..........
ตอนที่ 32 : ไล่ล่า ฝ่าวงล้อม !
เมื่อก้าวลงจากแคปซูลเคลื่อนย้าย ผมพบว่าตัวเองมาอยู่ในห้องที่คล้ายๆกับตอนแรกก่อนที่ผมกับริกเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ที่เป็นตัวเกมส์ ผมบิดกลอนประตู เปิดออกช้าๆ พลางมองซ้ายขวาว่ามีคนรึเปล่า ก่อนจะค่อยๆ เดินออกมาสภาพผมคงทำให้ใครหลายคนตกใจไม่ใช่น้อย เนื้อตัวที่เต็มไปด้วยร่องรอยการต่อสู้ ยังมีคราบเลือดติดอยู่บางส่วนของเสื้อด้วยซ้ำ อีกทั้งตอนนี้ยังสะพายสไนเปอร์ไว้ข้างหลังอีกไหนจะปืนพกที่เหน็บตรงต้นขา นี่ยังไม่นับมีดที่แอบไว้ตรงเท้านะ
ผมเดินช้าๆ ผ่านทางยาวที่ปูด้วยพรมสีเลือดหมูตลอดทาง สังเกตเห็นป้ายบอกชั้นอยู่ห่างไปข้างหน้าไม่ไกล มันบอกว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ชั้น 8 ซึ่งถ้าจำไม่ผิด ตึกนี้มีทั้งหมด 9 ชั้นด้วยกัน รู้สึกสองชั้นบนคงเป็นส่วนบริหารงานเหมือนกับอีกที่หนึ่งที่ผมเพิ่งวาร์ปมา ผมได้ยินเสียงพนักงานทำงานกันปกติ ไม่มีความกระวนกระวายใจเหมือนสถานที่ที่ผมเพิ่งเจอมาแม้แต่น้อย ผมไม่รู้เหมือนกันว่าพนักงานที่นี่รู้หรือเปล่าว่าเบื้องหลังของเกมส์ที่พวกตนทำงานเป็นอย่างไร
“เฮ้ ! เธอน่ะ มายืนทำอะไรตรงนี้” ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันหลังกลับไปพบกับพนักงานชายในเครื่องแบบออฟฟิศทั่วไป “เอ่อ...” ผมได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ
“มัวแต่ เอ่อ... อยู่นั้นแหละ เด็กใหม่สิท่า เป็นไงล่ะวันแรกสะบักสะบอมมาเชียว” พนักงานพูดพลางตบบ่าผม “ฮะฮะ ก็หนักหน่อยอ่ะคับ” ผมเฉไฉไปตามเรื่อง
“งั้นฉันไปทำงานก่อนละ เห็นช่วงนี้บอสเราดูท่ายุ่งๆ นี่ก็เพิ่งมาจากฝั่งโน้นเหมือนกันพาทั้ง รปภ. ทั้งพวกตรวจการนอกเครื่องแบบเหมือนนายมากันพร้อมเลย ว่าแต่นายไหงไม่ขึ้นไปหาล่ะ” พนักงานถาม
“กำลังจะขึ้นไปพอดีล่ะครับเนี่ย พอดียังไม่หายเหนื่อยเลยมึนๆ น่ะครับ” ผมตอบ พนักงานตรงหน้าทำสีหน้าเข้าใจก่อนจะเดินลับหายไปข้างหน้า กลมกลืนกับพนักงานคนอื่นๆ ที่วุ่นวายกับการทำงาน
“มันมีหน่วยนอกเครื่องแบบด้วยหรอวะเนี่ย แล้วนี่ต้องขึ้นจริงๆ ใช่มั้ย” ผมพูดเบาๆ คนเดียวก่อนเดินดุ่ยไปเรื่อยๆ สักพักผมก็เจอบันไดหนีไฟ มีพนักงานคนหนึ่งเดินผ่านแล้วถามว่าทำไมไม่ขึ้นลิฟต์ล่ะ ไอ้เราก็ไม่รู้จะตอบไปยังไง ก็คนมันอุ่นใจกว่าจะให้ทำไงได้
ผมเดินขึ้นมาจนถึงหน้าประตูทางเข้า ค่อยๆ เปิดบานประตูเข้าไป กลุ่มคนใส่ชุดลำลองหลากหลายแบบแล้วแต่แฟชั่นแต่ละคน บางคนก็มีอาวุธบางคนก็ไม่มียืนห่างผมไปหลายเมตร “สงสัยจะจริงเหมือนที่เจ้านั่นพูดแฮะ” ผมคิด ยังไม่กล้าก้าวต่อ ได้แต่แอบซุ่มดูผ่านกระจกห้องทำงานห้องหนึ่งที่อยู่ข้างหน้าตน
“ไม่รู้ว่ามีไอ้พวกนอกเครื่องแบบด้วย แค่พวก รปภ. กูก็อ่วมจะแย่อยู่แล้วชักไม่พร้อมแล้วสิงานนี้” ผมคิดในใจ เริ่มนับจำนวนคนที่มีทั้งพวกนอกเครื่องแบบและรปภ. ที่ตามคุ้มครองเจ้านาย มีสิบกว่าคนได้เท่าที่นับดู หัวหน้า 1 รปภ. 2 เพราะกลายร่างไปแล้ว 2 พวกนอกเครื่องแบบอีก 5 คน มันก็ยังเยอะอยู่ดีนี่หว่า
‘ประเด็นคือจะจับยังไง’ ผมคิดแล้วก็ปวดหัว ก่อนจะรู้สึกตัวว่าไอดีการ์ดในกางเกงมันสั่นอยู่ จึงรีบหยิบขึ้นมาดู มีข้อความเข้าทันที “ทางนั้นเป็นไง” ผมอ่านจบก็กดปุ่มโทรกลับไปหาทันที รอสายไม่นานมันก็รับ
“ทางมึงล่ะเป็นไง” ผมถามต่อ
“ก็ไม่อะไรมากหรอก นั่งชิวอยู่หลังประตูไม่กล้าออกเนี่ย”
“ฮะฮะ ของกูหนักกว่ามึงอีก มาเป็นสิบแถมมีอาวุธด้วย” ผมตอบ
“มึงจะกลัวอะไร เรียกกำลังเสริมมาเด้ มึงอยู่ข้างนอกแล้วนะเว่ย อย่าลืม” ริกตอบ
“เออว่ะ ! ไม่ได้มึงนี่คิดไม่ได้นะเนี่ย แต่ประเด็นคือกูไม่มีโทรศัพท์น่ะสิ”
“เหมือนมึงหายากมากนักสิฮะ ตรงนั้นน่ะ” ริกโต้กลับ
“นั่นสินะ เฮ้ย ! แค่นี้ก่อนนะ งานเข้ากูแล้ว” ผมรีบตัดสายและยัดไอดีการ์ดลงกระเป๋ากางเกงโดยไวเมื่อเห็นกลุ่มคนข้างหน้าพร้อมกับเจ้าตัวผู้บริหารที่ตอนแรกยืนคุยประชุมอะไรสักอย่างกำลังเดินมายังลิฟต์ที่อยู่ถัดจากบันไดหนีไฟที่ผมอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นักจากตรงนั้น
ผมคว้าสไนเปอร์ขึ้นมาเตรียมพร้อมก่อนจะยืนในท่าที่ดีที่สุดในการยิง ผมค่อยๆ ปรับการหายใจเข้าออกช้าๆศูนย์กลางเป้าเล็งผมเคลื่อนที่ตามตัวเจ้าผู้บริหารมาเรื่อยๆ เรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่หน้าลิฟต์ พร้อมกับลูกสมุนอีกมากมายแต่ทันทีที่ผมจะยิงกลับกลายเป็นมีเจ้า รปภ. มายืนบังอีกแล้ว “ฮึ่ม ! ไอ้ยามนะ ไอ้ยาม” ผมบ่นพึมพำเบาๆ ก่อนจะสังเกตว่าสองสามคนในกลุ่มลูกน้องนอกเครื่องแบบมันมาและชี้มาทางผมที่อยู่ในท่าเล็งปืนอยู่ ก่อนที่มันจะรู้ตัวว่าผมไม่ใช่พวกเดียวกันผมก็เปิดฉากยิงต่อเนื่องทะลุกระจกประตูที่ผมใช้กำบังตนไปโดนช่วงหน้าอกเจ้าพวกนอกเครื่องแบบมันกระตุกด้วยความแรงของปืนเล็กน้อยก่อนล้มลงไป
คนที่เหลือต่างรีบหาที่กำบังแถวๆนั้นโดยด่วน แต่ผมไม่รอช้า ยิงกระหน่ำเข้าไปยังเจ้า รปภ. คนที่ยืนบังจนล้มลงไปก่อนจะเห็นว่าตัวหัวหน้ามันก็ล้มลงไปด้วย “หรือว่ากระสุนมันจะทะลุเหมือนตอนเรากับไอริก” ผมคิด ก่อนเลื่อนปืนลงพลางก้าวไปมองผ่านช่องประตูไปเพื่อที่จะได้เห็นร่างเจ้าหัวหน้าว่ามันตายจริงๆแล้วหรือเปล่า แต่ไม่ทันจะได้มองห่ากระสุนก็กระหน่ำกลับมาไม่ยั้ง
ผมฉากหลบออกมาจากประตูทันที กระสุนต่างก็ทะลุประตูมาได้ทั้งสิ้น เพื่อความชัวร์ผมตัดสินใจควักระเบิดในกระเป๋าที่ซื้อมา ดึงสลักออกก่อนจะชะโงกหน้าและขว้างออกไปสุดแรงพอที่จะไปยังเจ้าพวกนั้นที่ใช้โต๊ะพนักงานบ้าง เสาบ้าง เป็นที่กำบัง “เวรเอ้ย !” ผมสบถเมื่อเห็นจังหวะที่ตนขว้างระเบิดไปเจ้าผู้บริหารมันคลานเข้าลิฟต์ไปแล้ว แต่ดูท่าจะโดนกระสุนเฉี่ยวแถวๆช่วงบนลำตัวแน่ๆ ดูจากการกุมมือไว้แถวๆ หัวของเจ้านั่น
ตูม !
เสียงระเบิดตูมใหญ่ดังสนั่นไปทั้งชั้น ความแรงของมันทำเอาประตูหน้าทางเข้าบันไดหนีไฟกระเด็นเข้ามากระแทกผนัง “สงสัยข้างในจะรอดยากแล้วล่ะ” ผมคิด รีบวิ่งลงบันไดกลับไปยังชั้นล่าง อันที่จริงผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าผู้บริหารนั่นมันไปไหนต่อ
“นี่ข้างบนเกิดอะไรขึ้น” พนักงานหญิงคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาถามผมทันทีเมื่อเห็นผมรีบวิ่งลงมาจากชั้น9 ดูท่าทุกคนในชั้น 8 จะตกใจกันมากทีเดียว ก็คงไม่แปลกเท่าไหร่หรอกในเมื่อแรงระเบิดมันทำเอาพื้นชั้น9 ทลายลงมาโดนพนักงานชั้น 8 ด้วยน่ะสิ
ผมมองข้ามไปเห็นรูโหว่ขนาดคนสองสามคนโดดลงมาพร้อมกันได้ ควันยังลอยโขมงอยู่ซึ่งตอนนี้มีการดับไฟโดยวาล์วน้ำที่ติดตั้งบนเพดาน
“มีคนลอบทำร้ายผู้บริหาร แล้วตอนนี้ท่านอยู่ไหนแล้ว” ผมแกล้งทำเป็นพวกนอกเครื่องแบบก่อนที่เธอจะตอบกลับว่าไม่รู้เหมือนกัน
“ชั้นใต้ดินที่นี่ลึกลงไปกี่ชั้น” ผมแกล้งถามออกไปมั่วๆ ซึ่งเธอดันตอบกลับมา
“ระดับพนักงานอย่างเราลงไปได้แค่ 2 ชั้นเท่านั้นมันเป็นส่วนดำเนินงานลับที่อยู่ข้างล่างน่ะ ส่วนลึกลงไปน่าจะเป็นการทดลองอะไรสักอย่างล่ะมั้งไม่รู้สิ” เธออธิบาย
“ทดลองกันกลางเมืองเคลโอเลยเนี่ยนะ !” ผมตกใจเมื่อได้ยิน
“ฉันก็ไม่รู้ แค่ข่าวลือแว่วมาเฉยๆ พวกฉันก็ไม่สามารถลงไปได้ขนาดนั้นหรอกนะ”เธอตอบ
“เฮ้ ! มัวยืนคุยอะไรอยู่ได้ ไปคุ้มครองบอสเร็วเข้า ตอนนี้รอพวกเราอยู่ชั้นที่6” หนึ่งในพวกนอกเครื่องแบบตบบ่าผมจากข้างหลัง เมื่อหันไปผมพบว่ามีพวกนี้อีกสองสามคนที่รอดจากระเบิดมาได้ “นี่มันไม่เห็นหน้าเราสินะ” ผมคิด “ครับๆ !” ผมรีบตอบรับอย่างฉะฉานก่อนวิ่งตามไปข้างหลังเจ้าพวกนั้นที่ตอนนี้มีอยู่สี่คน‘เล่นเลยดีมั้ยเนี่ย’ ผมคิดในใจพลางแตะปืนสั้นที่แนบตรงต้นขา ลังเลในการตัดสินใจของตัวเอง
..........
“ลุยก็ลุยวะ !” ริกลุกขึ้นก่อนพูดให้กำลังใจตัวเองอยู่หน้าบานประตู เขาเปิดประตูออกช้าๆเหล่าซอมบี้เดินกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ ยังดีที่จำนวนมันไม่ถึงกับมากจนแน่นไปหมด ริกค่อยๆ ย่องมาหลบอยู่หลังเคาน์เตอร์ เขายังไม่ปิดประตูเผื่อเกิดเหตุอะไรขึ้น “ประตูลิฟต์ใช้ไม่ได้ก็ต้องเป็นบันไดสินะ” ริกทบทวนความจำก่อนหยิบมีดออกมาถือไว้
เขาเลือกเหน็บไฟฉายไว้ข้างหลัง ก่อนจะย่องออกมาช้าๆ ทางเข้าบันไดอยู่ถัดจากหน้าเคาน์เตอร์ไปไม่ถึง100 เมตร “เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าโดยไม่โดนซอมบี้เห็น” คิดได้ดังนั้นริกตัดสินใจวิ่งออกไปทันที
ซอมบี้รอบบริเวณเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็แห่กันวิ่งมาจากทุกทิศทาง “กูไม่ใช้มันและมีด” ริกเก็บมีดไว้ที่เดิมก่อนควักปืนหันไปยิงซอมบี้ที่วิ่งตามตนมา “ถึงแล้วๆ โอ้ !” ทันทีที่วิ่งถึงหน้าประตูก็ต้องตกใจกับซอมบี้ที่ดักอยู่ตรงหน้า ริกเกือบหลบไม่ทันจนล้มหงายหลังไปนอนกับพื้น “โว้วๆ ! ใจเย็นพี่ใจเย็น” ริกกลิ้งตัวหลบซอมบี้ที่โผเข้าใส่ได้หวุดหวิดก่อนจะรีบลุกขึ้นถีบซอมบี้ที่วิ่งตามมากระเด็นไปข้างหลัง
ริกรีบปิดประตูชั้นสามโดยไวก่อนจะหันกลับมาจัดการซอมบี้ข้างหลัง “ทางสะดวก” เขาพูดเมื่อเห็นว่าไม่มีซอมบี้แล้ว ริกค่อยๆ เดินลงบันไดก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าประตูเข้าชั้นสอง เขาหยิบไอดีการ์ดขึ้นมาพิมพ์ข้อความไปหาเปา “นี่มึงจะเข้าทางไหน ตอนนี้กูอยู่ทางหนีไฟชั้น1 แล้ว”
..........
“เดี๋ยวนะ อย่างเพิ่งไป รอกูแปป” เปาบอกเอิร์นกับซิลว่าให้รอตนขณะหยิบไอดีการ์ดขึ้นมาดูข้อความก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับไป “ไม่ถึง 3 นาที เดี๋ยวพวกกูก็จะเข้าทางหน้าอาคารแล้วมึงมารอรวมกลุ่มกับพวกกูแถวๆ ลอบบี้ชั้นแรกก็ได้ แค่นี้แหละจะเข้าไปแล้ว” เปาตอบกลับ
“ป่ะ ! ลุยกันต่อ” เปาบอกเอิร์นและซิลว่าที่เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เอิร์นจะเป็นคนแรกที่ปีนข้ามกำแพงจากข้าวของต่างๆที่กองสุมกันโดยมีเปาเป็นคนที่สองและซิลว่าเป็นคนสุดท้าย
ทั้งสามปีนจนข้ามมายืนอยู่นอกกำแพงที่สร้างจากข้าวของได้สำเร็จ เปายังได้ยินเสียงผู้คนในกำแพงพากันตะโกนออกมาว่าจะคอยคุ้มกันให้จนถึงเข้าประตู “ไอริกมันจะมาเจอเราตรงล็อบบี้ชั้นแรกหวังว่าเข้าไปคงจะเจอเลยนะ” เปาบอกกับทุกคนก่อนจะกระชับปืนกลของอ๋องไว้ให้มั่น ก่อนที่ตนจะเดินนำหน้าออกไป
ทั้งสามช่วยกันฝ่าเหล่าซอมบี้ที่วิ่งเข้ามาหา พวกตนค่อยๆ ใกล้หน้าทางเข้าเรื่อยๆเปาระดมยิงปืนไปยังกลุ่มซอมบี้ข้างหน้าโดยมีเอิร์นที่คอยคุ้มกันหลังด้วยไม้เบสบอล ซิลว่าอยู่ตรงกลางในแถว คอยใช้มีดแทงเข้าที่จุดอ่อนช่วงหัวทั้งแทงเสยขึ้นจากใต้คาง บางครั้งก็ทิ่มทะลุเบ้าตากันไปเลย
“ปิดประตูด้วย ดูดิว่ามันจะออกได้มั้ยถ้าเราปิดประตูไว้” เปาตะโกนบอกเอิร์นที่เป็นคนเข้าคนสุดท้าย ขณะที่ตนหันมาใช้ปืนสั้นแทนเพราะไม่มีเวลาเปลี่ยนกระสุนและตนก็ไม่ได้ซื้อกระสุนปืนกลซะด้วยเพราะทั้งเอิร์นและตัวเขาเองไม่ได้ใช้ปืนกลกันเลย
“ไหนล่ะเพื่อนเธอ” ซิลว่าพูดขึ้นขณะลากโซฟาตัวหนึ่งมาขวางประตูไว้ หวังว่ามันจะช่วยกันซอมบี้ออกไปบ้างไม่มากก็น้อย
“เฮ้ย ! ดูนั่น!” เอิร์นตะโกนออกมาสุดเสียงด้วยความตกใจก่อนจะชี้ขึ้นไปยังต้นเสาต้นหนึ่งเยื้องพวกตนไปยังข้างหน้า
“มันตัวอะไร ซิลว่า !” เปาตะโกนถามซิลว่าสายตาจับจ้องไปยังซอมบี้ตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนเสา รูปร่างที่ค่อนข้างใหญ่และดูแข็งแรงกว่าซอมบี้ทั่วไปโดยเฉพาะมือและขาที่มันฝังยึดอยู่ในตัวเสา
“นั่นมัน ! เป็นไปไม่ได้น่า....” ซิลว่าพูดด้วยน้ำเสียงตกใจเช่นเดียวกัน
“มันเป็นไปแล้ว บอกมาทีว่าจะจัดการมันยังไง” เปาเร่งคำตอบ
“จุดอ่อนมันก็มีแค่ที่เดียวคือหยุดการสั่งการจากสมองนั่นแหละ แต่ที่ต้องระวังก็คือนี่มันโครงการทดลองที่ 3.5 มือและเท้าเจ้านี่จะแข็งแกร่งมากและแรงก็มากเช่นเดียวกัน” ซิลว่าอธิบาย
“น่านไง แล้วไหงมันแค่ 3.5 ล่ะ” เอิร์นถาม
“ไว้ก่อนเหอะ ! มันลงมาแล้ว” ทั้งสามไม่ใช่แค่ต้องคอยป้องกันตัวจากเหล่าซอมบี้ที่แห่แหนมาจากทุกสารทิศในตัวตึกกลับต้องมาระแวงเจ้าตัวใหม่นี่ด้วย
“ตายๆๆ ตายแน่ๆ งานนี้” เอิร์นเอ่ยขณะพยายามเอาตัวรอด
“พูดบ้าๆ น่า คุ้มกันกูทีดิ้ กูจะส่องมัน” เปาบอกก่อนเดินหลบมาอยู่ข้างหลังกลุ่ม หยิบสไนเปอร์ขึ้นมาประทับเล็ง ตึง ! เสียงเจ้านั่นกระโดดลงมากระแทกพื้นข้างล่างดังไปทั่วบริเวณ ปัง ! เปาเริ่มเปิดฉากยิงใส่ทันที
“มันไม่โดนหัวนะเท่าที่เห็น” เอิร์นบอก
“มายิงมั้ยครับ จัดการหน้าที่มึงไปเหอะน่า” เปาย้อน
กึ้ง !
“เสียงอะไร” ซิลว่าถามขึ้นพลางใช้มีดแทงเข้าที่หัวซอมบี้ที่วิ่งรี่เข้ามา
“ประตูมันจะดังไปไหนเนี่ย” ริกที่ตัดสินใจถีบประตูออกมาพูดขึ้น “อ้า ! นั่นพวกไอเปานี่” ริกดีใจเมื่อเห็นเพื่อนอยู่หน้าทางเข้า แต่สีหน้าต้องเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
ซอมบี้ตัวหนึ่งเกาะอยู่บนเสาข้างหน้าล็อบบี้มองมาที่ตนด้วยสายตาจ้องเขม็งแบบกะจะฆ่าแกงให้ได้ “นี่พวกมันยังไม่เห็นแกสินะ จ้องหน้าซะเค้าเขินเลย” ริกพูดขึ้น
..........
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in