เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Alive : กำเนิดกลายพันธุ์NO.W
Alive : กำเนิดกลายพันธุ์ ตอนที่ 5
  • ……….

     

    ตอนที่ 5 : อู่ซ่อมรถกับเพื่อนร่วมทางหน้าใหม่

     

    สิ่งเดียวที่ผมรู้ตอนนี้คือตัวเองรอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ทุกครั้งที่หายใจเข้าออกจะเจ็บแปล๊บและปวดขึ้นมาตรงหน้าอกที่ถูกบานประตูเหล็กกระแทกใส่รอบตัวผมมืดสนิท มองไม่เห็นกระทั่งปลายนิ้ว ไม่ยักรู้ว่าตรอกตอนกลางคืนจะมืดไร้กระทั่งแสงจันทร์ขนาดนี้

     

                นี่อาจจะยังไม่ถึงเวลาตายของผมจริงๆก็ได้ เมื่อเจ้าประตูนี่มันดันเปลี่ยนรูปกลางอากาศและตกลงมาเป็นแนวขวางและค้ำอยู่บนถังอะไรสักอย่างที่ตัวผมเองนอนอยู่ด้านในอย่างน้อยถังนี่ก็กว้างพอจะให้ผมนอนได้ทั้งตัวและมีถุงที่ยัดอะไรนุ่มๆไว้เต็มไปหมด ถ้าโชคไม่ดีราวกับตัวเอกนิยายขนาดนี้สภาพผมคงดูไม่จืดแน่ๆ

     

                 ด้วยความที่ร่างกายยังไม่พร้อมลุยทั้งรอบตัวยังมืดสนิท ตัวผมเองก็ไม่มีอะไรเหลือแม้กระทั่งไฟฉายเล็กๆ สักอันไม่รู้ว่าเป้หลุดออกจากตัวไปตอนไหน จึงได้แต่ข่มตาหลับรอค่ำคืนนี้ผ่านไป พรุ่งนี้เช้าค่อยคิดหาทางกันอีกที

     

    ..........

     

                ผมหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืนเมื่อได้ยินเสียงพวกซอมบี้ครางฮืออยู่แทบทุกห้านาที อย่างน้อยบานประตูเหล็กที่ค้ำอยู่บนถังก็ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้างเมื่อแสงยามเช้าสาดส่องเข้ามาภายในตรอกเล็กๆ แห่งนี้มันก็ถึงเวลาที่ผมต้องออกไปลุยอีกครั้ง ผมคลำบริเวณหน้าอก ลองขยับร่างกายส่วนต่างๆว่าพร้อมจะออกลุยอีกครั้งแล้วหรือยัง และเมื่อรู้สึกว่าไม่ได้เป็นอะไรมากมายผมก็ค่อยๆ เลื่อนบานประตูที่ค้ำอยู่ออกช้าๆ จนสุดปลายเท้าและสุดตัวขอบถัง       

     

    ผมชะโงกขึ้นมาดูลาดเลาข้างในตรอกเป็นทางตันที่มีลังไม้เก่าๆ วางกองสุมอยู่ก่อนหันกลับมาดูด้านหน้าทางเข้า ไม่มีวี่แววพวกซอมบี้ เงียบกริบ ผมจึงค่อยๆดึงตัวเองขึ้นและนั่นทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่นอนทับมาตลอดทั้งคืนมันคือเครื่องนอนเก่าขาดที่คนไม่ใช้แล้วนั้นเองอะไรมันจะดวงดีขนาดนี้ ผมปีนลงจากถังช้าๆ พยายามให้เกิดเสียงน้อยที่สุดและพบว่าสิ่งที่ผมเดามาตลอดทั้งคืนก็ถูกต้อง นั่นคือมันเป็นถังขยะเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยคราบสนิมและรอยทาสีใหม่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ทำให้มันใหม่ขึ้นแต่อย่างใด

     

                “คนเดียวอีกครั้งสินะ”ผมบอกกับตัวเอง ค่อยๆ เดินไปยังทางออกแต่ยังไม่ถึงปากทางผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดิน ตอนแรกก็ดีใจแต่ฟังไปฟังมาคงไม่มีคนธรรมดาที่ไหนเขาเดินลากเท้าไปกับพื้นฟุตบาทหรอกหรือไม่ก็เดินไปครางฮือไปด้วย ผมถอยหลังกลับอย่างไม่ต้องคิด แต่จะไปทางไหนล่ะขึ้นบันไดกลับไปทางเดิมรึ? ผมพยายามคิดหาทางออก

     

                ระหว่างที่คิดหาทางไปต่อก็ต้องคอยลุ้นว่าเจ้าซอมบี้มันจะโผล่มาเมื่อไร หรือบางทีมันอาจจะเดินผ่านไปดื้อๆก็ได้ ตอนนี้ทั้งตัวมีแค่เป้สัมภาระที่ข้างในเต็มไปด้วยหนังสือสวดมนต์กับไฟแช็กเก่าๆผมเจอมันตกอยู่ข้างถังขยะ ราวกับกลับมาเริ่มเล่นใหม่อีกครั้งถ้านี่มันเป็นเกมส์ก็นะ “อู่ซ่อมรถ” อยู่ๆเสียงแซลลี่ก็ร้องดังขึ้นมาในหัวมันจึงทำให้ผมคิดได้ว่าข้ามกำแพงนี่ไปเป็นอู่ซ่อมรถแล้วนี่

     

                ผมเคลื่อนลังไม้ข้างในตรอกอย่างเบามือที่สุดดีที่มันไม่หนักมาก ผมเอามันมาวางซ้อนทับกันสองกล่องพอจะเป็นฐานให้ผมปีนข้ามกำแพงไปได้ดีที่ตัวผมก็จัดว่าสูงอยู่เรื่องระยะจึงไม่ใช่ปัญหา ผมจับขอบกำแพง ดึงตัวขึ้นใช้เท้าไต่ผนัง ทุลักทุเลจนขึ้นมานั่งอยู่บนขอบกำแพงได้สำเร็จ

     

                ข้างล่างเต็มไปด้วยรถสภาพเก่าบุโรทั่งสนิมเขรอะที่จอดไว้ลานโล่งด้านนอกส่วนด้านในก็เป็นบริเวณกั้นแบ่งเป็นส่วนๆ สำหรับรถที่กำลังทำการซ่อมอยู่ ดูเหมือนแค่หนึ่งวันที่ผมหลับไปจำนวนรถจะหายไปเยอะเอาการหนึ่งในนั้นคงมีพวกบิลด้วยแน่นอน พวกเขาคงคิดว่าผมตายไปแล้ว เป็นผมก็คงคิดอย่างนั้นเหมือนกัน

     

                เมื่อมองคร่าวๆไม่น่าจะมีสิ่งผิดปกติอะไร นอกซะจากประตูทางเข้าที่อ้าเปิดออกคนที่เข้ามาเอารถคงขับชนเปิดทางออกไปซึ่งนั่นอาจทำให้ในนี้ไม่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่าไปคิดมากไม่มีอะไรในชีวิตปลอดภัยขนาดนั้นหรอก ผมกลั้นใจกระโดดลงไป กำแพงสูงสักสามเมตรเศษตึก ! เสียงปลายเท้ากระทบกับพื้นเบื้องล่างผมกลิ้งตัวเพื่อลดแรงกระแทกเหมือนที่ในหนังชอบทำกันตอนกระโดดลงมาจากที่สูง

     

                ผมเดินแอบไปมาระหว่างตัวรถคอยระวังซอมบี้ขณะที่ก็ต้องหาอาวุธไปด้วย เดินมาสักพักก็มาถึงโรงซ่อมรถด้านในข้างในค่อนข้างมืด ผมเดินอย่างเงียบเชียบที่สุด เข้าไปยังห้องสำนักงานข้างในมันเป็นห้องเล็กๆ มีอุปกรณ์จิปาถะวางขายอยู่บนชั้นสิ่งที่สะดุดตาผมแวบแรกเลยคือไฟฉายกระบอกเล็กเท่าฝ่ามือ ผมหยิบใส่กระเป๋าสามสี่อันแล้วเลือกที่จะทิ้งหนังสือไป ผมแกะอันนึงแล้วถือมันไว้ในมือ

     

                ผมสำรวจข้างในจนทั่วสลับกับมองข้างนอกว่ามีใครหรือตัวอะไรเข้ามาหรือเปล่าก่อนสายตาจะสะดุดเข้ากับชะแลงสีแดงสดที่วางไว้ข้างๆ อุปกรณ์ซ่อมรถอื่นๆผมไม่รู้หรอกว่ามันมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ผมรีบเดินออกไปหยิบมันมาถือในมือรู้สึกอุ่นใจราวกับตัวเองกลับมามีอำนาจอีกครั้ง ผมเข้ามาตั้งหลักในร้านขายของเล็กๆนี่อีกครั้ง ไม่กล้าเดินดุ่มอยู่ด้านนอก

     

    ครึ่ก !   ผมได้ยินเสียงถังอะไรสักอย่างตกลงบนพื้นข้างนอก มันกลิ้งขลุ่กๆ ไปตามพื้นแต่ผมไม่เห็นว่ามันอยู่ตรงไหน คงห่างจากผมหลายเมตรแต่อยู่ในอู่นี้แน่ๆก่อนที่หูผมจะได้ยินเสียงคนเข้าอีก เป็นเสียงผู้ชายดูเหมือนไม่ใช่คนเดียวเพราะผมได้ยินเสียงผู้หญิงอีกคน ก่อนจะนึกได้ว่าตัวเองหลบอยู่ในสำนักงานที่มีกระจกทึบคนข้างนอกไม่สามารถมองเห็นข้างในได้ ผมจึงยืนดูได้อย่างเปิดเผย ไม่ต้องกลัวคนข้างนอกเห็น

     

                เมื่อยืนขึ้นผมเห็นกลุ่มคนเกือบสิบคนได้กำลังเดินดุ่มเข้ามาด้านใน ผ่านโรงซ่อมที่ผมอยู่ มีทั้งหญิงและชาย ตั้งแต่หนุ่มสาวไปจนถึงวัยกลางคน ดูท่าจะเข้ามาหารถ ที่ผมสงสัยก็คือเดินเข้ามาโดยไม่มีซอมบี้เห็นเลยรึ?ข้างหน้าอู่มันถนนไม่ใช่รึไง? แต่แล้วสิ่งทีผมสงสัยก็มีคำตอบ

     

    “ อ้ากกก ! ”  หนึ่งในกลุ่มนั้นดูท่าจะโดนซอมบี้จู่โจมเข้าให้แล้ว    สมาชิกในกลุ่มเริ่มแตกตื่นวิ่งวุ่นไปคนละทิศคนละทางทำเอาผมต้องตื่นตัวตามไปด้วย “อยู่ดีๆงานเข้าซะงั้น”  ผมคิด  กระชับชะแลงในมือแน่นเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ที่ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องเจอ

               

    ผมเห็นเด็กหนุ่มสองคนข้างหน้าผม คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่เหมือนพวกนักกีฬาอีกคนดูเป็นเด็กหนุ่มสุขภาพดีคนหนึ่ง ทั้งสองกำลังต่อกรกับซอมบี้อย่างดุเดือดในโรงซ่อมรถถัดไปจากห้องสำนักงานที่ผมอยู่ไม่กี่เมตรส่วนพรรคพวกที่เหลือก็วิ่งวุ่นหารถที่ยังพอใช้งานได้พลางช่วยกันจัดการซอมบี้ไปด้วยทุกอย่างดูชุลมุนไปหมด

               

    “ต้องรีบไปก่อนที่ทุกอย่างมันจะแย่ไปกว่านี้”  ผมคิด เดินออกจากสำนักงาน ตอนนี้พวกซอมบี้มุ่งความสนใจไปที่เจ้าเด็กหนุ่มสองคนกับคนอื่นๆผมจึงเคลื่อนตัวได้ง่าย

               

    ผมย่องจนเกือบจะออกมานอกหลังคาโรงรถ แต่โชคดีคงไม่มีไว้สำหรับคนอย่างผมอยู่ๆซอมบี้ในชุดช่างซ่อมรถของอู่ มันยืนดักหน้าทั้งยังจ้องเขม็งมาที่ผม ก่อนหน้าผมไม่ยักจะเห็นพนักงานซักคนในนี้เลยไหงอยู่ๆ มันถึงโผล่มาได้

               

    มันวิ่งพรวดเข้าใส่ ผมถีบรถเข็นคันเล็กที่ไว้ใส่อุปกรณ์เข้าสกัดก่อนวิ่งเข้าหวดมันด้วยชะแลงในมือ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ซอมบี้ตัวอื่นเห็นผม

     

    “เฮ้ ! เจ้าหนุ่มตรงนั้นน่ะรีบวิ่งเร็วเข้า เดี๋ยวก็ถูกพวกมันจับกินหรอก” เสียงชายวัยกลางคนดังขึ้นคงเป็นกลุ่มที่กำลังหารถอยู่ แต่ผมไม่มีเวลาหาเจ้าของเสียงในตอนนี้หรอก

                “แล้วใครทำให้ต้องมาวิ่งแบบนี้ล่ะวะ” ผมพึมพำ วิ่งกลับเข้ามาข้างในอีกครั้ง เห็นเจ้าหนุ่มสองคนนั้นขึ้นไปบนรถที่กำลังซ่อมอยู่พลางกวัดแกว่งไม้เบสบอล ไปมาไม่ให้พวกซอมบี้ขึ้นรถได้

    “นายมาจากไหนน่ะ !”  เจ้าหนุ่มรูปร่างสูงตะโกนถาม

    “ฉันต่างหากต้องถามว่านายมาจากไหน”ผมตะโกนตอบ วิ่งขึ้นไปบนกระโปรงรถคันเดียวกันกับเจ้าสองคนนี่

    “ขอบใจนะที่ลากพวกมันมาน่ะ”   เด็กหนุ่มอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงประชด 

    “พวกนายจะไปไหน?”  ผมถามต่อ ไม่สนใจไอ้หนุ่มนั่นผมและทั้งสองคนนี่ต้องเบียดกันเพราะมันเป็นรถคันเล็ก

    “ฉันสองคนจะเข้าเคลโอส่วนใน แต่เจ้าพวกนั้นมันคิดจะออกจากเมือง” หนุ่มร่างสูงตอบ  “แล้วนายล่ะ?”  เขาย้อนถาม

    “ฉันก็จะเข้าส่วนในเหมือนกันแต่เราอยู่อย่างนี้ไม่ได้หรอกนะ ต้องรีบหารถ ไม่งั้นพวกมันแห่กันมามากกว่านี้แน่”  ผมพูดพร้อมใช้เท้าถีบซอมบี้ล้มลงไปนอนกับพื้นก่อนกระโดดลงไป  พร้อมกับออกวิ่งไปยังลานโล่งที่เต็มไปด้วยรถข้างหน้าผมหันหลังกลับมาตะโกนว่า “เร็วเข้า !” 

    “หมอนั่นแน่จริงแฮะ” เจ้าหนุ่มอีกคนพูด 

    “รีบตามไปเหอะน่า”  หนุ่มร่างสูงกระโดดลงไป หวดไม้เป็นวงกว้างเพื่อสลัดซอมบี้ให้กระเด็นไปข้างหลังก่อนออกวิ่ง 

               

    ผมวิ่งออกมาพอดีเห็นรถซีดานคันหนึ่งสภาพไม่เก่ามาก  แล่นออกมาตามทางระหว่างรถที่จอดเรียงรายก่อนจะขับพุ่งชนซอมบี้ที่ขวางหน้ารถเพื่อออกไปข้างนอก ไม่สนใจผมด้วยซ้ำ

    แฮ่ !  ผมมัวแต่มองรถคันที่ว่า เลยไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวซอมบี้ตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาจับผมจากข้างหลัง ผมรีบหมุนตัวและทุ่มมันลงกับพื้น แต่มันไม่ได้มาตัวเดียว ผมใช้ชะแลงฟาดเข้าที่ช่วงเอวของอีกตัวที่วิ่งเข้ามาเต็มแรงแต่มันยังนิ่ง ผมวิ่งเข้าไปใส่อีกชุด แต่ขาก็โดนเจ้าตักแรกฉุดล้มลงกับพื้นผมหันหน้ากลับมา ใช้ขาอีกข้างถีบมันอย่างแรงเพื่อให้มันปล่อยมือจากขาผม 

               

    พวกซอมบี้เริ่มมาทางนี้แล้ว ผมใส่แรงเต็มที่อีกครั้งถีบจนมันปล่อยผมยันตัวลุกขึ้น ฟาดเข้าที่ขาอีกตัวล้มลง ก่อนซ้ำเข้าที่หัว เลือดสดๆไหลนองไปทั่วพื้น ผมหันกลับมาฟาดเข้าอีกตัว เพิ่มแอ่งเลือกอีกแอ่ง  

     

    ปริ๊นนน ๆ !  รถซีดานอีกคันบีบแตรให้หลีกขณะวิ่งออกมาทางเดียวกับคันเมื่อครู่ เจ้าหนุ่มสองคนนั้นวิ่งเข้ามาหาผมที่ยืนอยู่บนที่โล่ง  

    “พวกนั้นไปกันหมดแล้วนะแมตท์” เจ้าหนุ่มสุขภาพดีพูดขึ้น

    “ฉันเห็นเรฟ”  แมตท์ตอบ

    “เราต้องรีบหารถ”  ผมพูด ซอมบี้รอบตัวเริ่มน้อยลง ทั่วทั้งพื้นที่ในอู่เต็มไปด้วยซากศพมากมาย   นี่พวกมันอ่อนแอหรือพวกเราโหดร้ายกันเกินไปผมก็ไม่สามารถรู้ได้

     

    “ เฮ้ ! . . . ”    รถซีดานคันหลัง หยุดจอดห่างจากผมไปไม่ถึงสองเมตรเสียงผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนออกมาพร้อมกับกระจกที่ค่อยๆ เลื่อนลง 

    “เอานี่ไป !”  เธอโยนกระเป๋าใบหนึ่งออกมาจากหน้าต่างรถผมรับไว้ได้ทัน แต่ยังไม่ทันจะได้ขอบคุณ กระจกก็เลื่อนขึ้นซะแล้ว อีกทั้งเธอยังสวมฮู้ดคุมหน้าไว้อีก  

    “อ้อ ! กุญแจรถน่ะ ลองหาตรงที่บังแดดเหนือคนขับดู” 

    “เดี๋ยวสิ ! เฮ้ . . .”  ผมเรียกแต่รถเธอก็แล่นออกไปซะแล้ว 

     

    “งั้นเราก็รีบไปกันเถอะ  ดูท่ารถที่ใช้งานได้จะอยู่ในๆนะ”  แมตท์ว่า ตบบ่าผมที่ยังยืนนิ่งก่อนวิ่งนำไปพร้อมกับเรฟ

    “ไม่ไปรึไง เร็วเข้า”  เรฟหันมาตะโกนเรียกเมื่อเห็นผมยังยืนนิ่ง

    “ไปสิ ไป”  ผมตอบวิ่งตามทั้งสองไป

     

    ..........

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in