; Little Misfortune AU
; TEN x JAEHYUN
enjoy reading :-)
คืนหนึ่งในบาร์เล็ก ๆ แถบชนบท สองหนุ่มเจ้าสำราญต่างยกแก้วบรรจุของเหลวสีอำพันชนกันพร้อมหัวร่อต่อกระซิก นัยน์ตาเคลือบด้วยน้ำสีใส ใบหน้าแดงก่ำ ชายคนหนึ่งกระแอมไอ มือข้างซ้ายตบลงบนบ่าเพื่อนในวัยเยาว์สองทีก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม เขามาที่นี่ก็เพื่อสืบสาวเรื่องราวบางอย่าง แต่เพราะบรรยากาศนำพาจึงทำให้ตอนนี้สภาพสารวัตรหนุ่มไม่ต่างอะไรกับหมาข้างถนน
"แกเคยได้ยินตำนานเมืองไร้ชื่อไหมวะ"
หนุ่มผมส้มสะบัดหัวสองสามที ดวงตาปรือปรอยเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ก่อนจะขมวดคิ้ว เขาเอนตัวเข้าหาเพื่อนสนิทอีกครั้งก่อนเอ่ยถาม "เมืองไร้ชื่อ?"
ฮิลล์พยักหน้า สติเขากลับมาแล้วหนึ่งในสามส่วน "เมื่อสัปดาห์ก่อน เด็กในเมืองใกล้ ๆ นี้ทยอยหายตัวไป ตำรวจในพื้นที่สืบสาวไม่ได้ความจนเรื่องเดือดร้อนมาถึงเขตฉัน ได้ยินเขาพูดกันว่าเมื่อสิบปีก่อนก็เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น"
"จะว่าเคยได้ยินมันก็ใช่ แต่มันเป็นเรื่องราวปากต่อปาก ไม่รู้มีมูลความจริงมากน้อยแค่ไหน"
"อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่รู้"
แอลเลนยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง หันกลับมาประจันหน้ากับเพื่อนสนิทก่อนจะเริ่มเอ่ยปากเล่า
"เรื่องราวเล่าขานกันมานานมากแล้ว เขาว่ากันว่าทุก ๆ คืนเด็ก ๆ จะถูกหลอกล่อให้เดินเข้าไปในป่าเพียงลำพังด้วยเสียงเพลงบทหนึ่ง.."
"แล้วพวกผู้ใหญ่ไม่ได้ยินกันหรือไง เสียงดังออกปานนั้น"
"ฉันจะไปรู้เรอะ มันอาจเป็นมนต์คาถาที่มีผลแค่กับเด็ก"
ฮิลล์ทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยเชื่อเรื่องราวหลอกเด็กพรรคนี้ แต่ในเมื่อหลักฐานชิ้นเดียวของคดีความเป็นเรื่องราวหลอกเด็กเขาก็จำใจต้องทนฟังจนจบ
"รุ่งเช้ามาพ่อกับแม่ก็ไม่เห็นลูกนอนอยู่บนเตียงของตัวเองแล้ว ทุกคนช่วยกันออกตามหาเพราะคิดว่าอาจถูกสัตว์ร้ายหรืออะไรสักอย่างจับตัวไป ทว่ากลับไม่เจอแม้แต่ร่องรอย นานวันเข้าเด็ก ๆ ก็มีแต่จะหายตัวไปมากขึ้น จนชายคนหนึ่งอาสาจะเข้าไปสำรวจในป่าลึกด้วยตัวเอง"
"ไหนบอกว่าไม่เจอแม้แต่ร่องรอย แล้วเข้าไปดูในป่าลึกอีกทีจะไปมีประโยชน์อะไร"
"ฉันก็ว่างั้น แต่รู้ไหม เขาหายเข้าไปในป่าถึงสามวันแล้วกลับออกมาด้วยสภาพสะบักสะบอมเหมือนถูกหมีป่าขย้ำ ดวงตาเบิกโพลง ใบหน้าซีดเผือด เอาแต่พูดซ้ำ ๆ ว่าสังเวยชีวิต หนึ่งคน ไม่มีอีกต่อไป
"หลังจากนั้นบาทหลวงก็เข้ามาพาเขาเข้าไปในโบสถ์ เรื่องตรงนี้ไม่มีใครรู้ว่าสองคนนั้นเข้าไปทำอะไร แต่หลังจากนั้นบาทหลวงก็บอกกับทุกคนว่าสิ่งนั้นแท้จริงคือปีศาจ มันต้องการชีวิต ดวงวิญญาณบริสุทธิ์ แต่มันต้องการเพียงอีกหนึ่งชีวิตเท่านั้น ให้ทายว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่จะยอมไหม"
"ยอมก็บ้า ใครจะส่งลูกตัวเองไปตาย" ฮิลล์ตบโต๊ะด้วยอารามเป็นจริงเป็นจัง
"ถูก เพราะงั้นเด็กที่น่าสงสารที่สุดในเมืองถึงได้ถูกเอาไปเป็นตัวเลือกให้ปีศาจ เด็กในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า -- เพราะไม่มีพ่อแม่คอยปกป้องเด็กพวกนั้นถึงได้ถูกมองว่าชีวิตไร้ค่ายิ่งกว่าเศษผักปลาบนพื้น พวกเขาตัดสินใจกันอยู่นานว่าจะส่งใครไป คนที่เหมาะสม คนที่จะทำให้อีกสิบกว่าชีวิตในเมืองรอดตาย"
"สุดท้าย เด็กที่ถูกเรียกว่ามิสฟอร์จูนก็ถูกเลือก.."
"มิสฟอร์จูน?" ฮิลล์เอียงคอถามด้วยความสงสัย
"ใช่ เด็กผู้ชายผิวขาว ตัวผอมกะหร่อง เพิ่งจะแปดขวบเอง เขาอ่อนแอที่สุดในสถานสงเคราะห์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีใบหน้ายิ้มแย้มรอยยิ้มสดใส แต่รอยยิ้มจะไปมีประโยชน์อะไรในเมื่อเขาเป็นตัวซวยของคนที่อยู่ใกล้ เขาว่ามาอย่างนี้น่ะนะ ฉันก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางสักเท่าไหร่ แต่หลังจากส่งเด็กคนนั้นไปก็ไม่มีเด็กคนไหนถูกล่อลวงไปอีกเลย จะว่าเป็นโชคดีก็ได้ แต่ฉันว่าแบบนี้มันเหมือนเป็นการ.."
คืนนั้นฮิลล์และแอลเลนยังคงถกเถียงกันเรื่องความเป็นธรรมของมิสฟอร์จูนตัวจ้อยไม่หยุด กระทั่งฮิลล์แบกแอลเลนขึ้นบ่า ขับรถกลับมายังบ้านหลังโตอันเป็นที่พักอาศัย คิ้วเข้มยังคงขมวดเป็นปม เขายังนึกสงสัยและคิดเรื่องของมิสฟอร์จูนอยู่จนเกือบรุ่งสาง..
อีกฟากหนึ่งของป่า
เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วเป็นเสมือนนาฬิกาปลุกชั้นดี เด็กหนุ่มลุกขึ้นบิดขี้เกียจสองสามทีก่อนจะก้าวลงจากเตียง รินน้ำใส่เครื่องแก้วเนื้อดีอย่างเริงร่า เรียวขาขาวก้าวไปทางนู้นทีทางนี้ทีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ปากก็ฮัมเพลงไปด้วย ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมาเพราะถูกใครเอ็ดเข้าให้
"มิสฟอร์จูน เธอช่วยอยู่นิ่ง ๆ สักหนึ่งนาทีได้ไหม"
"คุณวอยซ์! คุณสัญญากับผมแล้วนะว่าถ้าอยู่ในปราสาทคุณจะไม่เข้ามาในหัวผมน่ะ"
"ช่วยไม่ได้ เสียงเธอร้องเพลงมันทำให้ฉันปวดประสาท"
"คุณก็หัดมีอารมณ์สุนทรีกับเขาบ้างเถอะ ว่าแต่..ตอนนี้คุณอยู่ไหนหรอ"
ดวงตาสอดส่ายไปทั่วห้องแต่กลับไม่พบสิ่งใด จนกระทั่งอาภรณ์ที่ถูกปลดเปลื้องกำลังจะหล่นถึงพื้นก็มีเสียงเย็นเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้น ดวงตาคมจ้องมองเด็กหนุ่ม ในแววตาเฉยเมยนั้นแฝงความร้ายกาจเอาไว้ เขายืนกอดอก พิงสะโพกกับกรอบประตู "เข้าไปเปลี่ยนในห้อง"
"นี่ก็ห้องนี่นา" คนโดนดุยังไม่รู้สำนึก ดวงหน้าอิ่มเอิบประดับรอยยิ้มขี้เล่น เผยให้เห็นรอยบุ๋มเล็ก ๆ ที่ข้างแก้ม
"มิส ฟอร์ จูน" เขาว่าเสียงเข้ม เน้นย้ำทีละคำและกดเสียงต่ำจนแทบจะเป็นเสียงคำรามหรือเสียงขู่ของสัตว์ร้าย ดวงตาเรืองรองด้วยแสงสีเขียวเข้มดุจหยกชั้นดี ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังคงหัวเราะชอบใจแล้ววิ่งเข้าไปในห้องที่ว่า
หลังจากแน่ใจแล้วว่ามิสฟอร์จูนจะว่านอนสอนง่ายทำตามที่เขาบอกแล้วมิสเตอร์วอยซ์ก็ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาหนัง แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นไม่นานกายขาวที่เยื้องย่างอยู่บนพื้นพรมขนสัตว์ก็กระโจนเข้าใส่คนที่นั่งรออยู่บนโซฟาหนังสีเข้ม โถมกายลงบนตัก ขยับตัวยุกยิกไม่ยอมอยู่นิ่งจนมิสเตอร์วอยซ์ต้องเอ่ยปากดุอีกครั้ง มิสฟอร์จูนยังคงไม่ใส่เสื้อ แผ่นหลังเนียนเบียดเสียดอยู่กับหน้าขาของเขาจนขึ้นรอยแดงเป็นปื้น
"ทำไมไม่แต่งตัวให้เรียบร้อย"
"อากาศร้อน"
"พูดเรื่องไร้สาระให้มันน้อย ๆ หน่อยมิสฟอร์จูน"
เด็กหนุ่มยิ้มเผล่ ขยับกายเข้าหาหน้าท้องราบเรียบอย่างออดอ้อน "งั้นผมก็หนาว หนาวมากเลย คุณวอยซ์ช่วยกอดผมที"
เขาไม่ตอบคำ เพียงแค่ส่งเสียง 'หึ' ทีหนึ่งแล้วหันมองทางอื่น
เรื่องราวเล่าขานของเมืองไร้ชื่อและความร้ายกาจของปีศาจตนนี้มีความจริงอยู่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ความร้ายกาจและดุดันของเขาเป็นของจริง ไม่ว่าใครหน้าไหนย่างกรายเข้ามาเขาก็ฆ่าไม่เลือก ไม่มีแม้แต่ความปราณี แต่เรื่องที่ว่ามิสฟอร์จูนถูกเขาทรมานเข่นฆ่า จับลอกหนังควักลูกตาเป็นเรื่องหลอกเด็กทั้งเพ ในเมื่อเด็กคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ดี ดีเสียยิ่งกว่าตอนที่อยู่กับพวกมนุษย์ที่บอกว่าตนเป็นสัตว์ประเสริฐ มีศีลธรรมจรรยาพวกนั้นเสียอีก
ปลายนิ้วเล็กไล้ไปตามสันกรามของคนด้านบนราวกับจะหยอกล้อ ไออุ่นจากกายขาวพลอยทำให้เนื้อตัวของปีศาจอบอุ่นตามไปด้วย ดวงตาคมยังคงมีประกายสีเขียวเรืองรองอยู่ เขาจ้องมองเด็กตรงหน้าไม่วางตา ราวกับหากเขาเผลอละสายตาไปเพียงครู่เดียวเด็กคนนี้ก็จะหายไป ไม่อาจไขว่คว้ากลับมาได้อีก
"วันนี้คุณมองผมนานกว่าเมื่อวานอีกนะ"
ริมฝีปากอวบอิ่มเอื้อนเอ่ย เสียงที่เปล่งออกมาราวกับเสียงกระซิบ
"พรุ่งนี้ฉันก็จะมองให้นานกว่าวันนี้อีก" เขาว่า แต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย
"ผมไม่หายไปไหนหรอก ผ่านมาเก้าปีแล้วนะ คุณยังกังวลอะไรอีก"
ดวงตาสีมรกตวูบไหว ฉายแววกังวลจนเด็กหนุ่มจับสังเกตได้ ฝ่ามือเย็นถูกคว้าขึ้นมากอบกุมไว้ ริมฝีปากเล็กบรรจงพรมจูบลงแต่ละข้อนิ้วอย่างเอาอกเอาใจ สัมผัสนุ่มนิ่มนี้ทำให้ใจเขาสงบลงไม่น้อย มิสเตอร์วอยซ์โคลงศีรษะ พรูลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ฝ่ามืออีกข้างถูกเด็กบนตักคว้าเอาไปกุมไว้บนอกเปลือยเปล่า พรมจูบลงบนข้อมือข้อนิ้วเขาไม่หยุด
ความเจ็บปวดพลันก่อตัวขึ้นอีกครั้ง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างต้องการจะเก็บกลั้นอารมณ์ ใบหน้าที่ปกติก็ไร้สีเลือดอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งเผือดซีด ดวงตาเป็นประกายสีเขียวเรืองรองเจิดจ้า เขาขบกรามแน่น คำรามเสียงต่ำ
"คุณวอยซ์ เป็นอะไร มองหน้าผมสิ คุณวอยซ์"
"ออกไป..ออก..ไปให้ไกล..จากฉัน"
"คุณวอยซ์.."
"เดี๋ยวนี้!" เขาตะโกนลั่น เส้นเลือดข้างขมับปูดโปน ดวงตาแข็งกร้าวประเดี๋ยวเจ็บปวดประเดี๋ยวโกรธเกรี้ยว ลมหายใจถี่กระชั้น มิสฟอร์จูนรีบวิ่งออกจากห้องตามคำสั่ง กระวีกระวาดเข้าไปในเรือนกระจก เด็กหนุ่มตัวสั่นงันงกอยู่ในมุมหนึ่งของเรือนกระจก มือเล็กกำเข้าหากันแน่นด้วยความหวาดกลัว เขาไม่ได้กลัวมิสเตอร์วอยซ์ ไม่ใช่เลย กลับกันด้วยซ้ำ -- เขากลัวสิ่งที่ทำให้มิสเตอร์วอยซ์เป็นแบบนั้นต่างหาก
หลายปีมาแล้วที่มิสเตอร์วอยซ์ไม่มีท่าทีเกรี้ยวกราดควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้ กระทั่งคืนหนึ่ง มีกระแสเสียงแว่วมาจากที่ไกล ๆ นอกเขตป่าทึบ เสียงนั้นดังก้องอยู่ในโสตประสาทของปีศาจที่ถูกขนานนามว่าร้ายกาจที่สุดในทศวรรษ มันคล้ายกับบทสวดมนต์ คาถา หรือข้อความอะไรสักอย่างที่จับใจความไม่ได้แปลไม่ออก เขาคุ้มคลั่งอยู่ภายในห้องโถงโอ่อ่า ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธแค้น ดวงตาเป็นประกายเรืองรองแผ่รังสีอำมหิต จนกระทั่งมิสฟอร์จูนตื่นขึ้นและมาเจอเข้า อ้อมกอดอบอุ่นจากเรียวแขนเล็ก ๆ นั้นทำให้ปีศาจกลับมาสงบได้อีกครั้ง หลังจากนั้นมามิสฟอร์จูนก็ไม่เคยห่างเขาเลยแม้แต่ก้าวเดียว
แต่วันนี้กลับต่างออกไป แม้ว่ามิสฟอร์จูนจะอยู่ใกล้ก็ไม่อาจทำลายเสียงกระซิบเหล่านั้นได้ มันยังคงดังขึ้นเรื่อย ๆ ประโยคต่าง ๆ ทับซ้อนกันจนปวดหัว เขาหอบหายใจอยู่บนผืนพรม กำฝ่ามือแน่นจนกลัวว่าเล็บจะทะลุเข้าไปในเนื้อจนเลือดออก
'ฆ่ามันสิ..ฆ่ามันให้ตาย'
'เจ้ามันจอมหลอกลวง ปลิ้นปล้อน ฆ่ามัน ฆ่ามันให้ข้า ฆ่ามันเดี๋ยวนี้'
'เอาดวงวิญญาณมันมาสังเวยให้ข้า เอาเลือดมันมาให้ข้า เอาเถ้ากระดูกมันมาให้ข้า ฆ่ามัน..ฆ่ามัน!'
'ข้าเข้าใกล้มันแล้ว..เข้าใกล้แล้ว อีกนิดเดียว..เจ้าจะลงมือหรือให้ข้าลงมือเสียเองเล่า..'
"อย่ายุ่งกับเขา!"
ดวงตาสีเขียวพลันเบิกโพลง เขาถูกบังคับให้แหงนหน้าขึ้นมองฝ้าเพดาน เส้นเอ็นที่ลำคอปูดโปนจากอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ความรู้สึกปวดหนึบที่ศีรษะยังไม่อาจทำให้ปีศาจปริปาก แม้เจ็บปานจะขาดใจแต่ก็ไม่เอ่ยคำใด ไม่มีแม้แต่เสียงร้องอย่างเจ็บปวดทรมาน
'ที่เคยบอกว่าจะสังเวยชีวิตมันให้ข้าเล่า..ใยตอนนี้มากลับคำไม่ยอมทำเสีย'
เขาไม่ตอบคำ พลันเสียงหัวเราะน่ารังเกียจก็ดังก้อง แว่วเสียงนั้นเจือความสังเวชและขบขันอยู่ในที
'เจ้าไม่รู้หรือ สุดท้ายแล้วมันก็ต้องตายอยู่ดี'
คำพูดนั้นเสียดแทงเข้าไปในจิตใจที่ไร้โลหิตหล่อเลี้ยงมานานแรมปี ร่างของปีศาจเมื่อไร้พันธนาการก็ทรุดฮวบลงกับพื้น แววตาเต็มไปด้วยความแค้น กายสั่นเทาด้วยความโกรธ
'เก็บดวงตาคู่นี้ไว้ให้ดีล่ะ ข้าจะให้เจ้าเฝ้าดูจวบจนวินาทีสุดท้ายที่มันสิ้นใจ'
"มิสฟอร์จูน"
เสียงเย็นเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้น เด็กหนุ่มแหงนหน้ามองตามเสียงเรียก น้ำตาร่วงผล็อยลงบนแก้มขาว มิสเตอร์วอยซ์ไม่ชอบให้เขาร้องไห้ เขารู้ -- มือน้อยรีบยกขึ้นมาเช็ดน้ำตา ส่งยิ้มสดใสให้คนตรงหน้าทีหนึ่งก่อนจะโผเข้าไปกอดจนปีศาจเซไปด้านหลัง
"คุณเป็นอะไรไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า"
คนถูกถามส่ายหน้า จ้องดวงตาสีจางตรงหน้าด้วยแววตาที่ซับซ้อนเกินกว่าจะทำความเข้าใจ ฝ่ามือเย็นประคองดวงหน้าหวานเอาไว้ด้วยความทะนุถนอมระคนหวาดกลัว ดวงใจปีศาจสั่นระรัวทว่าใบหน้ายังคงเฉยชา ปลายนิ้วหัวแม่มือไล้แก้มขาวแผ่วเบา ดวงตาเรืองรองด้วยประกายสีเขียวอีกครั้ง
"มิสฟอร์จูน"
"หืม"
"มิสฟอร์จูน"
"ครับ?"
"มิส..ฟอร์จูน"
เจ้าของชื่อขมวดคิ้ว แต่ก็ยังเอ่ยรับคำ "ผมอยู่ตรงนี้ คุณวอยซ์"
กายนุ่มนิ่มขยับเข้าไปหาคนที่เป็นทั้งคนรักและผู้ปกครอง เรียวแขนขาวโอบรอบเอวปีศาจหนุ่ม สบตากับดวงตาสีมรกต มิสเตอร์วอยซ์ลูบศีรษะมิสฟอร์จูนทีหนึ่งก่อนจะก้มลงจูบหน้าผาก
"ดอกไม้ที่ฉันให้เมื่อคราวก่อน เธอยังเก็บเอาไว้ไหม"
"มันเหี่ยวหมดแล้ว"
มิสเตอร์วอยซ์เผยยิ้มบาง ในใจเขาพลันรู้สึกอบอุ่น -- อบอุ่นมากเสียจนกลัวว่าหากวันหนึ่งต้องสูญเสียความอบอุ่นนี้ไปจะทำเช่นไร
"ฉันจะเอาดอกไม้มาให้เธอทุกวัน แบบนี้ดีไหม"
มิสฟอร์จูนพยักหน้า
ค่ำคืนที่ผืนฟ้าพร่างดาว เสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังหวีดหวิวจนน่าขนลุก ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินไปตามบาทวิธี ในมือเขาถือดอกไม้ดอกหนึ่งเอาไว้ สองข้างทางเต็มไปด้วยป้ายหินสลักชื่อเหนือพื้นดิน เขาเดินมาเรื่อย ๆ โดยไม่หยุดพักจนกระทั่งสุดทาง รองเท้าหนังดำขลับย่ำลงบนผืนดิน เขายังคงเดินไปโดยไม่เอ่ยคำใด แสงจันทราพาดผ่านเสี้ยวหน้าครึ่งหนึ่งของผู้มาเยือน เมื่อนั้นจึงได้เห็นหยาดน้ำใสร่วงหล่นจากดวงตางามดุจดั่งหยก
สองขาหยุดยืนหน้าป้ายหินสลักป้ายหนึ่ง ดวงตาไร้แววพลันสั่นไหว
"ดอกไม้ที่ฉันให้เธอคราวก่อน เธอยังเก็บเอาไว้อยู่ไหม"
มีเพียงความเงียบงันที่ตอบกลับมา
.
.
.
หลายปีที่ผ่านมาคลื่นสงบลมสงัด ไม่มีแม้ข่าวโจรกรรมหรือปล้นชิงทรัพย์ จนกระทั่งย่างเข้าวันแรกของฤดูฝนปีที่ยี่สิบ นกกาฝูงใหญ่บินว่อนอยู่เหนือผืนดิน ส่งเสียงร้องดังเซ็งแซ่ ฝูงสัตว์น้อยใหญ่ต่างพากันวิ่งหนีตายจนเกิดแรงสั่นสะเทือนเทียบเท่าแผ่นดินไหวขนาดเล็ก ท่ามกลางม่านเมฆสีขมุกขมัวพลันเกิดประกายสีเงินแล่นปราดลงมายังผืนดิน ก่อให้เกิดเสียงกัมปนาทดังสะเทือนเลื่อนลั่น ไอเย็นเข้าปกคลุมพื้นที่ทั่วป่าทึบ สายลมโหมกระหน่ำราวกับจะพัดพาเอาทุกสิ่งไปจากปฐพี ชั่วพริบตาก็เกิดรอยแยกขนาดใหญ่บนพื้น เสียงกรีดร้องจากโลกด้านล่างราวกับหอกแหลม มันเสียดทะลุโสตประสาทผู้ที่ได้ยินราวกับเป็นเครื่องทรมานชั้นดี ประกอบกับเสียงคำรามของสัตว์ภูต ภาพตรงหน้าดูราวกับฝันร้ายก็ไม่ปาน
'ข้ากลับมาแล้ว ข้ามาแล้ว..!!'
'มันอยู่ไหน เจ้าเอามันไปซ่อนไว้ที่ไหน'
'เอาดวงวิญญาณมันมาสังเวยให้ข้า เอาเลือดมันมาให้ข้า เอาเถ้ากระดูกมันมาให้ข้า!'
เสียงกระซิบดังอยู่ทางซ้ายที ทางขวาที ทั้งยังพูดเสียงสูงเสียงต่ำอย่างออกรส น้ำเสียงเต็มไปด้วยความแค้นและสุขสมอยู่ในที
ร่างของปีศาจถูกกระชากออกจากอ้อมแขนของเด็กหนุ่ม เมื่อปลายนิ้วที่เกี่ยวกันไว้หลุดออกเขาก็ถูกควบคุมโดยสมบูรณ์ นัยน์ตาที่เคยเป็นสีดำพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวเจิดจ้า กระดูกแทงทะลุออกมาจากสะบักหลังทั้งสองข้างแล้วกลายเป็นรูปปีกที่สยายอย่างงดงาม เขาสีดำสนิทค่อย ๆ งอกออกมาจากขมับ เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเคล้าไปกับเสียงพายุฝน ชั่วขณะนั้นเจ้าของเสียงกระซิบก็สะบัดฝ่ามือหนึ่งที กรงเล็บยาวเฟื้อยตวัดผ่านลำคอระหง เลือดปีศาจสีแดงเข้มหยดลงสู่พื้นดิน ดวงตาสีเขียวเรืองรองภายในความมืด มิสเตอร์วอยซ์แสยะยิ้ม จ้องมองไปยังเด็กหนุ่มที่ยังนั่งคุดคู้อยู่ใต้โต๊ะตัวหนึ่ง สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว กายสั่นเทา รอบดวงตาเปียกชื้น
'ฆ่ามันซะแล้วพลังของเจ้าจะกลับมา มอร์โก้..ฆ่ามันซะ!'
สิ้นสุดเสียงกระซิบแหบพร่านั้นมิสฟอร์จูนก็ออกตัววิ่ง ปีศาจหนุ่มพลันขยับปีกโครงกระดูกติดตามไป เสียงหัวเราะสะใจยังคงไล่ตามหลังมาอย่างไม่ขาดสาย ราวกับว่าผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นไม่ได้ไปไหนไกลแต่เมื่อกวาดสายตามองหากลับไม่พบใครนอกจากความมืด มิสฟอร์จูนวิ่งเข้าไปในห้องนอนตัวเอง หวังใจว่าเมื่อมิสเตอร์วอยซ์เข้ามาในห้องนี้แล้วจิตใจจะสงบลงได้บ้าง
ตึก..ตึก..ตึก
"....."
ตึก..ตึก..ตึก
"....."
เสียงส้นรองเท้ายังคงวนเวียนอยู่ภายในห้อง ประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ดวงใจน้อยสั่นระรัวจากการออกแรงวิ่งและความกดดันที่เพิ่มมากขึ้น มิสฟอร์จูนหลับตาแน่น แขนเรียวกระหวัดกอดขาตัวเองเอาไว้ก่อนจะซบหน้าลงกับหัวเข่า
ตึก..ตึก
เสียงนั้นหยุดลงหน้าตู้ที่มิสฟอร์จูนซ่อนตัวอยู่ เด็กหนุ่มพยายามกลั้นก้อนสะอื้นเมื่อบานประตูค่อย ๆ แง้มออก
"คุณวอยซ์ คุณวอยซ์..นี่ผมเอง ผมเอง ได้โปรดเถอะ"
มิสฟอร์จูนละล่ำละลักพูดออกมา กระนั้นผู้ที่อยู่หลังบานประตูก็ไม่มีทีท่าว่าจะคลายความโกรธเกรี้ยวลงแม้แต่น้อย เสียงคำรามต่ำในลำคอดังขึ้นหนหนึ่งก่อนที่ประตูตู้จะถูกกระแทกปิดอย่างรุนแรง จู่ ๆ เสียงข้าวของตกแตกและเสียงคล้ายของหนักกระแทกกับผนังก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงคำรามขู่ด้วยอารมณ์รุนแรงของทั้งสองฝ่าย
"ออกไป! เขาเป็นของข้า!"
"เจ้าไม่มีสิทธิ์ในตัวเขา มอร์โก้!"
"ข้าไม่สน! ออกไป!!!"
สิ้นสุดเสียงตะโกนนั้นก็เกิดเป็นเสียงคล้ายของแหลมคมแทงเข้ากับอะไรสักอย่าง รอบด้านพลันเงียบสนิท
"ฮึก.."
มิสฟอร์จูนรีบก้มหน้างุด เก็บกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้
ประตูถูกแง้มออกอีกหน ประกายสีเขียวในดวงตาของมิสเตอร์วอยซ์ไม่เจิดจ้าอย่างในตอนแรก ราวกับว่ากองไฟในดวงตาเขากำลังจะดับลง ทว่าฝ่ามือที่ยื่นออกมากลับสั่นเทา น้ำเสียงตอนที่เรียกชื่อเขาก็ไม่เต็มไปด้วยความเอ็นดูทะนุถนอมเหมือนอย่างเคย กลับกลายเป็นความเย็นชาว่างเปล่า
"คุณวอยซ์.."
แว่วเสียงหัวเราะจากที่ใดสักแห่งบนโลกใบนี้ มิสฟอร์จูนหลับตาลงรับสัมผัสเย็นเยียบที่ค่อย ๆ โอบรอบลำคอ เสียงกระซิบเอ่ยคำของผู้ชายตรงหน้าดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่มิสฟอร์จูนจะหลับใหลไปตลอดกาล
"ขอให้ที่นั่นมีดอกไม้ ฉันรักเธอ"
แปดปีที่เด็กตัวเล็ก ๆ ถูกสังคมตัดสินว่าเขาเป็นตัวโชคร้าย
สิบสองปีที่เขาได้รู้สึกว่าได้รับการดูแลและเฝ้ามองด้วยความรัก และได้รับคำมั่นสัญญาว่าจะไม่ต้องเจ็บปวดอีกตลอดชีวิต
สิบสองปีที่ผ่านมามีหลายอย่างที่เขายังไม่ได้ทำ และคำมั่นสัญญานั้นก็ไม่เคยถูกลืมเลือน
ยังไม่ทันได้บอกรักเลย
ยังไม่ทันได้บอกเลยว่ามีความสุขมากขนาดไหน
จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ ก่อนจะสิ้นลมหายใจ
-- เขาก็ยังไม่ได้รู้สึกเจ็บเลยเสียด้วยซ้ำ
เสียงถอนใจแผ่วเบาดังขึ้นท่ามกลางสุสานที่เงียบสงบ กลีบดอกไม้บอบบางสัมผัสกับผืนดินพร้อมหยาดน้ำตาที่ร่วงหล่น เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นอีกครั้ง แม้เขาจะพูดมันมาตลอดสิบเจ็ดปีแล้วก็ตาม
"มิสฟอร์จูน"
"ต่อจากนี้..มามีความสุขกันเถอะนะ"
และเพราะเขาไม่อาจกำหนดและหลีกหนีโชคชะตาของตัวเองได้
สุดท้าย..เขาจึงได้ทำมันหล่นหาย แตกสลาย ด้วยน้ำมือของตัวเขาเอง
ทั้งที่เขาอยากจะถนอมมากเท่าไร อยากจะรักมากแค่ไหน อยากจะตายตกไปด้วยกันสักเพียงใด
เขาก็ไม่สามารถทำได้เลย
เพียงเพราะเขาเป็นปีศาจ และมิสฟอร์จูนเป็นเพียงเด็กบริสุทธิ์คนหนึ่ง.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in