เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ไดอารี่กลับบ้านเกิดTabbyY
ภาพจำของย่า
  • สมัยนี้ยังมีหนังสืองานศพอยู่ไหมนะ ถ้าย่ามี ย่าจะให้เราเขียนสักหน้าหรือเปล่า เขียนเหมือนสมุดเฟรนด์ชิปสมัยเรียนจบประถมมัธยม

    ที่บ้านย่า ฉันเคยไปนอนห้องนอนย่าตอนที่แม่ไปคลอดน้อง ฉันยังจำคืนที่นอนคุยกับย่าเรื่องตั้งชื่อน้องได้ดี รอยยิ้มของย่าแจ่มใส อบอุ่น ห้องนอนย่าเต็มไปด้วยสมบัติกองพะเนิน ตู้ไม้ เตียงไม้แบบตกยุค

    จนปีล่าสุดที่เข้าไปในห้องนอนย่า ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในนั้น มีแค่ฟูกที่วางบนพื้น และย่าก็นอนอยู่บนนั้น แทบทั้งวัน ลุกไปไหนไม่ได้ สติเหลือน้อยเต็มที ถ้าฉันไปนั่งใกล้ๆ ย่าจะจำไม่ได้ว่าเป็นฉัน หรือเป็นเพราะสายตาฝ้าฟางก็ไม่อาจรู้ได้

    คนแก่บ้านรอบๆ ทยอยตายไปก่อนหน้านั้น ย่ายังคงผ่านมาได้ ผ่านช่วงโควิด 19 มาอีกแม้จะไม่ได้ฉีดวัคซีนสักเข็ม นับว่ามีอายุยืนยาว ทว่าก็คงเหงา น่าสงสารแกที่ต้องทรมานด้วยโรคชรามานานกว่าใครเพื่อน ในปีหลังๆ ของช่วงชีวิต ย่าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ซ้ำยังสติไม่เหมือนเดิมแล้ว ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งเจ็บปวด ฉันไม่อยากมีอายุยืนยาวในแบบที่ป่วยเลย ได้แต่ยื้อชีวิตและอยู่อย่างไร้คุณภาพ แต่ก็ไม่มีใครเลือกได้ ใช่ไหมนะ?

    ในตอนที่ได้ข่าวว่าย่าตาย ความรู้สึกแรกที่ฉันมีคือความโล่งใจ โล่งใจที่ย่าไม่ต้องทรมานอีกแล้ว โล่งใจที่ไม่ต้องมีใครคอยดูแลพยาบาลคนป่วยให้เป็นภาระแล้ว

    อีกด้านก็เสียใจที่ไม่เคยให้อะไรกับย่าเลย ไม่เคยดูแลแกจนวินาทีสุดท้าย

    แล้วความทรงจำที่เคยมีกับย่าก็หลั่งไหลเข้ามา

    ความทรงจำแรกที่แจ่มชัดคือคุกกี้กล่องแดง กล่องของขวัญทุกเทศกาล ทั้งวันเกิดตัวเองและวันเกิดหลานคนอื่นๆ เมื่อถึงวันเกิดหลาน ย่าจะให้ขนมเป็นของขวัญหลานทุกคน โดยให้เจ้าของวันเกิดเยอะที่สุด และให้ขนมหลานคนอื่นด้วยลดหลั่นกันไปเพื่อจะได้ไม่น้อยหน้ากัน การ์ดอวยพรของย่ามีเอกลักษณ์ เป็นกระดาษธรรมดาแต่ตัวหนังสือเขียนอย่างบรรจง

    เงินที่พ่อให้ไป รร ไม่เคยพอสำหรับฉัน ย่าจะเรียกมาเอาแบงค์ 20 ทุกเช้า ฉันก็รับไปอย่างเขินๆ ฉันยังจำโต๊ะที่ย่าจะนั่งอยู่ตรงนั้นเสมอ ตำแหน่งที่ย่าจะยื่นแบงค์ให้ฉัน แล้วบางครั้งก็ให้ของขวัญในเทศกาล ย่าให้ประจำไม่เคยขาด จนกระทั่งฉันย้ายไปเรียนมหา’ลัย

    บ้านฉันกับบ้านย่าอยู่ติดกัน ตอนเด็กๆ ที่พ่อแม่ทะเลาะกัน บางครั้งฉันจะไปหลบที่บ้านย่า บางครั้งที่บ้านไม่มีข้าวกินก็ไปนั่งกินข้าวกับย่า ตอนวัยรุ่นจะไปตักข้าวหุงย่าก่อนเอาไปนั่งกินที่บ้าน ย่าก็จะชอบถามว่าตักแค่นั้นจะพอกินเหรอ เมนูที่ทำให้นึกถึงย่าก็จะมีต้มมะระ(อันนี้ย่าทำบ่อยมากช่วงนึง) น้ำพริกอ่อง ยำหน่อไม้ แกงฮังเล ต้มผักกาดดอง

    อ้อ สมัยก่อนย่ามักจะไปร้านทำผม ม้วนผม ย้อมดำเสมอ แกชอบไปวัด ไปคุยกับเพื่อนฝูง มีชุดสวยๆ ที่ลูกสาวสั่งตัดให้ แต่ช่วงเวลาที่สุขภาพยังดีพอให้ใส่นั้นมันสั้นเหลือเกิน

    ช่วงเย็น - ดึก ย่ามักจะนอนดูทีวีแล้วผลอยหลับไป ตรงเตียงไม้เชยๆ ที่โถงนั่งเล่น ปล่อยให้เสียงทีวีคลอ สมัยเด็กฉันชอบมานั่งดูทีวีที่บ้านย่า ตอนวัยรุ่นฉันย้ายมานอนห้องกลางที่บ้านย่าแล้ว(เพราะไม่มีที่ซุกหัวนอน) หลายครั้งที่รู้สึกรำคาญเสียงทีวีมากๆ มีเรื่องชวนกระทบกระทั่งบ้างเพราะย่าหลับยาก บางครั้งเปิดปิดประตูดังย่าก็สะดุ้งตื่น ส่งเสียงดังตอนดึกก็ไม่ได้เพราะห้องอยู่ติดกัน

    วันเวลาแบบนั้นเหมือนจะยาวนาน แต่สุดท้ายมันก็สิ้นสุดลง

    เมื่อตอนที่จะย้ายออกไปมหา’ลัย ย่าเพิ่งจะมีโทรศัพท์บ้าน ฉันยังเคยบอกกับย่าว่าจะโทรหา สุดท้ายก็โทรหาแค่ครั้งสองครั้ง คุยกันสั้นๆ ฉันนึกภาพย่าที่เฝ้ารอเสียงโทรศัพท์ คนแก่ที่เหงา และรอยยิ้มที่ได้คุยโทรศัพท์

    ได้แต่นึกภาพ นึกภาพ นึกภาพ ภาพที่เป็นรูปอดีต ซ้อนไปบนสถานที่ๆ ว่างเปล่า

    บ้านที่เคยมีชีวิตชีวา ถูกต่อเติมให้อยู่ในสภาพพร้อมรับผู้ป่วยติดเตียง ไม่มีแล้วทั้งทีวีโบราณ โต๊ะกินข้าวที่ฉันเคยนั่ง เตียงเชยๆ ในห้องนั่งเล่นที่ฉันเคยแอบนอนดูซีรีส์

    ห้องกลางที่เคยเป็นห้องนอนฉันในช่วงวัยรุ่น ถูกต่อสายอะไรสักอย่างกลายเป็นห้องพักสำหรับคนดูแลคนป่วย ผนังยังมีกราฟิตี้ที่ฉันเคยพ่นสเปรย์ไว้สมัยวัยรุ่น นั่นเป็นภาพล่าสุดที่เห็นเมื่อปีก่อน นึกถึงย่าที่สละความเป็นส่วนตัวยกห้องตรงกลางให้ฉันนอน บางทีอาจจะสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะฉันทำเสียงดัง อาจจะเป็นเสียงขาโต๊ะตอนอ่านหนังสือ เสียงหัวเราะ เสียงคุยโทรศัพท์

    ย่าเป็นฝ่ายให้ฉันเสมอมา สุดท้ายฉันก็ทำได้แค่ระลึกถึงแก ช่วงหลังของชีวิตแกเป็นอัลไซเมอร์ ฉันแอบสงสัยว่าถ้าวิญญาณมีจริง ตอนนี้แกจะจำฉันได้ไหมนะ


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in