KINDIE MAGAZINE VOL.113
COVER ARTIST – JUNG MINHYUK
โลกที่วาดจากความฝันที่ผมรู้สึกด้วยตัวเอง
- จองมินฮยอก -
ตั้งแต่ไซคีเดเลียขี้อายของชินแฮคยอง ไปจนถึงพาโธสอันรุนแรงของ Deafheaven ตอนที่ผมฟังอัลบั้มเดี่ยวของจองมินฮยอก มือกีตาร์จากวงลาคูน่าที่ชื่อว่า “도서대여점 (ร้านให้เช่าหนังสือ)” ผมรู้สึกได้ถึงหลายสิ่งหลายอย่างเลยครับ อัลบั้มนี้ซึมซับด้วยกลิ่นอายของดรีมป๊อปที่ลอยละล่องอยู่บนก้อนเมฆเซลโลเฟน พร้อมๆ กับการบิดหมุนอย่างหวาดเสียวของเสียงที่ฟังแล้วอาจเผลอก้าวพลาดตกลงไปได้ง่ายๆ ช่วงที่สมาชิกวงคนอื่นๆ เข้ากรมไป มินฮยอกในฐานะมือกีตาร์ที่ยังคงอยู่ก็เงียบๆ ก่อสร้างปราสาททรายทางเสียงกีตาร์ขึ้นมา และโชคดีที่มันไม่ได้พังทลายลงหรือจมหายไปในโฟลเดอร์ของเขา แต่มันกลายเป็นมินิอัลบั้ม 5 เพลงที่ถูกส่งออกสู่โลกใบนี้ครับ
ผมได้เจอกับจองมินฮยอกที่สำนักงานของต้นสังกัด MPMG Music ที่เขตมาโพ กรุงโซล เขาเลื่อนเก้าอี้เข้ามานั่งพร้อมรอยยิ้มเขินๆ แล้วก็เล่าเรื่องราวที่หนักแน่นพอๆ กับเสียงกีตาร์ที่เปล่งออกมาใน “ร้านให้เช่าหนังสือ” ครับ
By อิมฮียุน นักวิจารณ์ดนตรี
--------------------------------------
Q : ตอนนี้ไม่ใช่มินฮยอกจากวงลาคูน่า แต่เป็น “จองมินฮยอก” แล้ว อะไรเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ออกอัลบั้มเดี่ยวในครั้งนี้?
MH : ตอนทำวงลาคูน่าผมก็เคยโพสต์เพลงโซโล่ลง SoundCloud อยู่บ้างนะครับ ประมาณว่าเป็นงานอดิเรกอะไรทำนองนั้น อย่างเพลงสุดท้ายใน EP ชื่อ “그늘 아래 (ใต้ร่มเงา)” ผมก็แต่งไว้ตั้งแต่ปี 2021 แล้วพอดีผมเป็นคนเดียวในวงที่ไม่ได้เข้ากรม ก็เลยคิดว่าลองปล่อยซิงเกิลเดี่ยวดูดีไหม สุดท้ายงานก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพลง “날씨는 흐림 (อากาศครึ้ม)” เป็นเพลงสุดท้ายที่ผมเขียนเพิ่มเข้ามาใน EP ผมแต่งมันขึ้นมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ของปีนี้เองครับ
Q : เคยเป็นมือกีตาร์มาตลอด อยู่ๆ จะขึ้นมาเป็นนักร้องเองก็คงต้องใช้ความกล้าไม่น้อยเลยใช่ไหม?
MH : เพลง 그늘 아래 นี่แหละครับที่ทำให้รู้สึกว่า ผมน่าจะร้องเพลงเองได้ ตอนแรกก็คิดว่าจะให้คนอื่นร้องหรือแต่งเป็นเพลงบรรเลงเน้นกีตาร์ไปเลย แต่สุดท้ายมันทำให้ผมเริ่มคิดว่า “เอ๊ะ หรือเราจะลองร้องเองดีนะ” ผมเคยช่วยดูไดเรคชันการร้องในวงอยู่บ้าง แม้จะไม่ได้ซ้อมร้องจริงจัง แต่ประสบการณ์เหล่านั้นมันคงอยู่ในตัวผมบ้างแล้วล่ะครับ สรุปคือ… ลองดูแล้วก็โอเคครับ
Q : จุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจดนตรี และทำให้หยิบเครื่องดนตรีขึ้นมาคืออะไร?
MH : ผมเริ่มชอบวง NELL กับ Green Day ตอนอยู่ ม.1-2 ครับ แล้วตอน ม.3 มีเพื่อนชวนให้ลองเล่นกีตาร์ดู ก็เลยเริ่มจริงจังขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าการฟังวงอินดี้เกาหลีอย่าง Delispice, 3호선버터플라이, 언니네이발관 มันสนุกกว่าการเรียนซะอีกครับ พอขึ้นมัธยมปลายผมก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะทำดนตรีแล้วก็เริ่มฝึกกีตาร์อย่างจริงจัง ผมชอบทั้งสายเทคนิคอย่าง John Petrucci, John Mayer, Nuno Bettencourt (Extreme) และคนที่เล่นน้อยๆ แต่จับใจอย่าง Jonny Buckland จาก Coldplay ครับ โดยเฉพาะไลน์กีตาร์ในเพลง “In My Place” นี่ผมชอบมากเลยครับ
Q. ชื่อ EP และเพลงไตเติลคือ 도서대여점 (ร้านเช่าหนังสือ) ทุกวันนี้แทบไม่เห็นร้านแบบนั้นแล้ว ทำไมถึงเลือกคำนี้มาใช้? แล้วถ้าได้เปิดร้านเองจริงๆ อยากแนะนำหนังสืออะไร?
MH : ผมแต่งอินโทรของเพลงนี้ทิ้งไว้ก่อนแล้วใช้เวลาตั้งปีถึงจะเขียนต่อจนเสร็จ เพราะชอบอินโทรนั้นมากๆ ก็เลยอยากเขียนเนื้อเพลงอย่างระมัดระวังครับ ช่วงนั้นผมอยู่คนเดียวในห้องทำงานบ่อยๆ เพราะสมาชิกวงเข้ากรมกันหมด เลยมีความคิดว่าถ้ามีที่ไหนสักแห่งที่เราสามารถยืมความรู้สึกของกันและกันได้ ก็คงจะดี แล้วผมก็นึกถึงร้านเช่าหนังสือขึ้นมาครับ
ผมเริ่มอ่านหนังสือจริงจังเมื่อปีที่แล้วนี่เองครับ หลังจากได้อ่านบทความของนักดนตรีชื่อ มงกู จากวง Mongoose ที่ชื่อว่า “Genres of a Summer Night” มันทำให้ผมรู้สึกว่าการอ่านหนังสือก็มีเสน่ห์เหมือนกัน ถ้าให้แนะนำสักเล่ม ผมขอเลือก “밤은 책이다 (ค่ำคืนคือหนังสือ)” โดยอีดงจินครับ เป็นหนังสือที่เหมือน short-form วิดีโอบน YouTube เลย อ่านตรงไหนก่อนก็ได้ เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มรักการอ่านอย่างผมครับ
Q. ซาวด์ของลาคูน่ากับซาวด์ของมินฮยอกโซโล่ก็น่าจะต่างกันเยอะเลยใช่ไหม? มีอะไรที่ตั้งใจทำให้ต่างไปบ้าง?
MH : ตอนทำเพลงกับลาคูน่าผมจะเผื่อพื้นที่ไว้ให้สมาชิกคนอื่นๆ เติมเสมอ เช่น อยากให้มีไลน์เบสหรือกลองเพิ่ม ผมก็ต้องคอยดูให้มันกลมกลืนกับกีตาร์หรือเสียงร้องของคนอื่นครับ แต่พอทำโซโล่คนเดียว ผมก็ใส่ทุกอย่างที่อยากทำเลย ใช้เอฟเฟกต์หนักขึ้น ทับเลเยอร์กันหลายชั้น บางไลน์กีตาร์อัดไว้ 10 เทค บางเพลงมีถึง 100 แทร็กเลยครับ
ผมตั้งชื่อเอฟเฟกต์รีเวิร์บที่ใช้บ่อยว่า “ก้อนเมฆ” เพราะเวลาเล่นด้วยเสียงนั้นจะรู้สึกเหมือนลอยอยู่บนเมฆเลยครับ ถ้าเมฆเคลื่อนเร็วก็จะใช้ไดรฟ์แรงๆ ให้มันเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ถ้าจะให้ฟ้าร้องก็จะใส่อ็อกเทฟเสริมเพิ่มเสียงให้ดิบขึ้นครับ
Q. ในเพลง 그늘 아래 (ใต้ร่มเงา) มีเสียงกีตาร์ที่แรงมาก ฟังแล้วนึกถึงแนว blackgaze เลย
MH : ใช่ครับ ผมใช้พื้นฐานจาก shoegaze แล้วเติม pitch shifter กับ shimmer reverb เพื่อให้เสียงมันลอยๆ เหมือนความฝันครับ แล้วในอัลบั้มนี้ผมยังใส่เสียงฮาร์พ (harp) ซึ่งปกติใช้ในวงออเคสตร้า ไปหลายจุดเลยด้วย ตอนท้ายเพลงก็ใช้เสียงกีตาร์กับฮาร์พซ้อนกันเพื่อให้หมุนๆ เหมือนกำลังวนในฝันครับ
Q. โลกของลาคูน่ามีความเป็นนิทานสูงมาก แต่ของมินฮยอกใช้คำอย่าง “เงา”, “ความทรงจำ”, “ครึ้ม”, “เมฆ” บ่อยๆ มันคือโลกแห่งความฝันรึเปล่า?
MH : ผมฝันบ่อยนะครับ บางทีฝันว่าอยู่บนฟ้าแล้วได้ยินทำนองในฝัน ผมก็ตื่นมาอัดเสียงไว้ในมือถือทันทีเลย แถมยังเคยฝันว่าได้ขึ้นแสดงที่เวทีหนึ่ง แล้วต่อมาก็ได้ไปแสดงที่นั่นจริงๆ ด้วยครับ
เงา สำหรับผมคือที่ที่ให้ความรู้สึกสงบ ถ้าโลกของลาคูน่าเป็นโลกแห่งจินตนาการ โลกของมินฮยอกก็คือ “โลกที่ผมฝันและรู้สึกได้ด้วยตัวเอง” ครับ
Q. แล้วจะมีโอกาสได้เห็นมินฮยอกทำกิจกรรมเดี่ยวอีกไหม? เป้าหมายในฐานะศิลปินระยะยาวคืออะไร?
MH : อาชีพของผมคือมือกีตาร์ ส่วนแต่งเพลงร้องเองก็เป็นเหมือนงานอดิเรกครับ แต่งานอดิเรกตอนนี้กลายเป็นงานที่สองแล้วล่ะครับ
หลายคนบอกว่าเพิ่งเริ่มโซโล่ น่าจะทยอยปล่อยซิงเกิล แต่ผมกลับอยากทำอัลบั้มที่มีความยาว มีเนื้อหาเหมือนหนังสือมากกว่าครับ อัลบั้มนี้ก็เหมือนผมดันออกไปด้วยพลังล้วนๆ เลย
เป้าหมายของผม ไม่ว่าจะในนามวงลาคูน่า หรือในฐานะศิลปินเดี่ยว ก็คือการได้รับการยอมรับทั้งจากคนฟังทั่วไปและวงการวิจารณ์ในด้านของ “ศิลปะทางเสียง” อาจจะเป็นไปได้ว่าผมจะทำอัลบั้มที่กล้าแสดงออกมากกว่านี้ในครั้งหน้าก็ได้ครับ :)

Cr: http://www.xindiemagazine.co.kr/
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in