เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Life as a Fangirlfray_04
Sing Street: We don't Suck, We Sing
  • Sing Street (2016) คือหนังที่แปะหน้าว่าเป็น coming of age แสนจะเบียวของเด็กชายวัย 15 ที่ริจะตั้งวงดนตรีเพื่อเต๊าะสาว ทั้งๆที่ยังคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะทำเพลงแนวไหน พอๆกับที่ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตไปทางไหน แต่พอได้มาดูจริงๆแล้วมันให้อะไรมากกว่าเด็กริอาจจะเด็ดดอกฟ้า 55555 

    ตอนที่เราได้ยินข่าวเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ครั้งแรก เราสารภาพเลยว่าโคตรจะไฮป์ เพราะเราชื่นชอบหนังที่เป็น Musical เป็นทุนเดิม แล้วมาบวกกับหนังแนว coming of age ที่เรารักและชอบดู (จริงๆคือเป็นเด็กไม่รู้จักโต ก็นั่งดูหนังพวกนี้ไปเรื่อยๆ เผื่อจะค้นหาแนวทางในชีวิตตัวเองเจอแบบตัวเอกในหนังบ้าง) เลยไม่ต้องเสียเวลาคิดนานก่อนที่จะกำตังไปเปย์ให้ผู้ชายของเรา ดูแล้วชอบมากๆ เลยขอเกาะกระแสเขียนรีวิวSing Street ที่ตอนนี้โผล่พรึ่บพรั่บเต็ม minimore และ social network อื่นๆ กับเขาบ้าง

    เรื่องย่อ 

                   ท้องเรื่องของหนังอยู่ที่ ดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ ในปี 1985 ที่มีกลิ่นอายความอึมครึมตามภูมิประเทศเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่อีกความอึมครึมที่ปกคลุมประเทศอยู่คือวิกฤตเศรษฐกิจที่ฉิบหายมากๆ จนทำให้เกิดปัญหาเลิกจ้างงาน ซึ่งครอบครััวของคอเนอร์ (Ferdia Walsh-Peelo) ก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน                                                                                                                                                                   แต่ท่ามกลางความหม่นหมองอย่างนี้ คอเนอร์ก็เหมือนจะยังมีแสงสว่างเล็กๆที่ช่วยทำให้ชีวิตวัยรุ่นสดใสได้ นั่นคือสาวปริศนาที่มายืนเต๊ะท่า อยู่หน้าประตูโรงเรียนที่สวยสะดุดตา จนหนุ่มน้อยคอเนอร์ต้องเดินเข้าไปพูดคุยด้วย และไหลไปถึงขั้นโม้ว่ามีวงดนตรี จนเป็นเหตุให้ต้องรีบมาฟอร์มวงดนตรีที่โม้ไว้ให้เป็นจริงขึ้นมา จะได้มีเพลงให้สาวเจ้าเขามาเป็นนางเอกเอ็มวีให้อย่างที่ปากลั่นชวนไปแล้ว 

    สิ่งที่อยากพูด 

    กันไว้ก่อน เผื่อเราหลุดสปอยล์

                  เราดูจบแล้วให้ความรู้สึกว่านี่คือ God Help The Girl เวอร์ชั่นมีที่มาที่ไป และที่มาที่ไปนั่นก็ไม่ได้หาจากไหน ประสบการณ์ส่วนตัวของผู้กำกับ John Carney เองนั่นแหละ เรื่องนี้พักไว้ก่อน เดี๋ยวมาว่ากัน
                 Sing Street คือเป็นหนังที่เรียกได้ว่าเป็น wish fulfillment ของวัยรุ่นทั่วๆไปเลยก็ว่าได้ ซึ่งมันก็คือความฝันเรียบง่าย การมีวงดนตรีกับเพื่อนสนิท ไอเดียของการได้เล่นดนตรีโชว์สาว โชว์คนอื่นนี่มันก็ยังคงเท่อยู่ทุกยุคทุกสมัยจริงๆนั้นแหละนะ 
                หนังนำเสนอการค้นหาตัวตนของตัวเองของคอเนอร์ในสถานการณ์ที่บ้านสั่นคลอน โรงเรียนก็ไม่ได้เป็นที่ที่อยากไป จนได้วงดนตรีนี้แหละมาเป็นที่พักพิงจิตใจของเขา และได้มิตรภาพของเพื่อนภายในวงที่ช่วยให้การย้ายโรงเรียนใหม่นั้นดูไม่เลวร้ายเท่าไหร่นัก ซึ่งเราชอบความสัมพันธ์ของคนในวงนะ ที่ดูมาแบบงงๆ แล้วก็มารวมกัน มันดูโบรมากๆ ทำให้เราคิดว่าชีวิตเด็กมันก็ง่ายแบบนี้สินะ แค่หาจุดร่วมกันได้อย่างนึงก็เป็นเพื่อนกันได้แล้ว ไม่ต้องคิดหลายตลบ  
               ส่วนที่ชอบอีกอย่างก็เคมีระหว่างคอเนอร์-เอม่อน(Mark McKenna)นี่ดูจะโดดเด่นที่สุดละ            ดูแล้วก๊าวใจมากๆ เอม่อนดูเป็นพี่ใหญ่ที่ดูพึ่งพาได้ของน้องคอเนอร์ ที่ชอบวิ่งมาหาเวลามีปัญหาเสมอๆ  และเอม่อนก็ไม่เคยปฎิเสธซะด้วยสิ 


                 อีกพาร์ทหนึ่งของหนังนำเสนอมุมมองความสัมพันธ์ระหว่างคอเนอร์กับครอบครัวของเขา ที่พ่อแม่ระหองระแหง จนได้ที่พึ่งก็คือพี่ชายนายแบรนดัน (Jack Reynor) ที่เราเห็นครั้งแรกแล้วคิดว่าโคตรจะเหมือน Kurt Cobain วง Nirvana เลย ให้ตายสิ เราชอบการที่คอเนอร์มีพี่เป็นเหมือนผู้ชี้ทางและผู้สนับสนุนให้ทำตามความฝัน คือแบบเฮียโคตรจะป๋าดันจนคอเนอร์มันบ้าจี้มีวง มีเพลงแต่งเองเป็นวรรค เป็นเวร นี่ก็คิดไม่ออกว่าคอเนอร์และผองเพื่อนจะหลงทางไปถึงไหน ถ้าไม่ได้แบรนดันมาไกด์ทางให้

    ซีนที่ชอบ


    นี่เป็นซีนที่เราชอบที่สุดในหนังและมันทำเราน้ำตาซึมออกมาเงียบๆ เพราะนี่เป็นซีนที่โชว์ให้เห็นว่าหนังไม่ได้มีเพียงเนื้อหาส่วนของการตั้งวงดนตรีเต๊าะสาวใสๆ ตามสไตล์เด็กมัธยมและมิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมวงเท่านั้น แต่มันยังมีการพูดถึงความสัมพันธ์ของครอบครัว และความสำคัญของสถาบันครอบครัวที่หล่อหลอมและให้ทิศทางในชีวิตของเด็กคนนึงได้ ซึ่งเราว่าพาร์ทนี้ทำออกมาได้เข้มข้น และบางซีนถึงขนาดทำให้เรารู้สึกอึดอัดตามบรรยากาศในครอบครัวจริงๆ พาร์ทนี้มาเพื่อเบรคความเลี่ยน โลกสดใสของพาร์ทวงดนตรีได้ดี มันเรียลมากๆ จนทำให้เราฉุกคิดว่า ในชีวิตคนเรา เราไม่สามารถที่จะได้ทุกอย่างตามที่ตั้งใจหรอก มันอยู่ที่ว่าเราจะอยู่กับสิ่งที่เรามียังไงต่างหาก ถึงเรียกว่าเป็นการใช้ชีวิตที่แท้จริง 

    ยุคสมัยแห่ง Music Video

              เราชอบทุกซีนที่เป็นการออกกองไปถ่าย MV มาก เพราะเป็นส่วนที่เราจะได้เห็นอิทธิพลของเพลงและศิลปินที่คอสโมกำลังติ่งอยู่ตอนนั้น ตามการขายของ(หรือบทเรียน) ของพี่ชาย  
              ถ้ามีคนสงสัยว่าทำไมพวกคอสโมถึงต้องจริงใจทำ MV ด้วยล่ะ ทำแค่เพลงมันไม่พอหรอ ถ้าไม่นับเรื่องที่เอามาเป็นข้ออ้างให้สาวมาหาบ่อยๆแบบน้องคอสโมแล้ว ในยุค 80s' นี่การทำ MV นี่กำลังฮิตสุดๆไปเลยแหละ นำเทรนด์ด้วยช่อง MTV ที่ฉายMV ตลอด 24 ชั่วโมง ศิลปินในช่วงนั้นก็อย่างเช่น Madonna หรือวง Duran Duran ที่คอสโมกับพี่ชายมานั่งดูด้วยกันนั่นเอง 
            นอกจากเรื่องเพลง เราชอบคอสตูมและการแต่งหน้าของทุกคนมาก โคตรจะ80s' ไม่รู้จะอธิบายยังไง ชอบการแต่งเป็น The Cure ของทุกคน และที่ประทับใจที่สุดคือ ไม่ว่าวีคนั้นคอสโมจะติ่งวงไหน ทุกคนในวงก็ดูบ้าจี้แต่งตัวให้เข้าคอนเซปท์นางได้ ยอมใจจริงๆลูก
     


    พอแล้ว พูดมากไป เดี๋ยวไปดูเองไม่สนุกกันพอดี 

    คาแรคเตอร์ที่ชอบ

    Eamon

    ชอบความโตเป็นผู้ใหญ่เกินวัยของเอม่อน ที่มันทำให้ทุกคนในวงไปรอด 5555 นี่คือดูไปแล้วก็คิดอยู่ว่าถ้าวงไม่มีเอม่อน ก็คงไม่มี Sing Street อย่างที่เห็นกัน น้องมากระชากใจเราด้วยคำว่า "Always"

    Brendan Lalor


    เราชอบความสัมพันธ์ของพี่น้องบ้านนี้มากอะ แบบฮอล พี่แบรนแดนมากระตุกต่อมอยากมีพี่ชายของเรากลับมา YvY/ คอสโมเหมือนมีพี่เป็นไอดอลเลย โดยเฉพาะเรื่องเพลงและการจีบหญิง (ดีนะพี่ไม่เกรียน Jerk พาน้องเละเทะ) และแบรนดันเป็นคนที่ทำอะไรเพื่อน้องหลายอย่างมาก เราประทับใจมาก เราชอบพี่สาวของคอสโม(Ann Lalor) ด้วยนะ รู้สึกว่าออกน้อย แต่ซีนคุณภาพมาก คือพอพวกเขาอยู่รวมกันแล้วเคมีดีมาก มันทำให้เราเชื่อจริงๆว่าพวกเขารักกัน ไม่ว่าบ้านจะแหกขนาดไหน ก็ยังมีพี่น้องคอยดูแลกัน 


    ----------------------------------------------------------------

                  อีกส่วนหนึ่งที่จะขาดไม่ได้เลยจากหนังของ John Carney นอกจากเพลงแล้ว ก็คงเป็นพวกคำพูดดีๆ เชิงให้กำลังใจน่ะนะ โดยในเรื่องนี้ก็ไม่พลาดเช่นกัน ใจความหลักๆของเรื่องนี้ก็คือการให้กำลังใจว่า "คนเราเลือกที่เกิดไม่ได้ แต่เราเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิต และกำหนดอนาคตตัวเองให้ไปทางไหน"    อย่างเช่นตัวคอสโมและผองเพื่อนเอง ที่ก็รู้ว่าสภาพของไอร์แลนด์ตอนนั้น ไม่เอื้อต่อการทำตามความฝันซึ่งคือวงดนตรีของพวกเขา หรืออย่างนางเอก ราฟีน่า ที่มีความฝันอยากเป็นนางแบบ ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากออกจากเกาะนี้แล้วข้ามไปหาโอกาสใหม่ที่อังกฤษ มันก็คงอารมณ์เดียวกันกับที่คนบ้านเราเข้ากรุงเทพฯมาแสวงหาโชคชะตาละนะ (นี่ก็ออกทะเลเรื่อย) 

    โควทที่เราชอบ 
    "Problem is, you're not happy being sad. That's what love is, Cosmo. Happy sad." -Raphina
    เราชอบที่ชีวิตทุกคนมันมีทั้งสุขปนเศร้า และสุขที่ได้เศร้า พูดให้เข้าใจง่ายๆก็ฟีลรักเขาข้างเดียวอะ คือเห็นเขามีความสุข ได้อยู่ใกล้ๆก็สุข แต่ก็ยังแอบเศร้าลึกๆที่รู้ว่าเขาไม่ใช่ของเรา /ยื่นทิชชู่

    "Maybe you're living in my world. I'm not living in yours. You're just material for my songs."

    "You only have the power to stop things, but not to create." -Conor 
    สองอันนี้เราฟังแล้วชอบแอดติจูดคอเนอร์มาก มันแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการจากลูกหมาน้อยที่ตอนนี้โตขึ้นแล้ว


    เพลง เพลง เพลง 

                หนังชื่อSing Street ซะอย่างดี จะไม่พูดถึงเพลงเลยก็จะไม่เข้าที เรามีความรู้สึกว่าเพลงเรื่องนี้มีจังหวะที่ขยับง่าย ตามสไตล์ Futurism ที่คอสโมว่าไว้ ซึ่งเราว่ามันก็คือออกแนวป็อปกลายๆนั้นละลูกเอ๋ย ซึ่งไม่ได้ขัดใจ เราชอบ อยู่ในโรงหนังนี่ขยับเท้าตามเลย อีกส่วนที่เราชอบเพลงเรื่องนี้คือเนื้อเพลง ที่มันดูเรียบง่าย มันดูจับต้องได้ ใช้คำง่ายๆที่สติปัญญาเด็กมัธยมจะทำได้ ทำให้รู้สึกว่าเออ คอสโมเขียนเพลงได้ เราก็น่าจะทำได้นะ เพลงที่เราชอบเนื้อที่สุดก็คงเป็น up ที่เล่นคำว่า Up เยอะดี แล้วก็ Girls ที่เรียบง่ายแต่อิมแพคดีมากๆ 

    เพลงที่เราชอบจาก Sing Street 
    1.Up 
    2.To Find You
    3.The Riddle of the Model
    4.Girls
    5.Drive It Like You Stole It
    6.A Beautiful Sea 
    7.Brown Shoes เราว่าเพลงนี้เหมาะกับชีวิตมัธยมดีนะ :)
    ส่วนเพลง Go Now ที่ร้องโดย Adam Levine นี่เราเฉยๆแฮะ อาจเพราะยังเอียนเสียงอดัมจาก             Begin Again ไม่หายด้วยละมั้ง แต่พอมาใส่ในซีนแล้วก็ทำให้มันเพราะขึ้นนะ 
    Update: หลังจากไปดูรอบที่ 3 มา ก็เพิ่งคิดได้(สมองช้า 555) ว่าเพลงGo Now นี่แม่งแบรนดันเขียนให้คอเนอร์ชัดๆ ฮือออ ไอ่น้องชายย ฝากตามฝันพี่ด้วย 
    พอคิดได้ เราก็น้ำตาพุ่งเละเทะ ฟังเพลงนี้แบบเดิมไม่ได้เลย YvY


    เพลงแถมๆ  คนที่ดูแล้วจะรู้ว่าเพลงนี้มาซีนไหน อิ__อิ

    -----------------------------------------------------------------------------------

    Sing Street (2016)

    Director: John Carney
    Writer: John Carney
    Starred: Ferdia Walsh-Peelo, Mark McKenna, 
    Aidan Gillen, Jack Reynor, Lucy Boynton

    เราให้คะแนนที่ 9/10 เลยล่ะกัน 

    เทียบจากหนังเพลงของ John ที่เราเคยดูมา นี่เป็นจุดลงตัวระหว่าง Once ที่ติสท์จัดจนคนอาจจะเข้าไม่ถึง กับ Begin Again ที่ป็อปและแมสจ๋ามากจนดูสักพักเราก็เอียนแล้ว อันนี้ดูกลมกล่อม โลกสวยแต่ไม่มากไป เป็น happysad อย่างที่ราฟีน่าได้บอกไว้จริงๆ

    เดินเกร๋ๆ จากไป

  • Easter Eggs Time!!

    ช่วงเวลาแห่งเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากหนังเรื่องนี้ที่เราไปอ่านเจอมา เลยรวบรวมมาให้อ่านกัน c:

    1.วงดนตรี Sing Street เนี่ย มีตัวตนอยู่จริง! โดยเป็นวงดนตรีของผู้กำกับ John Carney กับเพื่อนมัธยมที่โรงเรียน Synge Street  สมาชิกได้แก่ John Carney, Conor McGowan, Eamon Griffin
    (รูปนี้ถ่ายลงนิตยสาร Wine & Gold magazine DLS ปี 1988)

    2. ก่อนที่จะมาได้ชื่อวงว่า Get a Mexican Station นี้ ทางวงเคยชื่อ "The Twilight Zone" แล้วต่อมาเปลี่ยนเป็น "La Vie" แล้วมาลงเอยที่ "Get a Mexican Station"

    3. ซึ่งเป็นที่มาของ Easter Egg ในเรื่อง ฉากที่ทุกคนเสนอชื่อวง คอเนอร์เสนอชื่อ "La Vie" ขึ้นมาด้วย

    4. ความคลั่งไคล้กระต่ายของเอม่อนนั่นมีีที่มาที่ไปนะ! โดยทางผู้กำกับบอกว่าเอม่อนตัวจริงนะ มีกระต่ายเต็มบ้านแบบที่เราเห็นในหนังกันจริงๆนะ จนทำให้จอห์นเกิดไอเดียว่า ถ้าเขาใส่กระต่ายเข้าไปในหนังเยอะๆ แล้วไม่อธิบายที่มาเนี่ย จะมีคนมาถามเขามั้ยว่าทำไม ซึ่งก็มีคนถามกันตรึมอย่างที่เขาคาดเอาไว้ c: 
    และถ้าคิดว่านั่นยังไม่น่าเชื่อถือพอ เรามีคำยืนยันจากเจ้าตัว ที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น Zamo Riffman มาให้ด้วย (ชอบใจการที่เน้นคำว่า Rabbits จริงๆ) 
    5. Zamo หรือ Eamon ตัวจริงได้มาร่วมแต่งเพลงในเรื่องด้วยนะ หลายเพลงเลย c: 
    6.นอกจากนี้ เขายังไปโผล่Cameo ในเรื่องด้วย! ตอนไหนนั้นเราไม่บอกหรอก ไปหากันเอง มีเบาะแสมาให้

    7.Mark McKenna ผู้รับบท Eamon เพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมวงของคอสโม ตัวจริงเป็นคนเงียบๆ จนโดนFerdia Walsh-Peeloหรือคอสโมเผาเอาว่าวันที่เจอกันครั้งแรก เฟอร์เดียทัก"So what’s going on?" และสิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบงันจากมาร์ค (ไม่ร้องนะเดีย UvU/) 

    8.มาร์คชอบวง The 1975

    9.และนั่นเป็นที่มาของคำแรกที่มาร์คทักทายเฟอร์เดียคือ "What are you into for music?"             "Do you know The 1975?"  มาร์คให้เหตุผลว่า ก็พวกเขาเป็น "The Band" อะ คนต้องรู้จักดิ
    เค มาร์ค เคคคค 
    10.พ่อของมาร์คเองก็เป็นนักดนตรี และชื่อว่าเอม่อนเช่นกัน 
    11. เอม่อนตัวจริงและมาร์ค เคยเจอกันแล้วนะ c: (ภาพจากไอจีมาร์ก @_mark_mckenna_) 

    12.ตอนแรกจอห์นบอกว่าคาแรคเตอร์ของคอสโมนี่มันไม่ได้ดูเฟี้ยวและมีความมั่นใจขนาดนี้ แต่พอ เฟอร์เดียได้บทไป เขาเป็นคนที่ดูมีความมั่นหน้ามั่นใจแบบแปลกๆ จอห์นก็เลยไหลตามไปเลย เราเลยได้คอสโมเวอร์ชั่น มั่นหน้าตามฉบับเฟอร์เดียกันมาอย่างที่เห็นนี้แหละฮะ




    จบแล้ววววววววววววววววว กับรีวิวหนังเรื่องแรกของเรา ดีไม่ดียังไง ติชมกันได้นะฮะ ที่ @fray_04 




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in