เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บตล.w.allflower
(2007)Freedom Writers: อิสระที่ยิ่งใหญ่

  •  

                    ถ้าคุณยังไม่เคยดูอยากให้ลองก่อน แล้วมาอ่านตอนนั้นก็ยังไม่สาย

                    นึกครึ้มอะไรไม่รู้จู่ ๆ ก็อยากหาอะไรกระแทกความคิดและสมอง อาจจะ(ตกตะกอน)มาจากการอ่านเชิงวิจารณ์หรืออะไรก็ไม่รู้อีกนั่นแหละที่ทำเอาสมองเคว้งเหมือนโดนเหวี่ยงไปมา เลยดูหนังตามลิสต์จากที่ไหนก็จำไม่ได้แล้ว หลายสัปดาห์ผ่านไปที่ดูบ้างและไม่ดูบ้าง ในที่สุดก็มาถึงเรื่อง Freedom Writers

                    ไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยโปสเตอร์ไม่เคยเห็น เทรลเลอร์ไม่เคยดู เจอทีเดียวเลยคือตอนดู

    ดังนั้นจึงเป็นการดูที่มีความลุ้นอยู่ตลอดเวลา ไม่อยากจะเชื่อว่าตอนดูตอนเกือบไคล์แมกซ์ถึงกับต้องเอามือขวาทาบหัวใจไว้ คิดในใจว่าจะมีชีวิตรอดมั้ยจนดูจบ ไม่ได้เว่อร์ไปกว่านั้นเลยจริง ๆ ลองคิดซะว่าคุณถูกทิ้งไว้กลางป่าและตื่นมาโดนที่ไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น นั่นแหละแบบนั้นเลย

                    ตอนเรียนการวิจารณ์มีความกดดันมากมายครอบเอาไว้อาจจะด้วยคะแนน เกรด ก็แน่ล่ะ ความกลัวเข้าครอบงำแต่ตอนดูเรื่องนี้จะเรียกว่าวิจารณ์ก็ไม่ใช่เพราะไม่มีความรู้มากมายที่จะขยายความหรือทฤษฎีที่จะสนับสนุน เอาเป็นว่านี่คือการพูดถึงภาพยนตร์ด้วยหัวใจของฉันเอง


    เมื่อสงครามและความรุนแรง

    แปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจซึ่งกันและกัน


                    Freedom Writers เป็นเรื่องราวที่ทั้งสะเทือนจิตใจและอารมณ์(ของฉัน) เมื่อมีการแบ่งแยกที่ไม่มีอะไรบอกได้เลยว่าอะไรคือกฎเกณฑ์ ในเมื่อกฎเกณฑ์นี้ไม่มีความเท่าเทียม ห้องเรียนของ Erin เหมือนห้องเรียนในฝัน เพราะตกต่ำและถูกพัฒนามีความสงสัยนานาเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เธอเป็นคุณครูรุ่นใหม่ไฟแรง ที่เข้มแข็งและมีอุดมการณ์ ความทุ่มเทและจุดมุ่งหมายของเธอน่ายกย่องยิ่งนัก

                    ซึ่งสิ่งที่อยากพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้คือ การถ่ายทอดทางอารมณ์ที่ไม่มีสิ้นสุด ความรุนแรง ความทรงจำทั้งเรื่องราวปัจจุบันหรืออนาคต แม้กระทั่งอดีต หล่อหลอมอยู่ในตัวเราทั้งสิ้น ความเชื่อมั่นของ Erin สะท้อนออกมาได้ดีว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราพร้อมที่จะเปลี่ยน เราเปลี่ยนได้เสมอ แน่นอนล่ะว่าทุกคนเปลี่ยนกันได้ตลอดเวลา แต่สิ่งที่เราเข้าถึงมันมากที่สุดก็คือตัวเราเอง

    เมื่อเราเปลี่ยน โลกก็เปลี่ยน

    (something) for change.

                    เธอเปลี่ยนนักเรียนที่ถูกแบ่งแยกตามสังคมให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน จากการอ่าน เมื่อเราอ่านจะเกิดความคิดและเมื่อมีความคิด (แน่นอนล่ะเรามีสิ่งนั้นอยู่ตลอด) เราก็ต้องการพื้นที่สำหรับมัน จับมาวาง เอามาเรียง หรืออะไรก็ตาม เธอให้นักเรียนเขียน เขียนอะไรก็ได้ที่อยากเขียน และเห็นได้ชัดว่านักเรียนทุกคนมีแนวทางเป็นของตัวเอง บางคนเขียนกลอน เขียนเพลง เขียนเป็นไดอารี่ เธอขอแค่ต้องเขียนมันทุกวันและถ้าพร้อมที่จะให้เธออ่าน เธอยินดี ตอนที่ Erin อ่านเนี่ยแหละที่ไม่อยากจะเชื่อว่าทำให้ฉันต้องกระทำอะไรก็ตาม แบบที่เขียนไปข้างบนนั่นสะดุ้งตัวโหยงเลยแหละ เรียกแบบนั่นจะดีกว่า ถึงอาจไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นกับทุกคนแต่คุณสัมผัสถึงมันได้เชื่อเถอะ

                    ในการเปลี่ยนที่ทุ่มเทของ Erin ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตครอบครัวของเธอ ไม่ต้องบอกก็รู้ ถ้าคุณดู คุณจับจุดนั้นได้แม่นยำแน่นอน ตอนที่เธอถามเรื่องเรียนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ถึงจะใส่มุกกับตัวนักเรียน นี่มันไม่ธรรมดาเลย ไม่มีใครรู้จัก แต่เกือบทุกคนเคยถูกปืนจ่อ เฮ้ แค่คิดภาพตามก็ตัวหด ขวัญหนีหมดแล้ว

     

     

    การเริ่มต้นมันยากแต่เมื่อได้เริ่ม ก็ไม่อาจหยุด

     

     

                    การอ่านทำให้เราพบว่าโลกใบเดิมกว้างกว่าที่เคย มันทำให้นักเรียนได้พบกับเรื่องราวทั้งที่เกิดจริง และไม่จริง ทำให้คิดและถกเถียงกันในประเด็นนั้น ๆ บางคนถึงขั้นหลงรักการอ่านไปเลย

                    แม้ในเรื่องไม่ได้บอกว่าเมื่อเด็กเหล่านี้เผชิญโลกนอกห้องเรียนพวกเขาเป็นยังไง แต่ฉันเชื่ออย่างนึงว่ามีบางสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมแน่นอนเพราะเธอเปลี่ยนพวกเขาไปตลอดกาล

                    ชอบการเอาเรื่องราวที่พวกเขาเขียนไว้มาทำเป็นเล่มมาก“ตอนนี้ไม่ใช่แค่นักเรียน แต่พวกเธอเป็นนักเขียน มีเรื่องราวเป็นของตัวเองไม่ว่าจะมีใครอ่านมันหรือไม่ แต่เรื่องพวกนี้บอกได้ว่าเราอยู่ที่นี่และมันเกิดขึ้นจริง”  บทบรรยายคร่าว ๆ ประมาณนี้ ไม่ถือว่าสปอยล์ใช่ไหม (เธอพูดมาจนเกือบจบเรื่องแล้ว ช้าไปสามปี) ถึงได้เป็น freedom writers ยังไงล่ะ

     

     "I AM HOME"


                    ดีใจที่มีโอกาสได้ดู ทั้งน้ำตาคลอ ทั้งตกใจ ทั้งยิ้มด้วยความรู้สึกที่ดี และบางอาการเวลาหดหู่ มันรวมอยู่ในหนังเรื่องนี้ทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ภายในห้องแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงไปถึงข้างใจจิตใจ การสะท้อนภาพคนยิวและนาซี การแบ่งชั้นชนทางสีผิวการเหยียดหยาม มันเกิดขึ้นจริงในสังคม ความจริงถ้านักเรียนกลุ่มนี้ได้เปลี่ยนครูจริง ๆ นอกจากตัวพวกเขาเองแล้วก็คงเป็นคุณครูนี่แหละที่ส่งผลได้มากที่สุด ถ้าขนาดคุณครูยังแบ่งแยก และเหยียดหยามนักเรียนจะเรียนปีไหนก็คงไม่สำคัญเพราะเขาปิดกั้นตัวเขาจากสิ่งที่เด็กเป็น เอาชุดข้อมูลเดิม ๆ กรอกใส่หัวตัวเองแล้วก็เฝ้าจ้ำจี้ ชี้ซ้ำ ๆ ว่ามันผิด เธอไม่ควร บลา บลา บลา แต่แน่นอนถ้านักเรียนเปลี่ยนจะครูคนไหนก็ทำอะไรจิตใจที่เข้มแข็งและงอกงามของพวกเขาไม่ได้หรอก

                    การได้พบคนจากเหตุการณ์จริงทั้งจากสงครามหรือหนังสือ ทำให้สัมผัสได้ใกล้เข้าไปอีก หมายถึงเราจะยิ่งเห็นมันชัด สัมผัสถึงมัน เข้าใจมัน

                    ยังไงก็ตามก็ยังอยากบอกว่าท่อนสำคัญทั้งหลายในเรื่อง คุณควรได้สัมผัสมันเอง เห็นและได้ยินด้วยตัวคุณเอง ไม่ว่ามันจะดีแค่ไหนก็ตาม เราควรมองด้วยสองตาของตัวเอง(คันมืออยากจะแคปมาลง)

                    ใครว่างอยากหาอะไรดู อย่าลืมเก็บหนังเรื่องนี้ไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้นเด้อ

                    เป็นยังไงก็มาเล่าให้กันฟังได้ดูคนเดียวมันเหงา เข้าใจ... มีแต่คน… #ผิด

     

     

                    ขอจบการบ่นแต่เพียงเท่านี้(แต่ถ้านึกได้เพิ่มจะมาเขียนอีก) บ่นอะไรลงไป ...  

    ปล. ชื่ออิสระที่ยิ่งใหญ่นั่นตั้งเองค่ะ ไม่ได้เป็นชื่อเรื่องแต่อย่างใด ... ขี้โม้ 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in