..........
ตอนที่ 2 : เพื่อนใหม่
“เรียกฉันว่าบิล” เขาพูด เดินนำผมเข้าไปข้างใน อาคารหลังนี้ไม่ใหญ่มากนักตรงกลางชั้นหนึ่งมีบันไดไม้ค่อนข้างเก่าวนขึ้นไปจนถึงชั้นสี่ ใกล้ๆหน้าประตูทางเข้าที่ถูกปิดตายอย่างแน่นหนามีเคาน์เตอร์บริการตั้งวางอยู่ ดูแล้วชั้นล่างหน้าจะมีแค่ห้องนั่งเล่นรวมเข้าไปข้างในผ่านบันไดด้านหลังไปเป็นห้องครัวขนาดกลาง
“เราปิดแทบทุกรูที่ไอ้ควันบ้านั่นมันจะเข้ามาได้น่ะ” บิลกล่าวคงเห็นผมมองนั่นนี่แล้วก็แหงนหน้ามองขึ้นไปข้างบนเพราะทั้งตึกนี่แทบจะไม่มีแสงอื่นเข้าเลยนอกจากแสงสีส้มของโคมไฟที่อยู่ตามมุมต่างๆแล้วก็ตามแต่ล่ะชั้น
“ลุงบิลกลับมาแล้ว!”เสียงเด็กผู้หญิงตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ ผมแหงนหน้าขึ้นไปตามเสียงเห็นโครงหน้าเล็กๆของเด็กหญิงคนหนึ่ง ยืนเกาะราวไม้กั้นมองลงมาข้างล่าง
วินาทีต่อจากนั้นก็เกิดเสียงฝีเท้ากระทบกับขั้นบันไดไม้ดัง ตึก ตึก ! เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยกำลังวิ่งลงมาข้างล่างแต่ฟังจากเสียงแล้วผมก็รู้ได้ว่าไม่ได้มีแค่คนเดียวแน่ๆ ก่อนเสียงผู้หญิงคนหนึ่งจะตะโกนปรามให้พวกเด็กๆระวังและอย่าส่งเสียงดัง ผมหันไปหาบิลที่เอาแต่ยืนยิ้มอยู่ตรงขั้นบันได ไม่นานนักผมก็เห็นเจ้าของเสียง
เด็กหญิงและเด็กชายคู่หนึ่งวิ่งมาและโผเข้ากอดบิลเต็มแรงจนเขาเอนไปด้านหลังจากการสังเกตอายุของเด็กทั้งสองน่าจะราวๆ หกถึงเจ็ดขวบ
“แซลลี่ นี่เจค” บิลแนะนำผมให้ผู้หญิงที่ตะโกนปรามเด็กทั้งสองรู้จัก
“หวัดดีครับ” ผมกล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มแซลลี่น่าจะสามสิบปลายๆ หน้าตาใจดีไว้ผมสีทองประบ่าเหมือนกับเด็กหญิงในชุดเดรสสีชมพูที่มีคราบดินเปรอะอยู่บนชุดบางจุดเด็กน้อยสองคนนี้ก็คงผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกันแซลลี่แต่งชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสแลคเหมือนมนุษย์เงินเดือนทั่วไปและจากสภาพชุดเธอก็คงฝ่าอะไรมาเยอะเหมือนกัน
“ส่วนเจ้าสองตัวป่วนนี่เอมี่แล้วก็แมกส์” บิลแนะนำเด็กน้อยหน้าตาน่ารักผมสั้นสีทองของเธอดูเป็นเด็กที่ซุกซนมากกว่าเรียบร้อย ส่วนแม็กส์ดูจะโตกว่าหน่อยหน้าตาเป็นคนจริงจัง ผมสีดำเข้มในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีกรมกับกางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบ
“และนั่นวอลเทอร์” บิลมองขึ้นไปยังหัวบันไดปรากฏเด็กหนุ่มรุ่นเดียวกับผมกำลังเดินลงมา ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนหน้าตาสะอาดเกลี้ยงเกลา สวมเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงยีนส์สีดำ “หวัดดี” เขากล่าวทักผมยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรบิลก็ชิงพูดให้ทุกคนไปรวมกันในห้องนั่งเล่นซะก่อนผมจึงได้แต่ยิ้มให้
บิลเดินนำพวกเราเข้าไปพร้อมกับเจ้าตัวป่วนสองคนทั้งหมดนั่งล้อมวงกันบนโซฟาหนังสีน้ำตาลทึบแลดูอยู่มานานนับสิบปีบนพื้นปูพรมสีเลือดหมู ตรงกลางเป็นพื้นที่โล่งด้านหน้าเป็นตู้วางของไม่สูงมากนัก เลื่อนขึ้นไปข้างบนเป็นทีวีจอแบนติดผนังผมสำรวจไปรอบๆ ห้องระหว่างที่แซลลี่เดินไปเปิดทีวี
“ขอให้ทุกท่านปิดประตูหน้าต่างให้แน่นหนาเพื่อป้องกันหมอกพิษและอย่าออกจากที่พักอาศัยของท่านโดยเด็ดขาดจนกว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติ”
นักข่าวหญิงภาคสนามกำลังบอกวิธีการเอาตัวรอดในสถานการณ์ฉุกเฉินตอนนี้ ระหว่างที่รอบตัวของเธอเต็มไปด้วยประชาชนที่แตกตื่นและพยายามวิ่งหนีกันอย่างสุดชีวิตข้างหลังไกลๆ บนท้องฟ้า ผมเห็นกลุ่มหมอกควันสีเขียวคุ้นตากำลังแผ่ขยายเข้ามาเรื่อยๆแต่ไม่ปรากฏวี่แววพวกซอมบี้สักตัว และดูเหมือนหมอกนั่นจะอยู่อีกไกลจากจุดที่เธออยู่ด้วย
“และคอยติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดจากวิทยุและโทรทัศน์ด้วยค่ะตอนนี้ดิฉันต้องขอตัวลาไปก่อน ขอให้ทุกท่านโชคดีค่ะ” และภาพบนจอก็ถูกตัดเป็นคลื่นซ่า
“พวกนั้นคงอยู่เคลโอส่วนใน” บิลพูดขึ้นเมื่อรายการถูกตัด
“งั้นข้างนอกก็คงไม่มีใครรอดแล้วสินะ” แซลลี่เอ่ยขึ้นขณะปิดทีวีห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้งถ้าไม่นับเสียงฮือแฮ่ของพวกมันที่ดังระงมราวกับต้องการจะตอบคำถามของเธอล่ะก็
“คนข้างนอกเขากลายเป็นผีดิบเหมือนในหนังหรอคะลุงบิล” เอมี่ถามด้วยความสงสัยตามประสาเด็ก
“ใช่จ้ะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ มีลุงอยู่ทั้งคนพวกเราจะต้องไม่เป็นอะไรจ้ะ”เขาตอบและโอบกอดเด็กสาวอย่างทะนุถนอม
“ไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้นจริงๆ” ผมพูด
“ก็ไม่มีใครอยากจะเชื่อกันทั้งนั้นน่ะแหละ” วอลเทอร์ตอบ
“เอาล่ะๆ แยกย้ายกันไปหาข้าวของที่พอจะเป็นประโยชน์กันดีกว่ายังเหลืออีกหลายส่วนที่ยังไม่ได้สำรวจ วอลเทอร์นายชั้นสอง เดี๋ยวฉันจะไปชั้นสามเองส่วนเจคเธอชั้นสี่แล้วกัน” บิลจัดแจงหน้าที่ให้เสร็จสรรพ
“งั้นเดี๋ยวฉันจะไปดูว่ามีอะไรพอเหลือทำเป็นมื้อเย็นได้บ้าง” แซลลี่ว่าก่อนทุกคนจะแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ที่ได้รับโดยเจ้าตัวน้อยสองคนนั่นก็ไปอยู่กับแซลลี่ที่ห้องครัว
ผมใช้เวลาไม่นานในการสำรวจแต่ละห้อง มันเป็นห้องพักเล็กๆมีเตียงสำหรับนอนคนเดียวอยู่กลางห้อง ข้างๆ เป็นโต๊ะเก้าอี้หนึ่งชุดหัวเตียงมีโต๊ะไม้ตัวเล็กพร้อมโคมไฟ ตรงข้ามเตียงนอนมีตู้เสื้อผ้าและโต๊ะกระจกตรงทางเข้าหน้าประตูเป็นห้องน้ำขนาดเล็กที่เน้นใช้งานซะมากกว่า
ผมเดินจนครบทุกห้อง เจอเสื้อผ้าที่พอจะใช้งานได้อยู่สามสี่ชุด ไฟแช็กหนังสือสวดมนต์ประจำห้องที่น่าจะเอามาเป็นเชื้อเพลิงได้เวลาไฟดับซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้าถ้าผมเดาไม่ผิดผมยัดทุกอย่างลงในกระเป๋าสะพายใบใหญ่สีดำทรงคล้ายๆ กระเป๋าที่โจรปล้นธนาคารชอบใช้
ผมเกือบจะเปิดประตูดาดฟ้าแล้ว ขณะเดินผ่านตอนกำลังลง ดีที่นึกขึ้นได้ว่าข้างนอกคงเต็มไปด้วยหมอกพิษดูท่าผมจะเป็นคนสุดท้ายที่ลงมาเพราะได้ยินเสียงคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่นรวมแล้ว
ผมวางเป้กองรวมกับข้าวของที่ทุกคนหามาได้ตรงกลางห้องนั่งเล่นและความจริงก็ปรากฏว่าส่วนใหญ่ข้าวของที่หากันมาได้ก็มักจะคล้ายๆ กัน
“ดูท่าจะมีแค่นี้สินะ” บิลพูดขึ้นเมื่อเห็นทั้งหมดที่ทุกคนหามาได้
“เอาไงต่อล่ะทีนี้” วอลเทอร์ถามขึ้น
“ก็คงต้องรอหมอกบ้านี่หายไปซะก่อนเราถึงจะออกข้างนอกได้” บิลตอบ “อย่างน้อยก็หวังว่าน้ำกับไฟจะอยู่กับเราไปจนกว่าเราจะออกข้างนอกได้แล้วกัน”
“มื้อเย็นได้แล้วจ้าทุกคน” เสียงแซลลี่ดังขึ้นพร้อมกลิ่นหอมฉุยของมื้อเย็นที่อยู่บนถาดอาหารในมือเธอแซลลี่เสิร์ฟมื้อเย็นที่เธอทำ ก็คือสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับเธอมองดูทุกคนกินอยู่สักพักก่อนเอ่ยถามว่า “รสชาติพอกินกันได้มั้ย?”
“อร่อยเลยล่ะครับ” ผมตอบขณะเคี้ยวเส้นสปาเก็ตตี้เต็มปากรู้สึกร่างกายอยากอาการสุดๆ
“อย่างน้อยเราก็หายห่วงเรื่องอาหารล่ะนะ” บิลกล่าวพลางหัวเราะ
“อย่าลืมผู้ช่วยสิครับ หน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วนั่น” วอลเทอร์พเยิดหน้าไปทางเจ้าตัวเล็กทั้งสอง
“ฮ่าๆ นั่นสินะ” บิลหันไปทางเอมี่และแมกส์ที่ทำท่าภูมิใจกับการเป็นผู้ช่วยเชฟในครั้งนี้
“แปลว่าเราต้องอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆสินะ” แซลลี่ถามขึ้นขณะใช้ส้อมหมุนเส้นสปาเก็ตตี้ในจาน
“ก็จนกว่าหมอกพวกนี้จะจางลงจนพวกเราออกไปข้างนอกได้นั่นแหละ” บิลตอบ
..........
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in