เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ALIVE : เกม ซ้อน เกมNO.W
ตะลุย ! ตึกกลางเมือง
  • ……….

     

    ตอนที่ 24 : ตะลุย ! ตึกกลางเมือง

     

    “ไม่มีว่ะ”  ริกพูดเมื่อชะโงกหน้าออกไปนอกตัวลิฟต์แต่มือก็ยังคงกดปุ่มเปิดลิฟต์ค้างอยู่

    “งั้นก็ไปกันเถอะ  เก็บปืนด้วย” ผมบอกก่อนก้าวออกจากลิฟต์

     

                เราสองคนเดินออกมาจากลิฟต์  มุ่งหน้าไปยังล็อบบี้  ผมเหลือบมองนาฬิกาที่แปะอยู่บนฝาผนังมันบอกเวลาบ่ายสองแล้ว แต่พอเดินมายังไม่ทันพ้นล็อบบี้ผู้คนที่เดินสวนกับเราต่างมองมาที่เราสองคนกันหมด  คงจะแปลกใจว่า ‘ชั้นบนมันมีอะไรไมลงมามีคราบเลือดด้วย’

    “สงสัยจะเป็นรอยเลือดบนเสื้อ”  ผมบอกริก

     

                ตอนนี้เราออกมาถึงหน้าลอบบี้แล้ว แต่ทันทีที่พนักงานประชาสัมพันธ์เห็นเราก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุยทันที  ผมจึงเร่งริกให้เดินเร็วขึ้นอีก

    “อ๋อง รปภ. มันมองเราแปลกๆ นะ”  ริกพูดเมื่อเห็นท่าที รปภ. ข้างหน้าเปลี่ยนไปเมื่อเจอพวกเรา

    “ไม่ใช่แค่ตรงประตู  มึงเห็นรอบๆ มั้ยรู้สึกว่า รปภ. จะเยอะขึ้น”  ผมพูดบ้างเมื่อมองรอบข้างแล้วเห็น รปภ. จากส่วนต่างๆ ที่เหมือนค่อยๆ เดินมาทางพวกเรา

    “เอาไง อย่างน้อยข้างหลังเราก็ยังโล่งนะตอนนี้”  ริกเสริม

     

    ผมคิดในใจครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจได้ จึงบอกริกว่า   “วิ่ง !”  

     

                ผมกับริกหันหลังขวับแล้วสับขาวิ่งไปทางลิฟต์ที่เพิ่งจะออกมาทันที  แล้วพวกเราก็คิดกันไม่ผิดซะด้วยที่สงสัย รปภ.พวกนั้น  เพราะทันทีที่ออกตัววิ่งพวกนั้นก็รีบวิ่งไล่ทันทีทำเอาผู้เล่นคนอื่นๆ ต่างพากันสงสัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันยกใหญ่

    “ลิฟต์ยังไม่มา !”  ริกพูดเมื่อวิ่งไปถึงลิฟต์ก่อนผม

    “บันได ๆ !”  ผมรีบตะโกนบอกมันทันทีก่อนที่เราทั้งคู่จะผลักประตูหนีไฟเข้าไป

     

                เราสองคนวิ่งยังไม่ถึงชั้นสองก็ได้ยินเสียงประตูเปิดไล่หลังพร้อมกับเสียงพวกรปภ. ตะโกนบอกให้เราสองคนหยุด พร้อมทำท่าจะยิงปืน

    “รู้สึกประตูขึ้นชั้น 4 มันจะล็อคนะ”  ริกทิ่วิ่งอยู่พูดขึ้น

    “มึงรีบวิ่งขึ้นไปดูว่ามันสามารถเข้าไปได้มั้ย เดี๋ยวถ่วงเวลาให้”  ผมพูดก่อนจะหยุดวิ่งที่ชั้นพักบันไดจะขึ้นชั้น3 ก่อนหยิบปืนที่เหน็บไว้ข้างหลังออกมาถือ

    “ไหวหรอวะ”  ริกถาม

    “รีบไปเหอะน่า  เร็วเข้า !”   ผมพูด ยิงออกไปหนึ่งนัดทำเอาพวก รปภ. ข้างล่างถึงกับชะงักไม่กล้าที่จะขึ้นต่อ

    “ดูท่าจะไม่ได้ล็อค”   ริกพูดก่อนกดและผลักประตูออกไปแต่ก็ไม่ขยับ  “กรรม! ต้องดึงเข้านี่หว่า”  แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถเปิดประตูได้อยู่ดี

    “ไม่ได้ว่ะอ๋อง !”  ริกตะโกนลงมา

    “ขึ้นไปลองชั้น 5 ยัง”  ผมตะโกนพลางยิงใส่ รปภ. คนหนึ่งที่บุกขึ้นมาเข้าที่ขาจนกลิ้งลงไปข้างล่าง  ซึ่งตำแหน่งผมค่อนข้างได้เปรียบ เพราะผมยืนบนชานพักขึ้นชั้น3 ซึ่งหันหน้าไปยังประตูชั้น 2ซึ่งนั่นหมายความว่าผมสามารถมองเห็นทันทีเมื่อเจ้าพวก รปภ.มันเดินขึ้นมาจากชานพักขึ้นชั้น 2 ทำให้สามารถถ่วงเวลาได้นานหน่อย

    “ไม่มีโว้ย !”  มันสุดชั้นแค่นี้แหละ”  ริกตะโกนลงมา ผมได้ยินเสียงวิทยุจาก รปภ. ข้างล่าง

    “แถวนั้นมีกล้องวงจรปิดที่มันส่องประตูอยู่มั้ย !”  ผมตะโกนถาม

    “มี  !  ทำไม”  ไม่นานริกก็ตอบกลับ

    “ไม่ต้องทำลายกล้องนะ มึงทำท่าถีบประตู ทำห่าไรก็ได้ให้เหมือนกับว่า มึงจะบุกเข้าไปให้กล้องมันเห็นอ่ะทำตอนนี้เลย เร็ว !”  ผมตะโกนสั่งริก

    “ยัง !  ยังไม่เปิดอีก!”   ริกตะโกนคำนึงก็ถีบลงไปบนประตูครั้งนึงจนเกิดเสียง ปึ้ง !  แทบจะได้ยินทั่วกันเลยทีเดียว

     

    แอ๊ด ~   เสียงเปิดประตูชั้น 2 เผยให้ผมเห็นภาพเจ้าหน้าที่ รปภ. อีกชุดหนึ่งที่กำลังจะเข้ามา แต่ผมที่ไหวตัวทันก็รีบยิงไปที่ประตูเพื่อสกัดไว้ก่อน คราวนี้ผมจึงต้องรับมือกับทั้งสองทาง

     

    “สงสัยจะไม่ได้มั้ง อ๋อง !” ริกตะโกนลงมา

    “ทำต่อไปเหอะน่า !”  ผมตะโกนตอบก่อนเริ่มคิดว่ากระสุนใกล้หมดแล้ว  คงไม่ทันแน่ถ้าต้องมานั่งยัดกระสุนที่ซื้อมาใหม่ใส่แม็ก

     

                ผมตัดสินใจยิงไปที่ประตูอีกนัดและข้างล่างอีกนัดเพื่อขู่พวกมันก่อนออกตัววิ่งขึ้นข้างบนเพื่อไปหาริกที่กำลังก่อกวนทุกวิถีทางที่จะทำให้ประตูเปิด

    “ถอยไปริก !”  ผมตะโกนเมื่อกำลังวิ่งขึ้นและเห็นว่าประตูชั้น 4กำลังแง้มออกก่อนจะเห็นร่างเจ้าหน้าที่คนหนึ่งออกมาพร้อมกับปืนแต่ผมก็คว้าโอกาสที่ยังไม่ได้ตั้งตัวยิงไปที่ลำตัวเจ้าหน้าที่ข้างหน้าจนหงายหลังล้มระหว่างประตู  “เข้าไปสิคับพี่ จะรออะไรล่ะคับ” ผมบอกริกให้รีบเข้าไปข้างในก่อนจะหันหลังไปยิงเจ้าหน้าที่อีกคนที่วิ่งขึ้นมาจนล้มกลิ้งลงไป

     

    ผมลากศพเจ้าหน้าที่ที่ขวางประตูเข้ามาข้างในก่อนจะรีบล็อกประตูทันที

    “ไอ . . . อะ อ๋อง”   ริกพูดเสียงตะกุกตะกักเมื่อกำลังงัดแรงสู้กับเจ้าหน้าที่อีกคนอยู่

     

                เจ้าหน้าที่นั่นหันหลังขวับมาทันทีเมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้พูดกับคนอื่นและเมื่อเห็นผมก็ทำสีหน้าตกใจกว่าเก่า ก่อนจะเหลือบไปที่วิทยุข้างเอว  ผมจึงรีบวิ่งเข้าใส่ก่อนจะดึงวิทยุทิ้งไปกับพื้นและเตะข้อพับขาให้เจ้านี่ล้มลง  ริกเห็นว่าได้โอกาสก็รีบเงื้อปืนขึ้นหมายจะยิงทันที

    “อย่ายิงๆ ! มีเสียงปืนเดี๋ยวก็แห่กันมาอีกหรอก”   ผมพูดก่อนจะขู่เจ้าหน้าที่ให้ลุกขึ้นและอยู่เฉยๆซะถ้ายังไม่อยากตาย

    “กล้ายิงก็ยิงเซ่ ! พวกชั้นจะได้มาฆ่าแกซะ”  รปภ. ตะโกนขึ้น

    “บอกให้เงียบไง”  ริกจ่อปืนขู่ทำให้เจ้านี่หน้าซีดลงไปบ้าง “แล้วเอาจะเอาไงกับไอ้นี่ดี”ริกถามขณะจ่อปืนมาที่เจ้า รปภ.

    ‘อยู่ตรงนี้นานๆ คงไม่ดีแน่ แล้วจะทำไงล่ะ’  ผมคิดในใจก่อนมองไปยังทางเดินโล่งๆที่ยังไม่ปรากฏบุคคลอื่นนอกจากคน 3 คน ตรงหน้าประตูและเสียงโวยวายและพยายามงัดประตูของพวกรปภ. ข้างนอกประตูซึ่งดังพอจะทำให้พวกนักวิจัยได้ยินได้

    “เอามือไว้บนศีรษะหันหลังเข้ากำแพงซะ !”  ผมสั่งให้เจ้าหน้าที่ทำตามที่ผมบอก

    “เฮ้ยๆๆ ! เดี๋ยวๆ มึงคงไม่คิดจะ...”  ริกพูดเมื่อเห็นว่าผมกำลังจะทำอะไร 

    “นี่แหละทางเลือกสุดท้าย ไม่มีเสียงด้วยอีกอย่างเราต้องรีบไปแล้วไม่งั้นไอ้พวกข้างนอกประตูนี่มันคงหาทางอื่นเข้ามาจับเราอยู่ดีแหละ” ผมบอก

    “มึงคิดดีแล้วนะอ๋อง . . . เฮ้ย ! บอกให้อยู่นิ่งๆ ไงอย่าขยับ” ริกหันกลับไปจ่อปืนไว้ ก่อนที่ผมจะชักมีดที่ต้นขาขึ้นมากระชับในมือแน่นก่อนจะหันหลังไปสบตากับริกที่ทำท่ากลัวหน่อยๆแต่ทำไงได้  ผมคิดวิธีอื่นไม่ออกแล้วจริงๆผมเดินมาหยุดอยู่ข้างหลัง รปภ. ที่บ่นพึมพำด่าพวกเราบ้าง พูดว่าเดี๋ยวพวกเราจะโดนจับบ้างต่างๆนา

     

                ผมหันด้านคมลงข้างล่าง สูดลมหายใจเข้าออกเพื่อทำใจพักหนึ่งก่อนตั้งสติได้ใช้มือซ้ายจับหัว รปภ. ข้างหน้าพร้อมกับใช้มีดที่อยู่ในมือขวาปักเข้าคอในแนวขวางร่างเจ้า รปภ. กระตุกเล็กน้อยก่อนจะแน่นิ่งไปโดยไม่มีแม้แต่เสียงร้องสักนิด

     

                ผมดึงมีดออกจากคอเจ้าหน้าที่ทันทีพร้อมกับที่ของเหลวสีแดงข้นไหลทะลักออกมาไม่หยุด  ทำให้พื้นบริเวณนั้นเปรอะด้วยแอ่งเลือดไปทั่วบริเวณ  ซึ่งคาดว่าคงไหลออกไปนอกประตูบันไดหนีไฟแน่ๆและข้างนอกก็เงียบลงแล้วด้วย คงจะไปหาทางเข้าอื่น ไม่ก็เรียกกำลังเสริม ผมคิด ก่อนจะเช็ดปลายมีดกับเสื้อรปภ. อีกคนซึ่งตอนนี้ก็นอนอยู่ในแอ่งเลือดไปด้วย  ผมเหลือบเห็นปืนข้างๆ ก่อนจะบอกให้ริกหยิบของอีกคนที่เพิ่งจัดการไปด้วยจะได้มีไว้ใช้

    “มึงก็กล้าทำเนอะ”   ริกพูดพลางเอาปืนที่เลอะเลือดถูๆกับเสื้อของ รปภ. ที่นอนอยู่

    “ทำไงได้ล่ะ ถ้าไม่ทำเราก็ไม่รอด”  ผมพูดก่อนเก็บปืนเก่าที่กระสุนหมดลงไว้ในเป้และเหน็บอันที่เก็บได้ไว้ข้างหลังแทน “ไปต่อเถอะเดี๋ยวจะมีแขกมาเยี่ยมอีก”  ผมบอก

     

                พวกเราสองคนเดินออกมาจากจุดบันไดหนีไฟจนมาเจอกับส่วนห้องทดลองอีกแล้ว  พวกเราเห็นเตียงนอนที่วางเกลื่อนกราดพร้อมกับศพที่อยู่นอนข้างบน ไม่ใช่สิ คราวนี้มีชีวิต  มันไม่ใช่ซากศพรูปร่างภายนอกเหมือนซอมบี้หน่อยๆ ผมกับริกมองดูรอบๆ ไม่พบเจาหน้าที่จึงก้าวเดินออกมาช้าๆทำให้พบว่าห้องทดลองในชั้นนี้กว้างมากๆ  ณจุดที่เราก้าวออกมาจากทางเล็กๆ ที่พาเราออกมาจากทางหนีไฟ

     

                ด้านข้างของเราตรงข้ามกับประตูห้องทดลองมีลิฟต์สำหรับพนักงานด้วย หมายเลขบนแผงหน้าจอบ่งบอกว่าตอนนี้มันอยู่ที่ชั้น16  

    “โอ้ว ม่าย ก็อด !”   ริกอุทานเมื่อเห็นห้องทดลองที่จุเจ้าพวกนี้ที่นอนอยู่หลายเตียงและหลายห้องเลยทีเดียว เราสามารถมองผ่านกระจกใสของห้องข้างหน้าไปยังห้องต่อๆไปได้เลย  ทำให้แปลกใจกับความเยอะของห้องทดลองที่นี่ และที่แปลกใจที่สุดก็คือทำไมไม่ยักกะมีนักวิจัยหรือคนคุมงานสักคน

    “มันเงียบไปนะ ไม่เห็นคนในห้องเลย”  ผมสงสัย

    “ตรงนี้มันยังระดับแรกอยู่มั้ง ไม่ต้องคุมไรมาก  ดูดิ ป้ายก็บอกอยู่ว่า ระดับ 1”  ริกพูดพลางชี้นิ้วไปยังป้ายเหล็กที่ห้อยลงมาจากเพดานหน้าลิฟต์ที่เขียนว่า  ระดับ 1  

    “มันก็น่าจะมีเฝ้าไว้บ้างล่ะน่า … เออ ! มึงโทรไปบอกไอ้สองคนนั้นดิ๊ว่าตอนนี้เรายังคงลงไปหามันไม่ได้” ผมบอกริกที่กำลังมองเข้าไปในห้องทดลองที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่เกือบจะเป็นศพแต่ก็คล้ายศพมาก 

     

    ริกหยิบไอดีการ์ดขึ้นมาก่อนจะจิ้มๆ อยู่สักพักแล้วจึงยกขึ้นเงี่ยฟัง

     

    ติ๊ง

     

    “ไอ้เจ้าเด็กพวกนั้นมันไม่รู้ซะแล้วว่ากำลังเล่นกับใครอยู่”  เสียงคนในลิฟต์ดังขึ้นพร้อมๆ กับประตูลิฟต์ที่เปิดออก

     

                ผมกับริกรีบหันขวับมาตามเสียงติ๊ง  ที่บอกว่าลิฟต์มาถึงชั้น  หลังจากที่เราทั้งคู่ก็ไม่ได้ระวังข้างหลังกันเลยมัวแต่สนใจกับห้องทดลองข้างหน้า ทันทีที่คนในลิฟต์ก้าวออกมาก็ปรากฏกลุ่มชายที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี นั่นก็คือพวก รปภ. ที่ตามขึ้นบันไดมานั่นเองและเมื่อผมและริกต่างเห็น  พวกเราสองคนหันหลังขวับออกตัววิ่งไปตามทางข้างหน้าโดยไว ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าข้างหน้าจะมีอะไรอยู่บ้าง ขอแค่ตอนนี้รอดจากนี่ไปได้ก่อนก็พอ

    “เฮ้ย !  . ..”  เสียง รปภ.คนหัวหน้าตะโกนไล่หลังเรามาก่อนจะกลายเป็นเสียงฝีเท้านับสิบวิ่งตามพวกเรา

    “ประมาทไปหน่อย”  ผมพูดขณะเลี้ยวเข้ามาอีกทางนึง ซึ่งรอบข้างก็ยังคงเป็นห้องทดลองอยู่ดี

    “ไม่หน่อยแล้วล่ะ”  ริกตอบ ยังแนบไอดีการ์ดไว้กับหูอยู่

    “ต่อพวกมันได้ยัง”

    “ยังเลย”

     

                ผมที่เป็นคนวิ่งนำพยายามหาทางหนีไฟหรือสิ่งที่จะทำให้เรารอดจากตรงนี้ได้  ผมดึงปืนที่เหน็บไว้ข้างหลังออกมา  ก่อนจะชะลอความเร็วลงเมื่อถึงแยกข้างหน้าซึ่งก็ยังมีแต่กระจกใสๆของห้องทดลองอยู่

    “ก้มลงๆ”  ผมเอ่ยก่อนให้ริกที่วิ่งตามมาก้มต่ำลงจากกระจก  พวกนั้นจะได้มองไม่เห็นพวกเรา

    “รู้สึกมันจะแยกกันมาดักหน้าดักหลังเรา” ผมเดาก่อนลั่นไกปืนออกไปสองสามนัดไปยัง รปภ. ที่วิ่งตามผมมาเข้ากลางลำตัวอย่างจัง  ซึ่งข้อดีของทางเดินก็คือไม่มีสิ่งกีดขวาง อีกทั้งยังเป็นทางที่ไม่กว้างและโล่งอีกต่างหากทำให้โดนง่ายเข้าไปอีก

    “ฮัลโหล ! ไอเปา”  ริกตะโกนแข่งกับเสียงปืนที่ผมยิง

    “บอกมันให้รีบไปเตรียมของที่โรงแรมให้พร้อมเราต้องออกจากเมืองแล้ว !” ผมพูดก่อนเข้ามาหลบหลังมุมของทางแยก

    “นี่พวกมึงทำอะไรกันอยู่เนี่ย ไมมีเสียงปืนด้วย” เปาถามด้วยความสงสัย

    “กำลังจะโดนฆ่าแล้วเนี่ย . . . ไออ๋อง !”   ริกตอบเปาก่อนตะโกนบอกให้ผมมองตามนิ้วมันที่ชี้ไปยังกระจกห้องทดลองซึ่งปรากฏเงาชายอีกกลุ่มนึงกำลังวิ่งมาทางนี้อีกทาง

    “ลุกขึ้นไปต่อ  เร็ว !”  ผมบอกริกก่อนหันไปยิงกดดันอีกกลุ่มที่มาอีกทางก่อนเกือบโดนกระสุนของกลุ่มแรกที่ตอนนี้เหลืออยู่แค่คนเดียวหลังจากพลาดโดนผมฆ่าไปสอง

    “มึงจะให้กูวิ่งไปไหนเนี่ย.... เฮ้ย ! บันได”  ริกตะโกนพลางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก

    “พวกมันวางสายไปยัง”  ผมตะโกนถามขณะตามริกวิ่งขึ้นบันไดเพื่อขึ้นไปอีกชึ้นนึง ซึ่งบันไดนี่ไม่มีประตูแค่เดินขึ้นก็มาถึงอีกชั้นได้เลย

    “เฮ้ย !  ลงๆๆๆ” ริกที่ขึ้นไปยังไม่สุดก็ตะโกนบอก

    “ลงได้ไงเล่า มันจี้ตูดมาแล้ว”  ผมตอบก่อนจะเห็นว่าข้างบนมี รปภ.อีกสองคนซึ่งกำลังจะหยิบปืนข้างเอวออกมาจึงรีบยิงออกไปขัดก่อนทันทีก่อนจะบอกกับริกว่า“มึงมีปืนก็หยิบมาใช้เซ่”

    “เปา ! แค่นี้ก่อนนะ ทำตามที่กูบอกละกัน พวกกูไปเจอเรื่องซวยมานิดหน่อย” ริกรีบพูดก่อนรีบยัดไอดีการ์ดเข้ากระเป๋ากางเกง  ริกก้มตัวแทบจะนอนราบไปกับบันไดอยู่แล้วก่อนหยิบปืนที่เหน็บไว้ออกมายิงไปยังรปภ. ข้างบนจนร่วงตกบันไดมาคนหนึ่ง

     

                ‘อยู่อย่างงี้แย่แน่ทั้งหน้าทั้งหลัง’  ผมคิด ใช้จังหวะที่ยังไม่มีการยิงชะโงกลงไปยังชั้นล่าง และยิงใส่กระจกห้องทดลองจนแตกกระเด็นใส่พวกรปภ. ทำให้ตกใจได้เล็กน้อยก่อนหันไปยิงใส่ขาอีกคนที่อยู่ข้างบนจนทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นก่อนจะโดนริกยิงซ้ำเข้ากลางตัวเลือดกระเซ็นบนพื้นเล็กน้อยก่อนล้มตึงลงไป

     

    เปร้ง !  เสียงกระสุนปืนกระทบราวบันไดเหล็กทำเอาผมสะดุ้งโหยงรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนโดยมีริกที่ตอนนี้นำหน้าอยู่

    “เร็วเข้า ! ทางสะดวก”  ริกพูดก่อนหันกลับมายิง รปภ.ที่วิ่งตามผมขึ้นมา

     

                ผมที่เพิ่งขึ้นบนขั้นสุดท้ายรีบก้มไปเก็บปืนสองกระบอกของเจ้าหน้าที่ที่ตายแล้วหอบไว้กับตัวก่อนรีบบอกริกให้ตามมา

     

    เพล้ง !    “โธ่ ! ยิงก็ให้มันแม่นๆ ดิวะ ไปยิงทำไมกระจกน่ะ ถ้าไอ้พวกในห้องมันฟื้นมาวิ่งไล่นี่ไม่งานงอกรึ  เต็มชั้นไปหมดเลยเนี่ย”  ผมพูดก่อนหักเลี้ยวทางขวาซึ่งก็คงเป็นทางวิ่งเหมือนๆกับชั้น 4 เมื่อกี้ “ใครมันจะไปแม่นเหมือนมึงล่ะวะ”  ริกพูดก่อนหันไปยิงใส่ กลุ่ม รปภ.อีกครั้งแต่ก็ยังคงโดนกระจกห้องทดลองแตกทั้งบาน  แต่อย่างน้อยก็ยังดียังกระเด็นใส่พวกนั้นบ้าง

    “เหลืออยู่กี่คน” ผมถามก่อนหักเลี้ยวอีกครั้งขณะทิ้งปืนที่กระสุนหมดทิ้ง  ส่งอีกกระบอกที่เก็บมาให้ริก  ถือไว้ในมือหนึ่งกระบอก  คราวนี้ผมเจอบันไดขึ้นอีกชั้นเร็วขึ้น คงเพราะตัวอาคารแต่ละชั้นออกแบบมาได้คล้ายกัน

    “2 คนได้ เมื่อกี้กูจัดการทีเผลอตอนมันวิ่งขึ้นมาไป 3 คน”  ริกตอบ

    “เก่งจริ๊ง เรื่องยิงคนทีเผลอเนี่ย แต่ก็ดี”  ผมพูดพลางหยุดก่อนถึงบันไดเพราะไม่รู้ว่าจะเจอรปภ. เฝ้าอีกชั้นรึเปล่า

    “จะคิดว่าเป็นคำชมละกันนะ”  ริกตอบ ตาสนใจเจ้าหน้าที่ที่ตามมาข้างหลัง

    “ไอ้ริกมานี่ ก้มต่ำไว้มันจะได้ไม่เห็น เร็วๆ”  ผมก้มตัวลงต่ำลงมาจากกระจกห้องทดลองเจ้าพวกนั้นจะได้ไม่เห็น ผมนำริกไปยังมุมของอีกทางเดินนึงเพื่อใช้หลบ

    “มาหลบอะไรตรงนี้เล่า บุกขึ้นไปเลยสิ”  ริกพูดขณะนั่งพิงตัวห้องอยู่

    “ใครบอกว่ากูจะหลบล่ะ กูจะดักยิงพวกมันต่างหาก มึงบอกเองไม่ใช่รึไงว่ามีแค่2 คน”  ผมพูด

    “อือ ใช่ 2 คน ถ้ามึงจะเอางี้เดี๋ยวกูไปอ้อมทางเดินข้างหลังเอาอีกทีดีกว่า” ริกเสนอ

    “แล้วแต่ งั้นเดี๋ยวมึงอ้อมไปหลังพวกมันแล้วเจอกันที่บันไดละกัน  ระวังหลังด้วยล่ะเผื่อมันเรียกพวกมาเพิ่ม” ผมเตือนมันก่อนจะบอกให้มันค่อยๆไป

     

    ปัง !  ผมปล่อยให้พวกมันขึ้นบันไดสองสามขั้นก่อนเริ่มยิงกระสุนนัดแรกเข้าราวๆ หน้าแข้งจนเจ้านั่นร้องโอดโอย ทำปืนตกก่อนจะกลิ้งตกลงมา  แต่ก่อนที่จะทันได้ยิงซ้ำอีกคนก็รู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ก่อนกระหน่ำยิงมาทางผมยกใหญ่  ‘ไม่ใช่ปืนสั้นนี่หว่า’ผมคิด เมื่อกระสุนที่ยิงมันรัวเกินที่จะเป็นปืนสั้นธรรมดาๆ   ปัง !  สิ้นเสียงปืนหนึ่งนัดผมได้ยินเสียงกระจกแตกดังเพล้ง ก่อนจะได้ยินเสียงตุ้บเหมือนอะไรกระแทกกับพื้นเมื่อชะโงกหน้าออกไปเจ้านั่นก็นอนโชกเลือดทั้งแผลที่โดนยิงและกระจกบาดซะแล้ว

    “เป็นไง ยิงทะลุกระจกซะด้วย”  ริกอวดก่อนจะมองอีกคนที่กำขาตัวเองอยู่

    “พวกมึงสองคนไม่รอดออกจากตึกนี้แน่ ! พวกมึงไม่รู้หรอกว่าเล่นกับใครอยู่! …..”

     

    ปัง !    “ก็อยากจะรู้เหมือนกันแหละ ”  ผมบอกร่างไร้วิญญาณของมัน

     

    “นั่นสิ เกมส์อะไรก็ไม่รู้ตอนแรกก็โอเคอยู่หรอก ตอนนี้เริ่มไม่โอเคละรู้สึกเหมือนเกมส์ตำรวจกับโจรมากกว่าเอาตัวรอดจากซอมบี้อีก”  ริกกล่าว

    “สงสัยข้างบนจะไม่มีคนรึเปล่า เงียบเชียว ไม่งั้นก็น่าจะลงมาแล้วนะ”ริกพูดด้วยความสงสัย

    “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ว่าแต่นี่ก็ชั้น 5 แล้วนะ ยังเป็นระดับ 1 อีกหรอเนี่ย” ผมพูดเมื่อเห็นยังมีป้ายติดว่าการทดลองระดับ1 อยู่

    “ระดับสูงคงอยู่ชั้นบนๆ มั้ง  ว่าแต่นี่ก็ไม่มีคนแล้วนะเรารีบลงลิฟต์ออกจากนี่กันเถอะ” ริกถาม

    “เออ ! จริงด้วย งั้นจะไปกดลิฟต์หรือจะค่อยๆ ลงเดินบันไดไปแล้วเนียนเข้าชั้น3 แล้วค่อยออกอีกทีนึง ไม่ได้สิ  รปภ.มันรู้แล้วนี่”  ผมพูด

    “เออว่ะ แล้วยังงี้พวกเราจะออกกันยังไงวะ”  ริกถาม

     

    กรี๊ดดด ~    

     

    “ปล่อยนะ ! บอกให้ปล่อยไง สักวันพวกนายจะรู้สึกถ้าไม่รีบหยุดเรื่องบ้าๆนี่ซะ ! สักวันพวกแกจะไม่มีที่ปลอดภัยให้อยู่ !”  เสียงร้องตามด้วยเสียงก่นด่าของผู้หญิงคนนึงดังขึ้นข้างบนชั้นเหนือหัวพวกเราทั้งสองคนรวมทั้งเสียงฝีเท้าของคนอีกสองสามคนด้วย

    “จับไปขังไว้ !  รอเวลาจัดการ”  เสียงผู้ชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าตะโกนสั่งลูกน้องด้วยเสียงที่แข็งกร้าวผมกับริกยืนนิ่งฟังเหตุการณ์ข้างบนที่ตอนนี้เสียงเริ่มจางลงไปแล้ว

     

    “พวกมันไม่ได้ยินเสียงปืน เสียกระจกแตกกันรึไงวะ”  ริกถาม

    “จะไปรู้มั้ยเล่า ! แต่ว่าเสียงผู้หญิงฟังดูคุ้นๆ เนอะว่ามั้ย” ผมถาม

    “ใช่เจ๊นักวิจัยนั่นรึเปล่า ที่บอกให้พวกเราวิ่งน่ะ”  ริกเดา

    “เออ !  รู้สึกว่าจะชื่อซิลว่า นะถ้าจำไม่ผิด”

    “แล้วทีนี้จะเอาไง จะไปช่วยมะ ดูท่าพี่แกจะรู้ความลับที่นี่เยอะอยู่” ริกถาม ซึ่งผมก็คิดว่านั่นจริงไม่น้อยเลยเพราะดูท่าทางคนที่ชื่อซิลว่าต้องการเปิดโปงอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ และนั่นก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ผมกับริกต้องการจะรู้ด้วย

    “มึงอยากรู้ความจริงมั้ยล่ะ” ผมถาม

    “มีใครมั่งล่ะไม่อยากรู้ จริงมั้ย”  ริกยิ้ม

    “งั้นรออะไรอยู่ล่ะ เดี๋ยวพี่แกตายขึ้นมาซะก่อน ทีนี้ล่ะจะแย่เอา”  ผมบอกก่อนที่เราสองคนจะกระชับปืนในมือแน่น  เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์อะไรก็แล้วแต่ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ  ก่อนจะพากันก้าวเดินไปยังบันไดเพื่อจะขึ้นไปช่วยนักวิจัยที่พวกเราสองคนคิดว่าสามารถตอบคำถามทุกเรื่องที่พวกเราสองคนสงสัยได้

     

    ..........

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in