เคยนั่งมองเวลาใครเขาแอบชอบอีกคนแล้วนึกว่า "นี่ถ้าเอาชนะใจอีกฝ่ายไม่ได้จนโดนแย่งไปจะสมน้ำหน้าให้" มั้ย?
เราเคย...
แต่คิดๆไป เราก็ว่าตัวเองคิดผิด เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ควรสมน้ำหน้าเลย
แม้แต่นิดเดียว
พระพุทธเจ้าตรัสว่า การเป็นคู่กันนั้นจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยปัจจัยร่วมกันสองประการ
หนึ่ง คือเคยอยู่ร่วมกันมาในชาติก่อน
และสอง คือได้มาเกื้อกูลกันอีก ในชาติปัจจุบัน
ดังนั้น การที่ใครสักคนจะเป็นหรือไม่เป็นคู่กัน มันย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เอามาล้อเล่นกันได้ง่ายๆ มันเกิดจากการสั่งสมความผูกพันระหว่างกันมาแบบข้ามภพข้ามชาติ
นอกจากสายใยที่มองไม่เห็นแล้ว พระพุทธเจ้ายังตรัสว่า การจะเป็นครองคู่กันได้อย่างมีความสุขนั้น ต้องเกิดจากความเสมอกันในสี่ประการ
หนึ่ง คือมีปัญญาเสมอกัน พูดให้เข้าใจง่ายคือ คุยกันรู้เรื่อง มีความรู้ความสนใจในเรื่องที่จูนกันติดและสามารถหาเรื่องมาคุยกันได้
และในทางจิตวิทยา การสื่อสารกันยังถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับคู่รักอีกด้วย
สอง มีจาคะเสมอกัน คือ....มีความใจดี ในระดับที่พอๆกัน ไม่ใช่ว่าคนหนึ่งมีแต่ให้ อีกคนหนึ่งงกระเบิด แบบนี้ไม่นานมีหวังได้ระเบิดใส่กันเข้าสักวัน
สาม มีศีลเสมอกัน คือมีความสามารถในการรักษาศีล(ศีลห้าพอนะ ไม่ต้องคิดเยอะ)ในระดับที่พอๆกัน เช่นว่า ไม่ใช่คนนึงรักเดียวใจเดียว อีกคนเจ้าชู้ไปทั่ว แบบนี้อยู่ไปก็ทุกข์เปล่าๆ และ
สี่ มีศรัทธาเสมอกัน ง่ายที่สุดที่จะอธิบายคือ นับถือศาสนาเดียวกัน มีความเห็นด้านศาสนาไปในทางเดียวกัน หรืออย่างน้อย หากต่างศาสนาก็ไม่ขัดขวางการนับถือของอีกคนหนึ่ง
หากคู่ครองคู่ใดมีสี่อย่างนี้ไปในระดับที่พอๆกันแล้ว ก็มีแนวโน้มว่าจะสามารถครองคู่กันได้อย่างเป็นสุข
ดังนี้ จะเห็นได้ว่าการที่คนเราจะมาเดินข้างกันได้ในฐานะคนรักนั้น นอกจากจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆแล้ว ยังไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกด้วย แต่เกิดจากการถักทอสายใยระหว่างกันและดูแลให้นิสัยต่างๆเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ซึ่งไม่ใช่เรื่องเดี๋ยวเดียว ไม่ใช่เรื่องฟลุค และเป็นเรื่องที่...........พยายามแค่ฝ่ายเดียวไม่ได้
ดังนั้น หากสุดท้ายแล้ว คนๆหนึ่งจะไม่สามารถเป็นแฟนหรือคนรัก กับคนอีกคนหนึ่งได้ ย่อมไม่ใช่แค่เพราะเขาไม่พยายาม(ถึงแม้ความเป็นจริง มันจะดูไม่ใช้ความพยายามเลยจริงๆก็ตามที)หรืออะไร แต่เป็นเพราะ
เขาทั้งสองไม่ได้เกิดมาเป็นคู่กัน
และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าหัวเราะเยาะเลย แม้แต่นิดเดียว
เพราะการที่ใครเป็นไม่เป็นเนื้อคู่ของเรา มันไม่ใช่เรื่องตลก แต่มันคือการเลือกสรรมาแล้วจากโชคชะตา จากชาติปางก่อน จากสายใยที่มองไม่เห็น และบางที ก็จากการตัดสินใจของเราเอง
เรื่องแบบนี้จึงไม่ควรนำมาเพื่อล้อเล่น หรือตอบสนองต่ออารมณ์ดิบของตัวเอง อันอยู่บนความทุกข์ร้อนของผู้อื่นแต่อย่างใด
คิดได้ดังนั้นเราจึงขอโทษผู้เคราะห์ร้ายไปอย่างเงียบๆในใจ จริงๆก็ดีเหมือนกันนะ ที่ความคิดฝ่ายต่ำของเรามันจะออกมาอาละวาดเสียบ้าง เพราะมันทำให้เราได้คิดใคร่ครวญถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงอันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
โดยใช้คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลักในการหาเหตุผล เพื่อให้ตัวเองได้เรียนรู้ว่า
เรื่องบางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรเอามาสมน้ำหน้าเลย.........จริงๆนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in