เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I translate ZAYNBOOKChutipa Borihan
#3 ZAYN BOOK: 01 FREEFALL
  • 01.

    FREEFALL

    (*เซนมีการเล่นคำ กับคำว่า Prefall ด้วยค่ะ เป็น Freefall ร่วงลงมาแบบอิสระ ประมานนี้)

    'ผมแค่แสดงออกในรูปแบบของผม, และแน่นอน ผมไม่ได้คาดหวังใดๆกับอะไรที่ผมเคยทำ ที่พาผมไปสู่ที่ที่น่าตื่นเต้น, ไม่เหมือนอะไรที่ผมเคยทำในปีที่ผ่านมา.'




    "ผมรู้สึกว่ามีการพูดถึงผมอย่างมาก และทำไมผมถึงออกจาก One Direction."

    มันค่อนข้างเหมือนกับความฝัน เมื่อคุณใช้เวลา 5 ปีอยู่กับวงที่ประสบความสำเร็จ และหลังจากนั้นก็มีอิสระในการตัดสินใจได้ด้วยตนเอง. จากตอนนั้นที่ผมออกจาก One Direction, ทุกๆอย่างเปลี่ยนไป. ในทันที, ผมเป็นผมเอง, ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่ได้เป็นมาในหลายปีก่อน. ผมใช้เวลาไม่กี่เดือนในการอัดเพลง กับคนบางคนที่ผมรู้จักและเคยทำงานด้วยกันมาก่อน. ผมเจอโปรดิวเซอร์ที่ผมคิดว่าจะสามารถช่วยผมทำเพลงที่ผมคิดไว้ว่าจะทำตั้งแต่ผมอายุ 17 ปี. แต่เอาจริงๆนะ, ผมไม่รู้เลยว่าผมกำลังทำอะไรอยู่. ผมเคยเขียนเพลงของผมบ้าง ตอนผมอยู่ในวง, มันไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่, แต่ผมจะทำงานออกมาในแบบที่ผมต้องการจะสื่อกับผู้คน. ทุกๆเนื้อร้องจะต้องมีความหมายอะไรบางอย่างกับผม, แล้วมันก็ใช้เวลานานที่จะหาหนทางที่จะทำอะไรที่เป็นโอกาสที่ดีและบ้าที่สุดในชีวิตของผม, ที่จะรับแต่อะไรที่เป็นไปในทางบวก และพยายามที่จะลืมอะไรที่เป็นแง่ลบ และในที่สุดมันก็จะนำสิ่งที่สะท้อนออกมาให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของผม.

    ผมรู้สึกเหมือนว่ามีการพูดถึงผมเป็นอย่างมาก และทำไมผมถึงออกจาก One Direction. ในตอนนั้นมันยากมากที่จะข้ามผ่านอะไรที่เกิดขึ้นในหัวของผม และอะไรที่เกิดขึ้นในชีวิตของผมตอนนั้น. ผมเดาว่านั่นคงเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเขียนสิ่งนี้ในตอนนี้. ไม่เพราะผมคิดว่าผมยิ่งใหญ่, หรือเพราะโลกทั้งโลกจะต้องรู้เกี่ยวกับ Zayn Malik, แต่ก็นั่นแหละ, ถ้าคุณสนใจจริงๆ คุณจะเข้าใจมากขึ้นซักนิดว่า ทำไมผมถึงทำอะไรที่ผมทำ และทำไมผมถึงมาอยู่ในจุดนี้. แฟนเพลงสมควรจะได้รับคำตอบ. ดังนั้น ผมจึงพยายามและจะบอกพวกเขา. ถ้าคุณรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผมแล้ว, นอกจาก "คนนั้นไง ที่ออกจาก One Direction" คุณคงจะรู้แล้วว่าผมไม่ใช่อะไรแบบนั้นที่จะพูดถึง. การสัมภาษณ์ไม่เคยพูดถึงความสามารถจริงๆของผมด้วยซ้ำ, และผมค่อนข้างที่จะเก็บมันเป็นเรื่องส่วนตัว. แต่ผมกำลังจะแสดงให้คุณเห็น ให้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ และคุณจะสามารถตัดสินผมได้จากในแง่ของตัวผมเอง, ไม่ใช่อะไรที่คนอื่นยัดเยียด หรือเคยพูดเกี่ยวกับผม.

    คุณคงคิดว่าการออกจากวงคงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับผม, เพราะว่าในที่สุดผมก็เป็นอิสระ ที่จะทำอะไรก็ได้ที่ผมต้องการ, แต่, ถ้าให้ผมพูดตรงๆกับคุณนะ, มันไม่ได้รู้สึกแบบนั้น. พูดกันตามจริงนะ, ผมค่อนข้างรู้สึกสูญเสีย. ผมรู้อย่างแน่นอนว่าผมต้องการทำเพลงของผมเอง - มันเป็นเพียงทางเดินเดียวที่ผมมี - แต่ผมรู้สึกเหมือนไร้จุดหมาย. ทุกอย่างที่ผมเคยรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ (industry: ธุรกิจ) - สมาชิกวง (the boys), ทีมงาน, ผู้จัดการ, กฎหมาย - ทุกๆอย่างหายไปในวันที่ผมออกจากวง. ผมรับผิดชอบเกี่ยวกับการออกจากวงนะ, แน่นอนอยู่แล้ว, แต่มันก็เป็นความสับสนครั้งยิ่งใหญ่อยู่ดี. ทันทีทันใดในตอนนั้น, มันมีแค่ผมและความคิดของผม, และมันก็น่ากลัวมาก. (fucking terrifying) ผมควรจะใช้เวลาหลายชั่วโมงกับตัวเอง, เพื่อที่จะหาวิธีว่าอะไรกันแน่ที่ผมควรจะทำต่อไป. มองย้อนกลับไป, ผมคิดว่าผมต้องการช่วงเวลานั้นนะ, การทบทวนความคิด ความรู้สึกของตัวเองที่เข้ามาตอนที่ทุกอย่างที่คุณรู้มาตลอดเกือบครึ่งทศวรรษหล่นหายไป. ในที่สุดผมก็ตระหนักได้ว่า ผมต้องการการรับรอง. ผมโชคดีที่ผู้จัดการส่วนตัวของผมแนะนำผมให้กับบริษัทการจัดการบริษัทใหม่ที่ทำงานโดยผู้หญิงทั้งหมด. ผมถูกดูแลโดยผู้หญิงเป็นส่วนมาก, ผมรู้สึกดีนะ, ผมได้รับการสนับสนุนอีกครั้ง และเป็นการสนับสนุนที่ผมเชื่อใจ. พวกเขาเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะทำ, เพลงที่ผมต้องการจะทำ, และผมรู้โดยสัญชาตญาณว่า พวกเขาคือคนที่เหมาะสมที่จะช่วยผม.

    One Direction ทำเพลงป๊อปได้อย่างดีเยี่ยม, ไม่มีอะไรจะมาปฏิเสธในข้อนี้ได้. แต่พูดแบบไม่มีความลับนะ เพลงป๊อปจริงๆแล้วไม่ใช่อะไรที่เป็นผมเลย และจนถึงช่วงเวลาสุดท้ายของผมในวง, ผมยิ่งรู้สึกสิ้นหวังมากขึ้นที่จะได้แสดงความเห็นในรูปแบบของผม และเขียนเนื้อเพลงที่เกี่ยวกับอะไรที่ผมเชื่อจริงๆ, มากกว่าทำนองเพลง หรือจังหวะ ที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อ One Direction. สิ่งที่คุณควรจะเข้าใจก็คือ พวกเราทุกคนไม่มีสิทธิที่จะพูดมากนักเกี่ยวกับเพลง. อย่างน้อยที่สุด, มันไม่ได้เกิดขึ้นในตอนเริ่มต้น (หมายถึงตอนที่เริ่มเป็น 1D ทุกคนไม่ค่อยมีสิทธิได้แสดงความเห็นมากนักเกี่ยวกับการทำเพลง). ถ้าผมถูกแนะนำให้ร้องในท่อนฮุค หรือท่อนฮุคที่เหมือนจะเป็น R&B มากกว่า, มันจะทำให้รู้สึกสมูทมากกว่าการร้องให้เป็นไปในทางเพลงป๊อป, เพราะนั่นคือเพลงที่ถูกควาดหวังจากพวกเรา. แม้กระทั่งในตอนที่พวกเราโตเต็มที่แล้ว และสมาชิกคนอื่นๆเริ่มที่จะพัฒนาเสียงของพวกเขามากขึ้นอีกนิด, ผมรู้สึกว่าในขณะเดียวกันมันไม่ได้เกิดขึ้นกับของผม. ผมติดอยู่กับมัน (หมายถึงการอยู่ในวง) เพราะการสนับสนุนและการตอบรับในทางที่ดี ที่พวกเราได้จากแฟนๆทั่วโลกที่น่าทึ่ง, และผมเคารพที่มันได้ผลกับสมาชิกในวงคนอื่นๆ. ด้วยความซื่อสัตย์นะ, มันเหมือนการดิ้นรนสำหรับผม, ความจริงที่พวกเราไม่ได้ร่วมแบ่งปันในรสนิยมเดียวกัน. มันรู้สึกนิดๆว่าถูกบังคับให้ลงไปอยู่ในแม่พิมพ์ที่เราไม่มีทางพอดีกับมัน. ผมต้องการที่จะอยู่ในสตูดิโอ ร้องเนื้อเพลงที่ดังก้องกังวาลไปกับตัวผม, ไม่ใช่แค่ร้องซ้ำท่อนของคนอื่น.

    ในฐานะที่วงเราไปทัวร์ทั่วโลกมาแล้วหลายต่อหหลายครั้ง. มันคือช่วงเวลาที่ได้ใช้เวลาอยู่บนรถบัส (รถบัสสำหรับทัวร์คอนเสิร์ต คันใหญ่ๆ) และเครื่องบิน, และตอนนั้นเองที่ผมได้รับความคิดสร้างสรรค์. มันเป็นช่วงเวลาหลายชั่วโมงระหว่างโชว์ เมื่อผมเก็บตัวแยกออกมา และเขียนเนื้อเพลงด้วยตัวเอง. เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมมองเห็นหน้าต่างเพื่อที่จะเขียนเนื้อเพลงและคว้ามันมา, ถึงแม้ว่ามันจะหมายถึงการทำงานจนดึกดื่น และถึงแม้ว่าถ้าผมรู้ว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่เราจะได้ใช้มันในวงก็ตาม. มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพูด, ว่านี่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ผมจะแยกตัวออกไป และเป็นศิลปินเดี่ยว. ผมไม่ได้คิดถึงการเป็นศิลปินเดี่ยว, ผมแค่คนที่แสดงออกในรูปแบบของตัวเอง และใช้ช่วงเวลาพักจากงานที่เราต้องทำ เพื่อทำสิ่งที่ผมรักที่สุด. ย้อนเวลากลับไป, สิ่งที่ผมรู้ตอนนี้คือการเป็น One Direction ทำให้ผมมีโอกาสที่จะเข้าใจว่ามันคืออะไรที่ผมต้องทำ - และมันก็คือการหา sound ของตัวผมเอง (อาจจะหมายถึงเสียง, ทำนองเพลงที่ Zayn ต้องการ) มันเป็นช่วงเวลาให้หลังของการใช้ชีวิตอยู่ในวงของผม ที่จริงๆแล้วผมเริ่มเข้าไปเยี่ยมสตูดิโอด้วยตัวของผมเอง, เพียงแค่ไปยุ่งเกี่ยวกับการทดลองทำ sound. มันให้ความรู้สึกสำคัญที่เพิ่มมากขึ้น ในการกำกับดูแลเวลาของผมด้วยตัวของผมเอง, ทำในสิ่งที่คนอื่นๆตัดสินใจว่ามันดีแล้วสำหรับผมน้อยลง, และมากขึ้นสำหรับอะไรที่ผมรู้สึกว่ามันใช่จริงๆสำหรับผม. 

    "ผมต้องการที่จะอยู่ในสตูดิโอ ร้องเนื้อเพลงที่ดังก้องกับวาลไปกับตัวผม, ไม่ใช่แค่ร้องซ้ำท่อนของคนอื่น."


    อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผม หลังจากที่ผมออกจากวง และเมื่อผมได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนในตอนแรกว่า การปล่อยเพลงของผมเองคือการที่ผมยังไม่ได้ทำให้เสียงของผมเป็นรูปเป็นร่างเลย. ผมมีดนตรีบางส่วนที่สร้างขึ้นมา และไอเดียเกี่ยวกับเนื้อเพลง, แต่ไม่มีอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากนี้เลย. ผมคิดว่ามันเมคเซนส์นะ - ผมไม่ได้มีประสบการณ์ชีวิตมากเมื่อ One Direction ได้เริ่มต้นขึ้น. ผมแค่เด็กผู้ชายจากแบรดฟอร์ด ที่มาแสดงใน X Factor รอบคัดเลือก. ผมมีความฝันว่าอยากเป็นศิลปินเดี่ยว, แต่ผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับการทำงานพวกนี้เลย, วิธีการทำงาน หรืออะไรที่ทำให้มันเป็นงานออกมา. ผมไม่รู้เลยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง หรือมันมีกระบวนการการทำงาน (การตัดสินใจ) กันยังไง. สิ่งต่อมาที่ผมได้รู้ ผมถูกจับให้อยู่ด้วยกันกับทั้ง 4 คนอื่นๆ และ One Direction ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น. พวกเราเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วในการเดินทางที่แสนบ้าคลั่งนี้ ที่ๆพวกเราแสดงบนเวที ที่ขายบัตรจนหมดเกลี้ยง และมีกลุ่มฝูงชนของแฟนคลับในทุกๆที่ที่เราไป. มันค่อนข้างล้นหลามเลยล่ะ.

    การเป็น One Direction เป็นการเปิดประตูสู่อีกขั้นของความบ้าคลั่งของโอกาสที่ดีสำหรับผม, แต่มันก็ส่งผมอย่างผลีผลามไปในโลกที่ผมไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน, และนั่นมันทำให้ผมกลัวมาก. ก่อนที่ผมจะไป X Factor, ผมยังไม่เคยไปลอนดอนด้วยซ้ำ, เดินทางคนเดียวบนเครื่องบินครึ่งทางข้ามโลก. ผมจำไฟลท์แรกของผมได้ - ผมรู้สึกกระวนกระวายมากกับมัน, และมันไม่ช่วยเลย เมื่อคนอื่นในวงคิดว่ามันตลก เพื่อทำให้ผมสบายใจว่า เครื่องบินจะตีลังกาหลังจากเครื่องขึ้น. ผมเกือบจะโกหกตัวเอง (I nearly shit myself.) จริงๆแล้วพวกเขาเพียงแค่ต้องการจะหัวเราะ, แต่ความจริงที่ผมเชื่อคือ พวกเขาต้องการจะแสดงให้เห็นว่าผมซื่อ (naive) แค่ไหน. มันไม่ใช่ว่าผมแยกตัวออกมาเหมือนเด็ก, แต่ผมโตมาในเมืองที่มีไว้สำหรับคนจำนวนมาก, มันไม่จำเป็นต้องคาดหวังใดๆว่าจะต้องออกไปจากเมืองนี้. ผมคิดว่ามันเป็นโชคดีของผมที่ผมได้รับโอกาสนี้. มันเป็นการผจญภัยของพวกเราทั้ง 5 คน ที่มาจากชีวิตที่เรียบง่ายที่มีพื้นเพต่างกันออกไป, และแน่นอนเราโอบกอดโอกาสที่เราได้รับ. แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม, ผมไม่เคยสูญเสียความรู้สึกที่ว่าผมเป็นอะไรบางอย่างที่เป็นคนนอก. บางทีอาจจะเพราะผมมาจากแบรดฟอร์ด, บางทีอาจจะเพราะสำเนียงของผม, หรือศาสนา - ผมไม่รู้. แต่ทุกๆคนรอบๆตัวพวกเรา, ผู้จัดการ, ค่ายเพลง, ทนายความ, ทุกคนดูเหมือนจะหรูหรา (มีชีวิตที่หรูหรา) เมื่อเปรียบเทียบกับเรา. ทุกอย่างที่ผมเคยรู้จักมาก่อนเหมือนถูกแทนที่ด้วยบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างออกไป (alien), และนั่นก็ทำให้มันเกิดความสับสน. ผมเติบโตมาในครอบครัวที่มีความใกล้ชิดกันและ, เหนือสิ่งอื่นใด, มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับผมที่จู่ๆก็ได้ห่างไกลจากพวกเขา. จู่ๆชีวิตก้ได้กลายเป็นเหมือนรถไฟเหาะ ตีลังกาอย่างบ้าคลั่งด้วยความไม่คุ้นเคยและความไม่แน่นอน เกิดขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย, และแม้ว่าผมจะทำได้ดีสำหรับความท้าทายนี้, แต่ในขณะเดียวกันมันก็น่ากลัว. 


    ไม่ได้บอกนะว่ามันไม่สนุกในช่วงเวลานั้น. มันสนุก. พวกเราทั้ง 5 คน จะออกไปเที่ยวกัน, เตะฟุตบอล และมักจะมีการหัวเราะ. ในขณะนั้น, ชีวิตพวกเรารู้สึกน่าตื่นเต้น, และความตื่นเต้นที่พวกเราได้ใช้ร่วมกัน สร้างความผูกพันธ์จริงๆระหว่างเรา. เมื่อไหร่ก็ตาม ที่พวกเราทำเพลงใหม่ด้วยกัน, ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่แนวเพลงที่ผมชอบ, ผมก็ยังเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์ที่ได้ทำมัน, เล่นทำนองใหม่ของเพลงล่าสุดของเราที่บ้านหรือในรถ, ดังจริงๆ, ซ้ำแล้วซ้ำเล่า, คิดว่า "ให้ตายเถอะ, เราทำอย่างนั้น, นั่นคือที่พวกเราได้อัดไว้." ผมได้พบกันแฟนเพลงที่ยอดเยี่ยม, และผมไม่สามารถขอบคุณทุกคนได้อย่างเพียงพอ สำหรับความรักและความสนับสนุนที่พวกเขาให้กับผมในช่วงเวลาดีๆ, และช่วงเวลาแย่ๆ. ผมสามารถพูดตามตรงได้เลยว่า ผมภูมิใจมากในสิ่งที่ได้ทำจากวันเวลาที่ผมอยู่ใน One Direction. ผมไม่แน่ใจหรอกว่าผู้คนตระหนักถึงมันรึเปล่า, แต่ผมภูมิใจนะ. ผมจำได้นะ - แผ่นเพลงแพลตินัมที่พวกเราได้มันมาในทุกอัลบั้ม - รวมไปถึงบ้านของผมด้วย. ผมมีกำแพงที่แสดงถึงพวกเขา. (ในบ้าน) (Zayn อาจจะมีกำแพงที่ติดรูป หรืออะไรบางอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเป็น One Direction บนกำแพง) One Direction เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมในตัวของมันเอง,  และมันเป็นส่วนหนึ่งของผม, เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวของผม, และผมก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธในทุกแง่มุมในชีวิตของผม. 

    แต่ในแง่ของดนตรี, ผมกลับไม่รู้สึกว่าเป็นแรงบันดาลใจ. มีหลายครั้งที่ผมเพียงแต่เออออไปกับมัน เพราะผมกำลังเรียนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร, เกือบจะเหมือนเป็นหลักสูตร, และในเวลาที่ผมซาบซึ้งว่าอะไรได้ผลกับ One Direction, ได้ผลกับวง, แต่มันไม่ได้ผลกับผม. ผมคิดว่าเมื่อคุณอยู่ในสตูดิโอกับโปรดิวเซอร์ที่มีประสบการณ์มากมายจริงๆ และกลุ่มของคนทั้งหมดที่พวกเขาพูดถึง, โดยเฉพาะในตอนเริ่มต้น, ผมสามารถมองเห็นว่า ผมยังไม่พร้อมที่จะเป็นศิลปินเดี่ยว ในตอนที่ผมอายุ 19, 20, หรือแม้กระทั่ง 21. 5 ปีกับการอยู่ในวง เหมือนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผม ที่เป็นเด็กหนุ่มที่กำลังเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้. อัดเพลงและการไปทัวร์สำหรับ 4 อัลบั้ม - Up All Night, Take Me Home, Midnight Memories และ Four - และทำงานร่วมกับผู้คนที่มีทักษะความสามารถที่ยอดเยี่ยม มันท้าทายนิสัยของผม, ทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น และสอนผมว่าอะไรที่จะทำให้เป็นเพอร์ฟอร์เมอร์ (ผู้แสดงโชว์) ที่ดี. ผมเป็นสักขีพยานให้กับนักแต่งเพลงที่มีฝีมือมากในการทำงาน และได้รับประสบการณ์ครั้งแรกในฐานะศิลปิน, และสมาชิกในวงที่อยู่ข้างๆผม. ผมขอบคุณมากสำหรับเรื่องนี้. 


    "นึกย้อนไป, เรื่องที่ผมตระหนักตอนนี้คือ การได้เป็น One Direction ให้โอกาสที่ผมจะได้เข้าใจว่าอะไรที่ผมควรจะทำ - และมันก็คือ การค้นหาเสียงเพลงของผมเอง."

    แต่มันก็มาถึงจุดที่มันไม่ได้ผลอีกต่อไป. ในตอนนั้นสุดท้าย ผมก็ได้ตัดสินใจ ที่จะออกจาก One Direction, มันไม่ได้รู้สึกเหมือนการตัดสินใจที่รู้สึกหรือคิดได้. ผมแค่ไปถึงจุดที่ผมรู้ว่า ผมไม่สามารถไปต่อได้. ผมเหนื่อย. ผมรู้สึกเหมือนผมแกล้งทำมัน, และผมไม่ชอบที่จะต้องแกล้งทำ. ผมแค่อยากกลับบ้าน. ว่ากันตามเหตุผลนะ, มันไม่เมคเซนส์เลย, ออกจากวงบอยแบนด์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ในจุดที่กำลังประสบความสำเร็จสูงสุด. แต่หลังจากเกือบ 5 ปี ในการทำทัวร์และโปรโมทแบบไม่หยุดหย่อน. ผมรู้สึกเหมือนดิ้นรนในการทำมันต่อ, และสิ่งที่เคยเป็นประสบการณ์ที่ดี กลายมาเป็นที่มาของความวิตกกังวลขั้นรุนแรง. มันไม่เคยเป็นความตั้งใจของผม ที่จะทำให้ใครผิดหวัง. แต่ผมรู้ว่าผมต้องไป. ผมจำได้หลังจากจบโชว์ที่ฮ่องกง และผมรู้สึกถึงมันได้จากข้างใน. ถึงวันนี้, มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนไม่มีค่า ที่ทำให้แฟนๆผิดหวังแบบนั้น. แต่ผมหวังว่า พวกเขาจะเข้าใจว่าผมจำเป็นต้องทำอะไรที่มันถูกต้อง. บางครั้งคุณแค่รู้สึกถึงมัน. ในหัวของผมบอกให้ผมอยู่ แต่หัวใจของผมบอกให้ผมกลับบ้าน. ดังนั้น, ในตอนสุดท้าย, ผมก็ไป.

    #1 : I TRANSLATE ZAYN BOOK

    #2 ZAYN BOOK: Prologue

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in