"เ_ี่ยยยยย"
เสียงสบถในระดับดังกว่าเสียงปกติหลุดออกมาจากปากเรา ซึ่งทำให้เพื่อนร่วมห้องหันมามองอย่างตกใจ ลงท้ายด้วยการที่เราขอโทษเขาไปด้วยเสียงอ่อยๆ
ก็มันน่าโมโหนี่นา!!!
ส่วนสาเหตุน่ะเหรอ....
ก่อนหน้านั้นประมาณครึ่งชั่วโมง เรานั่งเขียนบทความอยู่บทความหนึ่ง เขียนลงเว็บนี้นี่แหละ เมื่อเขียนเสร็จเราก็กดเซฟเพื่อที่จะเผยแพร่เหมือนทุกที
แต่สิ่งที่เราลืมไปนั้นคือ พอเริ่มเขียนไปสักพัก เราเกรงว่าบทความมันจะยาว เลยกดตัดเนตในมือถือไปก่อน(ตอนนี้เราอยู่ระหว่างการฝึกอบรมของที่ทำงานใหม่ ซึ่งต้องมาอยู่ที่พักที่สำนักงานเตรียมให้ และทำให้ต้องใช้เนตของตัวเองในการออนไลน์)
ทีนี้ พอกดเซฟ มันไม่ไป เรานึกขึ้นได้ จึงกดเปิดเนต แต่แม้เปิดแล้วก็ยังไม่สามารถกดอะไรได้ ด้วยความซื่อบื้อ เราจึงกดปุ่มกลับหน้าเดิม
คราวนี้แหละ.....บทความทั้งบทความ หายวับไปกับสายลม!
และนั่นก็ทำให้เราลืมตัวสบถออกไป และนั่งหงุดหงิดกับตัวเองอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนเริ่มนึกขึ้นได้ว่า
จะว่าไปแล้ว การที่เรื่องไม่ได้ถูกเผยแพร่ไปนั้น ก็ดีเหมือนกันนะ
เวลาเราเขียนเรื่องน่ะ เราไม่ได้สักแต่ว่าจดๆๆเรื่องที่อยู่ในหัวแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่มันยังเป็นการระบายอารมณ์อย่างหนึ่ง เพราะเรามักจะมีอารมณ์ร่วมไปกับสิ่งที่ตัวเองนึกคิดอยู่เสมอ
....หรือมองอีกแง่ จริงๆแล้วน่ะ อารมณ์เราต่างหาก ที่ก่อให้เกิดเรื่องราวขึ้นมาได้
การเขียนเรื่องจึงเป็นการระบายอารมณ์อันเป็นสิ่งจำเป็น แต่สิ่งซึ่งไม่จำเป็นสำหรับการระบายอารมณ์นั้น คือการเผยแพร่มันออกมา
พูดให้เข้าใจง่ายคือ บางที การเขียนระบายอารมณ์นั้นไม่จำเป็นต้องได้รับการเผยแพร่เสมอไป
บางที โชคชะตาอาจไม่ต้องการให้เรื่องของเราออกสู่สายตาสาธารณชน จึงดลบันดาลให้เกิดอาการหลงลืม อันเป็นเหตุให้เรื่องราวหายไปทั้งเรื่องแบบนี้
ความเครียดได้ระบายลงแล้ว และเรื่องราวก็ยังคงเป็นความลับต่อไป...
คิดได้ดังนั้น ความขุ่นมัวก็เริ่มละลายไป
คิดๆแล้วก็ตลกดีนะ
เราไม่ได้ตลกที่บทความเรามันหายไปทั้งเรื่องหรอก น่าอารมณ์เสียจะตายไป
เราแค่ตลกตัวเองที่ว่า กะแค่ความคิดวูบหนึ่งตอนที่เรื่องสั้นของตัวเองหายไป ก็ยังอุตส่าห์เอามาเขียนเป็นบทความอีกเรื่องหนึ่งได้ ต่างหากละ
น่าตลกอยู่ไม่น้อยเลยนะ ;)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in