เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Life Notesrinami
บางครั้ง... เรานึกชอบผู้คนที่เราไม่รู้จัก มากกว่าผู้คนที่เรารู้จักดี
  • บางครั้งรู้สึกว่าถ้าการเดินทางไม่ถูกเขียนบันทึก มันจะเลือนลางหายไปตามกาลเวลาหรือเปล่านะ
    แต่คงไม่ได้หายไปแบบไร้ร่องรอย แต่เป็นการหายไปของรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ มากกว่า

    การเดินทางของเราไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ไม่น่าตื่นเต้นประทับใจมาก
    ความจริงแล้วหลังจากที่เท้าลงแตะพื้นสนามบินนาริตะ มีแต่เรื่องน่าหวาดหวั่น
    ไม่ว่าจะเป็นต้องเดินทางจากสนามบินมาที่พักด้วยตัวเอง โดยที่แทบไม่เตรียมตัวอะไรมา
    และต้องนำทางญาติอีก 4 คนที่ไม่รู้อะไรพอกัน ด้วยความที่พวกเรามาตามคำชวนของญาติที่ทำงานด้านที่พักและโรงแรม แต่เขาดันไม่มารับที่สนามบิน ซึ่งทำให้เราหวั่นใจมากกว่าเดิม

    ซึ่งเอาเข้าจริงลำบากกว่าที่คิดกลัว แถมทุกคนที่มาด้วยมอบหน้าที่การเป็นคนนำทางมาให้ ทั้งที่เราก็ไม่ได้รู้อะไรเลย คงเป็นเพราะความเชื่อใจที่มอบให้ ซึ่งไม่แน่ใจว่าประเมินจากอะไร ด้วยความซับซ้อนของเส้นสายรถไฟญี่ปุ่น เราหลงทาง ขึ้นรถไฟหลายสายหลายขบวน อ่านชื่อป้ายต่าง ๆ จนสับสน ถามทางคนญี่ปุ่นแทบทุกคนที่อยู่ใกล้ ซึ่งบอกตามตรงว่าเหนื่อย กระเป๋าใบใหญ่ที่ไม่เหมาะกับการเดินลากไปทุกที่ แล้วไม่ใช่ทุกสถานีจะมีบันไดเลื่อน อาจมองว่ามันเป็นผจญภัยอย่างหนึ่งซึ่งมาโดยไม่ทันตั้งตัว

    เวลากว่าหลายวันที่เราได้มาอยู่ญี่ปุ่นเรียกได้ว่าเป็นทำตัวให้เหนื่อยกว่าเดิม
    จนวันที่ได้เดินทางไปที่คาวากูจิโกะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟฟูจิ

    หลังเรื่องราววุ่นวายจบไปเป็นรอบต่อรอบ แต่เดี๋ยวก็จะเกิดใหม่ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องญาติที่ต่างคนต่างมีความต้องการที่แตกต่างกัน เราไม่เคยออกเสียงหรือเลือกได้ เพราะไม่ต้องการความขัดแย้งที่มากกว่าเดิม บางทีการออกความเห็นในสถานการณ์ที่ไม่มีใครเปิดรับฟังใครจะยิ่งทำให้สารและความหมายที่ต้องการจะสื่อผิดเพี้ยนไป

    จนเช้าวันหนึ่งที่อากาศหนาวเย็นและฝนตกบางเบา เช้าวันที่ไร้ผู้คนในห้องอาหารของรีสอร์ต
    บริเวณนั้นเราสามารถมองเห็นและชื่นชมความสวยงามของภูเขาไฟฟูจิได้ แต่วันนั้นฟ้าปิด
    ไม่เป็นไรหรอก แค่ธรรมชาติและอากาศบริเวณนั้นก็ทำให้เรารู้สึกสุขใจจนน่าแปลกใจ เพราะได้พบการพักผ่อนที่ค้นหาแล้ว การนั่งทานข้าวจากร้านสะดวกซื้อที่ตุนเก็บไว้ก่อนมาถึงรีสอร์ต พลางมองไปยังสายฝนด้านนอก ห้องอาหารเงียบสงบ เปิดเพลงบรรเลงแผ่วเบา เป็นความเงียบที่สุขใจหลังจากการเดินทางที่แสนเหน็ดเหนื่อยและเบื่อหน่ายจากความต้องการของผู้คน

    นั่งทานอาหารไปได้สักพัก มีคนญี่ปุ่นเดินเข้ามาบริเวณเดียวกับที่เรานั่งทานอาหาร ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะอาหารฝั่งตรงข้าม กิริยาสุภาพเรียบร้อย หน้าต่างบานใหญ่ทำให้มองเห็นทุกสิ่งด้านนอก เราอมยิ้มในใจทักทายเขาในความคิด เพราะเป็นสุขใจมากจนบอกไม่ถูก ทั้งสองคนลงมือทานอาหารทันที ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากแต่ทั้งคู่ต่างก็มองไปยังธรรมชาติด้านนอก

    การปรากฎตัวของเขาสองคนในห้องอาหารที่เงียบและไร้ผู้คน ทำให้ห้องนั้นอบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด เรากลับทานอาหารได้สุขใจมากขึ้น น่าแปลกที่ไม่ทำให้เรารู้สึกอึดอัดอะไร เราต่างไม่รู้จักกันและก็ไม่มีท่าทีว่าอยากรู้จักกัน แค่ต่างคนทำสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ ไม่ได้สนใจในกิจธุระของใคร ไม่สื่อสารกัน แต่เรากลับชอบความรู้สึกนั้น ความรู้สึกที่ไม่จำเป็นต้องรู้จักและพูดคุย แต่เราต่างเห็นว่าเราไม่อยู่ตัวคนเดียว บางครั้งเรานึกชอบผู้คนที่เราไม่รู้จักมากกว่าผู้คนที่เรารู้จักดี อย่างที่ใครบางคนกล่าวว่า "ฉันไม่ได้อยากพบปะผู้คนที่ฉันไม่รู้จัก มากเท่ากับหลีกหนีจากผู้คนที่ฉันรู้จัก"


    19 มิถุนายน 2016
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in