แจมขัดขืนเลยซักนิด แล้วเวรกรรมอะไรที่เจโน่จะต้องมานั่งลงตรงข้ามมันพอดีกัน 

               “กินไม่ลง”

               “กูกระเดือกลงตายดิ”

               “ถามจริง พวกมึงเกลียดกันเรื่องอะไรเนี่ย”

               “มันก็แค่ ไม่มีตรงไหนให้ชอบ” 

               “โอ้โห มึงดีตายเลยดิ”

               “ดีกว่ามึง”

               “ไม่จริง”

               “ถ้าสมองมึงยังใช้การได้ก็ลองนึกดู ว่ามีครั้งไหนที่กูเริ่มก่อนบ้างตั้งแต่เด็กยันโต”

               “...”

               “ซักครั้งมั้ย”

               “มึงเริ่ม”

               “ยังไง”

               “ก็หน้ามึงกวนตีน”

               “เหี้ยอะไรของมึงวะ กูปกติมาตลอดเหอะ ตาตีบจนได้เรื่องแล้วนะ มองไม่ค่อยชัดก็ไปผ่ามั้ยอ่ะ” แจมพูดพร้อมกับใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบหนังตาของเจโน่ให้เบิกขึ้น

               “อย่าแตะตัวกูเลย สงสารกูเถอะ แค่นี้ก็ไม่รู้จะเอาแอลกอฮอล์ที่ไหนเช็ดเชื้อโรคมึงออกแล้ว ยี๋เชื้อโรคจากหางเต่า”

               “มึงอยากเลือดออกปากอีกหรือไง” แจมินง้างมือขึ้นอีกครั้งเหมือนกับภาพแฟลชแบค

               “จุนดูดิ ไอ้แจมแม่งหัวรุนแรง”

               “ขอร้องนะพวกมึง กูเหนื่อยมาก”



    #แจมที่มีหางเต่า



               “ได้คะแนนครึ่งเดียวเนี่ยนะ”

               “ทำให้ก็บุญแล้วมะ”

               “เออ”

               “เออ”

    ไม่แน่ใจว่าแจมินกับเจโน่เป็นคนเกลียดกันประเภทไหนถึงได้เก็บงานให้อีกฝ่ายเวลาขาดเรียน แอบขานชื่อให้เวลาเช็คชื่อแต่คนข้างๆมาไม่ทันหรือแม้แต่ลอกงานส่งให้ในเวลาที่อีกคนนึงฟุบโต๊ะหลับ

               มีหลายครั้งที่ครูแจกงานที่เช็คแล้วคืนมาแล้วเจโน่แบล้งค์ งงว่าเคยทำงานนี้ตอนไหน และในบางวิชาแจมเองก็เหมือนกัน

               แต่คนตึงก็คือคนตึง ในเมื่อไม่ได้ขอ ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องขอบคุณ แต่ทดไว้ในใจแล้วทำแบบเดียวกันกลับคืนแบบตึงๆเหมือนกัน

               แต่ต่างกันตรงที่ถ้าแจมเป็นคนทำ คะแนนจะดีกว่าที่เจโน่ทำอยู่มากโข 

               “แดก” กล่องน้ำผลไม้บรรจุกล่องถูกวางปั้กลงบนโต๊ะแจมจนเจ้าของโต๊ะเหลือบสายตามองคนที่ยืนค้ำหัวอยู่อย่างไม่เข้าใจ

               “ไรมึง”

               “แดกๆไป ไม่ตายหรอก”

               ถ้าเดาไม่ผิดนั่นก็อาจจะเป็นการขอบคุณง่อยๆของไอ้ตาตีบแหละมั้ง


    ,


               เรื่องน่ารำคาญล่าสุดของแจมคือการที่เจโน่ดึงหางเต่าเขาทุกครั้งที่มีโอกาส ถึงแม้ว่าจะตัดให้มันสั้นเท่าผมที่ท้ายทอยตรงอื่นแล้วก็ตาม แต่เพราะแนวเส้นที่ขึ้นมาก็ยังทำให้มีปลายแหลมเล็กๆเกิดขึ้นอยู่ดี

               “จิ๊ สัดนี่”

               “...” เจโน่ทำหน้าตาเหลอหลาไม่รู้ไม่ชี้น่าหมั่นไส้แบบที่ควรจะโดนซัดซักเปรี้ยง

               “สะเหล่อมาแตะตัวกูทำไม เชื่อโรค”

               “เชื้อโรคมึงสิติดกู” เจโน่ไม่พูดเปล่า ควักเจลล้างมือที่พกมาจากบ้านออกมาถูมือแล้วทำท่าแขยงเสียเต็มประดา

               เจโน่จะยอมรับก็ได้ว่าคันไม้คันมืออยากดึงหางเต่าโง่ๆนั่นมานานแล้ว พอมีครั้งแรกและได้รับรีแอคชั่นที่น่าพอใจ เจโน่ก็ดึงอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง

               ส่วนเจลล้างมือนั่นก็แบกมาล้างเพื่อกวนตีนแจมเล่นเท่านั้นเอง

               

               “งั้นมึงก็ไม่ต้องมาจับ”

               “ผิดที่หางเต่ามึงเองเหอะ เนี่ยแม่ง เหมือนเรียกกู พี่โน่ พี่โน่ ดึงหนูหน่อยแบบนี้” เจโน่ดัดเสียงให้เล็กที่สุดเพื่อสมมติว่าตัวเองพูดแทนเส้นผมที่ท้ายทอย จนแจมินหัวเราะออกมาเล็กน้อยแล้วส่ายหัวอย่างเอือมระอา เจโน่นี่มันเกินจะเยียวยาแล้วจริงๆ



    #แจมที่มีหางเต่า



               ไม่มี หายังไงก็ไม่เจอ 

               แจมทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของตัวเอง วันนี้มันเล่นมาโรงเรียนด้วยผมทรงใหม่ อันเดอร์คัทที่ถ้าเป็นคนอื่นเจโน่คงเอ่ยปากชมว่าเท่ห์ดีไม่หยอก แต่นี่มันไม่ใช่ ท้ายทอยที่เกลี้ยงเกลาแบบนี้มันจะไปถูกต้องได้ยังไง

               “มึงทำเหี้ยอะไรลงไปแจม”

               “อะไร”

               “มึงกล้าดียังไงถึงไปตัดผมแบบนี้”

               “ก็หนังหัวกูรึเปล่า”

               “เหี้ย เลวร้ายมากๆ ถ้าลาออกจากการเป็นญาติมึงได้กูก็จะทำ สันดานเอ้ย!”

               “โอ้ ยินดีอย่างดีครับ”

               “แจมมึงไม่เข้าใจ” เจโน่ทำสีหน้าเจ็บปวดแล้วไถลตัวลงแนบกับโต๊ะอย่างหมดแรง 

               ถ้าให้สารภาพจริงๆก็คือ หมดมุข.. เจโน่หมดข้ออ้างแล้วจริงๆที่จะเอาตัวเองเข้าไปวอแวกับคนข้างๆ 

               นี่แจมมันจะคนจริงเกินไปหรือเปล่า แค่บอกว่าหมั่นไส้เลยดึงผมเล่นก็ตัดปัญหาโดยการไปไถให้มันจบๆง่ายๆงี้เลยอ่ะนะ

               “สาแก่ใจกูนัก ไม่มีอะไรให้รำคาญลูกตามึงแล้ว สบายใจละนะ แยก”

               “แจม กูไหว้ อย่าทำอีก”

               “ทำไม่ กลัวกูหล่อนำมึงเหรอ โทษที ก่อนนี้ก็นำอยู่แล้ว”

               “ชิบหาย ไม่ใช่”

               “แล้วมันยังไง”

               “ไม่รู้”

               “...”

               “...”

               “...”

               “มึงกลับไปทำทรงเดิมเหอะ”

               “แล้วจะมาเสือกอะไรกับกูล่ะวะ”

               “...” และใช่ เจโน่ตอบไม่ได้

               “เอางี้”

               “เอาไง”

               “กูไม่ตัดละก็ได้ แต่ปีนี้มึงต้องไปเช็งเม้ง”

               “เม้งพ่องดิ ไม่ไป”

               “มึงเป็นเหี้ยอะไรวะ ญาติๆเค้าถามหา ป๊าม้ารับหน้าแทนมึงมากี่ปีแล้วเนี่ย”

               “ญาติพรรค์นั้นใครจะไปอยากมี”

               “รวมญาติแบบกูด้วยรึเปล่า”

               “เออ”

               “..เออ”

               มีหลายครั้งที่ทั้งคู่เถียงกันเรื่องที่ไม่อยากเป็นญาติกัน แต่ไม่มีครั้งไหนที่เป็นสถาการณ์ที่จริงจังแบบนี้ แบบที่ทำให้ทั้งคนพูดแล้วก็คนฟังเสียใจ

               หันหน้าออกจากกันอีกครั้งด้วยความรู้สึกว่างเปล่า รู้สึกเหมือนมีรูอยู่ในใจเต็มไปหมด ทั้งๆที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กแท้ๆแต่ก็ไม่มีทางรู้เลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่กันแน่ เวลาที่ผ่านมาเหมือนกับว่าทั้งสองคนล่องเรือออกจากกันเรื่อยๆจนช่องว่างที่ห่างกันกว้างเท่ามหาสมุทร

               

               “มึงต้องได้เห็น ว่ากูชะเง้อคอมองหามึงทุกปีอะ แต่มึงแม่ง ไม่เคยมา”

               “...”

               “กูคิดถึงนะ พูดจริงๆ”



    #แจมที่มีหางเต่า




               เจโน่นั่งกัดเล็บอยู่รถยนต์คันใหญ่มาเป็นเวลาหลายนาทีแล้ว ป๊าม้าลงไปช่วยจัดสถานที่ก่อนโดยที่เจโน่ขอร้องว่าอย่าเพิ่งบอกใครว่าตัวเองก็มา เจโน่ไม่รู้ว่าจะกล้าลงไปไหม หรืออาจจะนั่งโง่ๆอยู่ในรถตลอดวัน ไม่รู้เลยว่าต้องทำหน้ายังไง จะรับคำถากถางจากผู้ใหญ่พวกนั้นไหวไหม แล้วถ้าโดนถามว่าช่วงก่อนหายไปไหนจะตอบว่ายังไง

               เหลือบมองไปอีกฝั่งของที่จอดรถก็เห็นว่าครอบครัวของแจมมาถึงแล้วเหมือนกัน เห็นมันเดินกอดเอวเข้าไปด้านในกับพ่อแม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วก็นึกอิจฉา เจโน่อยากเป็นแบบนั้นบ้าง อยากเผชิญหน้ากับทุกคนได้แบบไม่มีอะไรติดค้าง หรือกลัวว่าจะมีใครยกเรื่องตัวเองขึ้นมาพูดตอนไหน

               ก๊อกๆๆ

            เจโน่เกือบจะผล็อยหลับไปอยู่แล้วถ้าไม่มีเสียงเคาะกระจกดังขึ้นเสียก่อน มองออกไปก็เห็นแจมยืนยิ้มอยู่ด้านนอก แต่เพราะว่าฟิล์มรถป๊าเจโน่มืดมากแจมเลยต้องใช้มือป้องกับกระจกแล้วขยับหน้าเข้าไปแนบเพื่อเช็คให้แน่ใจว่ามาถูกคันแล้วจริงๆ ก่อนจะต้องกระเด้งตัวออกทั้งคู่เพราะนั่นก็เป็นตำแหน่งเดียวกับที่เจโน่มองอยู่เหมือนกัน

               ‘ป ล ด ล็ อ ค’เจโน่อ่านปากของแจมได้แบบนั้น

               แจมปีนขึ้นมานั่งบนเบาะหลัง ข้างๆเจโน่แล้วปิดประตูรถไว้เหมือนเดิม

               “ไหนบอกไม่มา”

               “มีหมาบอกคิดถึง”

               “แต่ก็ไม่ลงรถ”

               “บอกตรงๆเลยนะ กูไม่มั่นใจ”

               “มึงแพนิคไปเอง”

               “เหี้ยไร วันนั้นเจ็กน้อยมาขิงลูกถึงบ้านกูเลยด้วยซ้ำ”

               “อ๋อ ไอ้เฮียเฮงอ่ะนะ กูก็โดน”

               “มันไม่เหมือนกันหรอก”

               “กูจะไม่บอกว่าเข้าใจมึงนะโน่ แต่ที่ผ่านมามึงก็ไม่ได้ทำตัวเลวร้าย จะกลัวอะไรนักวะ”

               “...”

               “มึงก็ไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบป่ะ มึงก็มีป๊า มีม้า คนอื่นไม่เข้าใจตัวตนของมึงแล้วยังไง เค้ามีส่วนได้ส่วนเสียกับชีวิตมึงเหรอ ก็ไม่ คนเรามีปากก็พูดไปทั้งนั้นอ่ะ”

               “...”

               “อ่ะ มึงมีกูอีกคนก็ได้ เนี่ย มีพวกแล้ว กลัวไรวะ”

               “สัด”

               “ไปเหอะ เนี่ยกูเตรียมเสื้อคู่มาด้วย อาเหล่ามาชอบใจแน่ๆถ้าเห็นมึงกะกูทำตัวเป็นแฝดสยามอีก”

               “อะไรหล่อหลอมให้มึงเป็นคนดีนักวะ กูไม่เข้าใจ”

               “...”

               “โว้ะ” เจโน่ส่งเสียงออกมาอย่างหงุดหงิดใจอีกครั้งก่อนจะถอดเสื้อยืดที่ใส่อยู่เหวี่ยงไปที่ด้านหลังรถแล้วดึงเสื้อที่อยู่ในมือแจมขึ้นมาสวม

               “ไปก็ไป”

    ,


               เป็นไปตามคาด เจโน่โดนแซะตั้งแต่วินาทีแรกที่เดินเข้าไปบริเวณหลุมศพและในเวลาถัดๆมาแต่ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดเพราะเมื่อไหร่ที่มีใครเริ่มพูดอะไร แจมจะใช้สิทธิหลานคนโปรดของอาเหล่าม่าไปแอบกระซิบกระซาบก่อนที่จะมีเสียงแหวขึ้นมาว่า“แล้วลื้อไปเสือกอะไรกับหลานมัน”จนทุกคนหัวหดกันไปหมด

               อาเหล่าม่ายิ่งชอบใจเข้าไปใหญ่ตอนที่เห็นว่าเสื้อของเจโน่กับแจมินเหมือนกันเปี๊ยบ ชอบใจจนต้องเรียกให้ไอ้เฮงมาถ่ายรูปไว้ให้ รูปที่มีแจมินนั่งอยู่ด้านซ้าย เจโน่นั่งอยู่ด้านขวา โดยมีอาเหล่าม่านั่งอยู่บนวีลแชร์ตรงกลาง 

    แถมยังบังคับให้คู่แฝดยืนถ่ายรูปคู่กันอีกต่างหาก แต่คราวนี้แจมขอใช้กล้องโทรศัพท์ของตัวเองถ่ายด้วย

    “เดี๋ยวกูส่งให้”

    “เอามาทำไม รูปมึงอ่ะ เสนียดเครื่องกู”

    “เออ”

    “เออ”

    เอาอีกแล้ว บรรยากาศมึนตึงแบบนี้

    “กูจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเราเกลียดกันเพราะอะไร”

    “แต่กูจำได้”

    “ต้องเคลียใจป่ะ”

    “ไร้สาระ”

    “...”

    “เพราะมึงไม่ยอมเล่นกับกู”

    “...”

    “มึงอายุเท่ากูแท้ๆแต่มัวแต่ไปเล่นกับไอ้หมูหัน” เจโน่หมายถึงญาติผู้น้องอีกคนที่อายุน้อยกว่าไปเกือบหกปี

    “ตอนนั้นมันน่ารักนะมึง เป็นทารก”

    “เออแล้วก็ทิ้งให้กูนั่งเขียนพื้นอยู่คนเดียว”

    “...”

    “หลังจากครั้งนั้นกูก็เกลียดมึงเลย ที่หาเรื่องล้อหางเต่านั่นก็เกลียดจริงๆ”

    “อินเนอร์เด็กปอห้า”

    “เออ”

    “ส่วนกูก็เกลียดมึงเพราะโดนบูลลี่เนี่ยแหละ”

    “...”

    “มันฝังใจนะเผื่อมึงไม่รู้”

    “โดนตบฟันหักคาปากไม่ฝังใจเลยดิ”

    “เหอะ มึงก็สมควรโดน”

    “จนถึงตอนนี้กูก็ไม่หายเกลียดมึงหรอกนะ”

    “กูหายมั้ง”

    “กูจะไม่ขอบคุณด้วย”

    “เรื่องของมึง”

    “เออ”

    “เออ”

    “...”

    “...”

    “แต่ก็สนใจกูซักที เรียกร้องความสนใจมาทั้งชีวิต”

    “เออ”

    “...เออ”


    end.

    บอกว่าไง อย่าดึงหางเต่า


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in