* แฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของไรเตอร์และแต่งขึ้นเพื่อความบังเทิง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และแฟนฟิคชั่นเรื่องนี้เป็นแฟนฟิคชั่น boy’s love…ถ้าใครไม่ชอบแนะนำให้ปิดค่ะ *
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
I know…the borderlines we drew between us
keep the weapons down, keep the wounded safe;
I know…our antebellum innocence
was never meant to see the light of our armistice.
…But how much would I give to have it back again?
How much did we lose…to live this way?
— Antebellum, by Vienna Teng
* * * * *
“ไว้พรุ่งนี้พวกผมจะมาใหม่นะครับ”
ชาร์ลส์ เซเวียร์ยิ้มอ่อนโยนและพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงรับรู้…นั่นจึงทำให้แฮงค์ อเล็กซ์ และฌอนพากันเดินออกไปจากห้อง ร่างสมส่วนทิ้งตัวลงพิงกองหมอนหนุนที่ถูกจัดให้ตั้งไว้ตรงหัวเตียงเมื่อเด็กหนุ่มทั้งสามลับตาไป ลมหายใจบางเบาถูกถอนออกมา นัยน์ตาสีน้ำเงินกวาดมองไปรอบตัวและได้เห็นเพียงภาพเดิมๆ ที่เจนตา…ห้องพักฟื้นในโรงพยาบาลที่เขาอยู่มาได้เกือบสองสัปดาห์แล้ว
หลังจากเหตุการณ์ที่ชายหาดวันนั้น…อีริคจากไปพร้อมกับเรเวน ส่วนชาร์ลส์ก็ไม่สามารถรู้สึกหรือขยับขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มรู้ก่อนที่จะได้ฟังคำวินิจฉัยเสียอีกว่าตนไม่อาจจะเดินได้อีกแล้ว…แต่ในสายตาของทุกคน เขายังคงเป็นศาสตราจารย์ผู้แสนเข้มแข็งและเป็นที่พึ่งได้เสมอดังเดิมด้วยความที่เจ้าตัวดูจะยังไม่เสียกำลังใจที่มีเลยสักนิด
อย่างน้อย…นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการให้ทุกคนคิดเช่นนั้น
รอยยิ้มบนริมฝีปากจางหายไป รู้ตัวดีว่ากำลังใช้พลังของตัวเองในเรื่องที่ผิด…เขาสะกดให้เด็กหนุ่มทั้งสามคิดว่าเรื่องทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไปไม่ใช่เรื่องหนักหนา ชาร์ลส์รู้ดีว่าตัวเองกำลังป้อนเรื่องโกหกให้เด็กๆ เชื่อ…หากตอนนี้ การจะบอกให้ทั้งสามรู้ว่าเขาไม่มีแผนการรับมือใดๆ กับอีริคเป็นสิ่งที่มีแต่จะทำให้ขวัญกำลังใจของทุกคนเสียศูนย์เท่านั้น
วงหน้าอ่อนโยนก้มลงมองขาของตนที่ถูกคลุมไว้ใต้ผ้าห่ม มือบางแตะลงเบาๆ เหนือผ้าสีขาว…ก่อนจะทวีแรงกดมากขึ้นแม้จะรู้ว่าไร้ประโยชน์ ชาร์ลส์เม้มริมฝีปากที่สั่นระริกจนเจ็บเมื่อรับรู้ถึงความจริงที่โถมทับครั้งไม่ถ้วนหากก็ยังทำใจเชื่อไม่ได้สักที
ขาของเขา…ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว
ในวันนั้น เขาสูญเสียสิ่งสำคัญทุกอย่างไปจนสิ้น ไม่ว่าจะเป็นขาทั้งสองข้าง…น้องสาวที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก…และคนที่เป็นดั่งตัวตนอีกครึ่งหนึ่งของเขา ความว่างเปล่าที่ต้องเผชิญนั้นหนักหนาเสียจนทำให้เขานึกอยากหายไปเสีย…เพราะตนไม่มีเรี่ยวแรงใดๆ ที่จะดิ้นรนอีกแล้ว
อีริค…
ดวงตาสีแซฟไฟร์หลับลงอย่างรวดร้าวเมื่อคิดถึงเจ้าของชื่อ ชาร์ลส์ไม่เคยคาดคิดถึงการสร้างสังคมที่มิวแทนต์จะอยู่ได้อย่างภาคภูมิใจและสงบสุขโดยไม่มีอีริคอยู่เคียงข้าง…ตอนนี้ทุกสิ่งจึงดูเหมือนกับเม็ดทรายที่ร่วงรินออกจากฝ่ามือโดยที่เขาไม่อาจคว้ามันไว้ได้
อีริคจากไปพร้อมกับทุกสิ่งทุกอย่าง…ทิ้งเขาไว้กับความรู้สึกที่แตกสลาย
การจะกล่าวว่าอีริคและเขาเติมเต็มจุดด้อยของกันและกันไม่ใช่คำพูดเกินจริง…ถึงอีริคจะมีเป้าหมายที่ชัดเจน แต่แผนของเจ้าตัวมักจะเสี่ยงอันตรายและไม่เลือกวิธีการเสมอ ส่วนชาร์ลส์นั้นถึงจะไม่ค่อยเก่งเรื่องการคิดวางแผนการรุกใดๆ สักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นคนที่คอยดึงให้ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างสงบราบรื่นมากที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้
ชาร์ลส์รู้ตัวดีว่าเขาไม่ได้มีจิตใจที่แข็งแกร่งเหมือนอีริค…อีริครู้เสมอว่าตัวเองต้องการอะไรและมีเป้าหมายที่แน่วแน่ เจ้าตัวจึงสามารถวางแผนในการจะทำให้สิ่งที่ตนต้องการเป็นจริงได้ง่ายดายและรวดเร็วราวกับเป็นความสามารถตามธรรมชาติ…สิ่งที่ชาร์ลส์ไม่มีและนึกอยากให้ตัวเองทำได้บ้างเหลือเกิน
เพราะตอนนี้…อีริคไม่ได้อยู่เคียงข้างเขาอีกแล้ว
อีกไม่นาน เวลาของการเผชิญหน้าจะต้องมาถึง…ความนิ่งเฉยระหว่างทั้งสองฝ่ายตอนนี้ก็เป็นแค่ความสงบก่อนพายุจะมา ชาร์ลส์รู้ว่าเขาควรใช้ช่วงเวลานี้คิดการรับมือกับสงครามที่เลี่ยงไม่ได้…หากตอนนี้ เขากลับไม่สามารถแม้แต่จะคิดว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะดิ้นรนไปเพื่ออะไร
ชายหนุ่มผมดำค่อยๆ ขยับกายลงนอน…ร่างสมส่วนซุกใต้ผ้าห่มราวกับจะใช้มันเป็นเครื่องกำบังความจริงที่กำลังกัดกร่อนจิตใจของตน
* * * * *
แสงแดดจัดจ้าจนเขาแทบไม่เห็นอะไรนอกจากสีขาว
ชาร์ลส์มองไปรอบตัว…เขายืนอยู่ตามลำพังบนชายหาดกว้าง ผืนทรายทอดตัวออกไปยาวเหยียดจนสุดสายตาทั้งข้างซ้ายและขวา ชายหนุ่มหันกลับมามองไปด้านหน้า…น้ำทะเลอยู่ห่างออกไปเพียงแค่ก้าวเดียว เขานึกประหลาดใจกับสีของน้ำ…แทนที่มันจะใสจนเห็นพื้นทรายตามความตื้น น้ำทะเลตรงหน้ากับเป็นสีน้ำเงินเข้มจนแทบเป็นดำเหมือนกับทะเลลึกตอนกลางคืน
เขาเคยเห็นน้ำทะเลเป็นสีแบบนี้มาก่อน
ขาเรียวก้าวออกไป ก่อนที่จะพบว่าทั้งร่างดิ่งวูบลงมาในน้ำ…ความเย็นกรีดผิวจนแสบชา แต่ในวินาทีนั้น ชาร์ลส์ก็จำได้ว่าเขาต้องทำอะไร
ต้องหาให้เจอ…ต้องช่วยอีริค…
ชาร์ลส์ป่ายแขนออกไปรอบตัว พยายามมองฝ่าน้ำทะเลที่ทำให้แสบตาออกไปอย่างสุดความสามารถ…แต่ก็ไม่พบ ชายหนุ่มดำลึกลงไปอย่างสิ้นหวัง ก่อนจะต้องยอมแพ้เมื่ออากาศในปอดหมดลง
ร่างสมส่วนโผขึ้นสู่ผิวน้ำ ความหนาวเย็นหายวับไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน…เช่นเดียวกับน้ำทะเลสีเข้มที่แสนลึก ชาร์ลส์ค่อยๆ ก้าวขึ้นมาจากน้ำแล้วทิ้งตัวลงนอนหงายบนพื้นทราย ดวงตาสีน้ำเงินกระพริบหรี่เมื่อประทะกับแสงอาทิตย์ที่จัดจ้า ในใจยังคงปั่นป่วนไปด้วยความสับสนไม่เข้าใจ
ทำไมถึงหาไม่เจอ…อีริคหายไปไหน…?
ความร้อนเริ่มแผดเผา…ผืนทรายใต้ร่างของเขาก็ทำให้รู้สึกแสบ ชาร์ลส์หอบหายใจ…เขาต้องกลับไป อีริคยังคงอยู่ในน้ำที่หนาวเย็นและมืดมิดนั่น
ชายหนุ่มพยายามหยัดยืนขึ้น แต่ก็พบว่าตัวเองทำไม่ได้…ร่างของเขากลายเป็นเหมือนตุ๊กตาผ้าหนักๆ ที่ขยับไม่ได้ดังใจ ชาร์ลส์พยายามอีกครั้งก่อนจะเสียการทรงตัว…ผืนทรายที่หลังของเขากระแทกใส่สากระคายจนรู้สึกแสบกว่าเก่า
ร่างสมส่วนนอนนิ่งอย่างงุนงง…ขาของเขาขยับไม่ได้
ไม่…เป็นแบบนี้ไม่ได้…เขาต้องลุกขึ้น…เขาต้องตามหาอีริค…
ชาร์ลส์พยายามฝืนตัวเพื่อลุกขึ้นแต่ก็ไม่มีประโยชน์ นัยน์ตาสีน้ำเงินจึงเหม่อมองไปยังภาพท้องฟ้าเบื้องหน้า เริ่มนึกออกว่าทำไมหาดทรายนี้จึงคุ้นตานัก…ว่าทำไมเขาจึงขยับขาไม่ได้ดังใจนึก…ว่าทำไมเขาจึงไม่พบใครในทะเลสีดำ
เขาไม่มีทางจะหาอีริคเจอ
วินาทีนั้นเองที่ความจริงกระหน่ำใส่จนรู้สึกเจ็บร้าว
อีริคไปจากเขาแล้ว…เขาไม่มีทางจะหาอีริคเจอ
* * * * *
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง…ก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว
ชาร์ลส์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น…เขาไม่เคยหลับสนิทได้ตลอดคืนสักครั้งตั้งแต่วันที่อีริคจากไป ฝันร้ายนี้เล่นซ้ำไปซ้ำมาและปลุกให้เขาตื่นกลางดึกเสมอ ชายหนุ่มพยายามข่มตาให้หลับอีกครั้ง แต่ก็ชะงักเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาที่เกลี่ยปอยผมของเขาให้พ้นจากหน้าผาก…มีใครบางคนอยู่ข้างๆ เขา
พลังถูกใช้ทันทีตามสัญชาตญาณ…ก่อนที่ความตระหนกจะเพิ่มขึ้นเมื่อพบว่าตนไม่สามารถอ่านใจผู้มาเยือนปริศนาคนนี้ได้ ความมืดของห้องทำให้เขามองไม่เห็นอะไรเท่าไหร่นัก ชาร์ลส์จึงตัดสินใจเอ่ยถามออกไป…พยายามอย่างยิ่งที่จะบังคับเสียงให้ไม่สั่น
“นั่นใครน่ะ?”
แม้จะอยู่ในความมืด ชาร์ลส์ก็บอกได้ว่าอีกฝ่ายชะงักไปชั่วครู่…เจ้าตัวคงไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะตื่นขึ้นมา ความเงียบทิ้งตัวชั่วอึดใจก่อนที่ผู้มาเยือนปริศนาจะเอ่ยตอบ…หากมันก็ไม่จำเป็นแล้ว กลุ่มเมฆที่บดบังแสงจันทร์เคลื่อนตัวออกไป เผยให้ชาร์ลส์เห็นหน้าของผู้มาเยือนเต็มตา
“ฉันเอง”
อีริค เลนเชอร์นั่งหมิ่นๆ อยู่บนเตียง…ชายหนุ่มไม่ได้สวมหมวกเหล็กเพื่อปิดกั้นความคิดอย่างที่ควร นัยน์ตาสีเทาจ้องมองนิ่งๆ ตามนิสัย สีหน้าเรียบสงบราวกับว่าตัวเองไม่เคยประกาศตนเป็นฝ่ายตรงข้ามกับคนเบื้องหน้ามาก่อน
ชาร์ลส์ยันตัวขึ้นนั่ง คำพูดเดียวที่แล่นพล่านในหัวหลุดออกจากปากด้วยเสียงแผ่วระโหย
“ทำไม…?”
“เอ็มม่าวางสนามพลังไว้ให้นายอ่านใจฉันไม่ได้” อีริคพูดเสียงเรียบ “ฉันไม่ได้คิดจะอยู่นาน…แค่จะแวะมาแล้วก็ไป โทษทีละกันที่ทำให้นายตื่น”
ร่างสูงขยับจะลุกขึ้น หากชาร์ลส์รีบผวาไปคว้าท่อนแขนแข็งแรงนั้นไว้ เสียงนุ่มพูดรวดเร็ว…เว้าวอนราวกับเด็กน้อยที่เสียขวัญ
“อย่าไปนะ…ได้โปรด อีริค…อย่าเพิ่งไป…”
อีริคยอมยั้งฝีเท้าไว้ แต่ดวงตาสีเทาก็จ้องมองเขาอย่างระอาใจ…สายตาที่เจ้าตัวมักจะใช้มองเขาเสมอเวลาที่เขาทำอะไรไร้สติ ปกติชาร์ลส์จะมีเหตุผลในการกระทำของเขาเสมอ…และแม้แต่ตัวเขาเองก็บอกได้ว่ามันเป็นเรื่องโง่เง่าแค่ไหนที่เรียกรั้งให้ศัตรูของตนไม่จากไปทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีทางป้องกันตัวเลย
หากแต่ตอนนี้…เขาไม่อาจทนกับความรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียอีริคไปซ้ำซ้อนกันทั้งในความฝันและความจริงแบบนี้ได้เสียจนไม่สนใจอีกต่อไปว่าการกระทำของตนจะไร้ความคิดแค่ไหนอีกแล้ว
ชายหนุ่มผมน้ำตาลค่อยๆ ปลดมือที่เกาะกุมแขนของตนไว้…รับรู้ถึงความสั่นระริกของมัน ก่อนจะก้าวขึ้นไปนอนเคียงร่างบนเตียง…ท่อนแขนโอบรอบไหล่บางและลูบเรือนผมสีดำเป็นจังหวะเบาๆ ราวกับจะปลอบประโลม
ชาร์ลส์หลับตาลง ซึบซาบสัมผัสที่ทำให้ใจอุ่นวาบนั้น ร่างสมส่วนค่อยๆ เอนเข้าหาแผ่นอกแกร่ง…ถึงตอนนี้พวกเขาจะได้ชื่อว่าเป็นศัตรูกันแล้ว แต่ก็มีแค่ในอ้อมแขนของอีริคเท่านั้นที่ชายหนุ่มรู้สึกปลอดภัย
ความเงียบโรยตัว…มีเพียงเสียงลมหายใจที่กั้นกลาง ก่อนที่ชาร์ลส์จะตัดสินใจถามเสียงแผ่ว
“เรเวน…สบายดีใช่มั้ย?”
“มิสทีค…นายต้องเรียกเขาว่ามิสทีคแล้ว” เสียงทุ้มแก้ให้ “และใช่…เขาสบายดี”
“ดีจัง…ฉันดีใจที่เขาสบายดี” ชาร์ลส์ยิ้มบางเบา…หากก็ซ่อนความเจ็บปวดจางๆ ในน้ำเสียงไม่ได้ “ฉันคิดถึงเขามาก…มากจริงๆ”
“มิสทีคเองก็คิดถึงนาย” อีริคพูดเสียงเรียบ ละที่จะกล่าวประโยคหลัง
…เหมือนกับฉัน
อีกครั้งที่เวลาผ่านไปชั่วครู่ในความเงียบ…ก่อนที่ชายหนุ่มผมดำจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาเช่นเดิม
“นายเอง…ก็สบายดีสินะ อีริค?”
ร่างสูงไม่รู้ว่าคำถามนี้มีความหมายอื่นใดอะไรซ่อนอยู่หรือไม่…หากก็ไม่เคยคิดระแวงอะไรกับคนในอ้อมแขนอยู่แล้ว เสียงทุ้มตอบกลับไปสั้นๆ
“อืม…ฉันสบายดี”
เสียงลมหายใจถูกผ่อนออกดังแผ่ว ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบเสียงสงบอ่อนโยน “ฉันดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นนะ…อีริค”
คำถามสองคำถามนี้อาจเป็นสิ่งที่ชาร์ลส์อยากรู้มากที่สุดแล้ว…ชายหนุ่มจึงไม่ได้กล่าวอะไรขึ้นมาอีก อีริคนิ่งมองร่างในอ้อมกอดชั่วครู่ ก่อนจะถามขึ้นบ้าง
“แล้วนายล่ะชาร์ลส์…” ชื่อที่เพิ่งได้เปล่งออกจากปากชวนให้รู้สึกปวดใจนัก…ราวกับว่าเขาไม่ได้เอ่ยคำคำนี้มานานแสนนานแล้ว “นายเป็นไงบ้าง?”
“ช่วงนี้ฉันฝันร้ายนิดหน่อย…” เสียงนุ่มพยายามบังคับให้ฟังดูสบายๆ…นึกหวังให้อีริคเชื่อคำโกหกของเขา แม้ว่าจะรู้ดีว่าไม่มีทาง “แต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรนักหรอก”
แม้จะในความมืดสลัว ชาร์ลส์ก็รับรู้ได้ถึงดวงตาสีเทาคมกริบที่จ้องตรงมา
“ชาร์ลส์…”
เสียงทุ้มเอ่ยเพียงแค่ชื่อเขา…แต่คนฟังก็รับรู้ถึงความคาดคั้นในน้ำเสียง เขาถอนหายใจเบาๆ…อีริคมองออกเสมอว่าเมื่อใดที่เขาพยายามปกปิดความจริง
“ฉันฝันร้าย…” เสียงนุ่มเริ่มต้นอย่างแผ่วค่อย “ในฝัน…ฉันตามหานาย แต่ยังไงก็ไม่เจอ…แล้วฉันก็เดินไม่ได้…ฉันตามหานายต่อไม่ได้…”
เมื่อได้เริ่มพูด…ทุกสิ่งที่เพียรเก็บกลั้นไว้ในใจค่อยๆ พากันพร่างพรูออกมาราวกับเด็กน้อยที่ระบายความกลัวในใจให้ใครสักคนฟัง ร่างสมส่วนสั่นระริกในอ้อมกอดอบอุ่นที่โอบรอบตัวเขา…นิ้วเรียวยึดจับอีกฝ่ายไว้ราวกับกลัวว่าอ้อมแขนนี้จะหายไปหากไม่ยึดเหนี่ยวเอาไว้
“ฉันหานายไม่เจอ…” ตอนนี้…เสียงที่สั่นระริกเริ่มเจือสะอื้นแล้ว “…แล้วสุดท้ายฉันก็นึกออกว่าฉันไม่มีทางจะหานายเจอ…เพราะนายไปจากฉันแล้ว…”
ชาร์ลส์พยายามเก็บกลั้นความจริงที่ว่าจิตใจของเขากำลังพังทลายไว้มาตลอด…เพราะเขาต้องยืนหยัดในฐานะผู้นำให้กับเด็กหนุ่มทั้งสาม หากในวินาทีนี้ เมื่อเขาอยู่ในอ้อมแขนของอีริค…คนคนเดียวที่เป็นดั่งที่พึ่งพิงของเขา ชาร์ลส์ก็โยนทุกการปกปิดทิ้งไป น้ำตาเอ่อรื้นในตาเมื่อเอ่ยคำพูดที่ตอกย้ำความจริง
“…ฉันไม่มีทางหานายเจออีกแล้ว”
ชายหนุ่มผมดำตกใจเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ อ้อมแขนที่โอบเขาไว้หลวมๆ นั้นรั้งเขาเข้าไปกอดไว้แน่น…สัมผัสที่ทำให้น้ำตาที่พยายามจะกลั้นไว้ไหลรินออกมา ความรู้สึกแท้จริงที่เพียรเก็บซ่อนไว้ถูกเอ่ยด้วยเสียงสะอื้นแผ่วระโหย
“ฉันกลัว…อีริค”
น้ำตาร่วงริน…เขาพยายามฝืนมาตลอดที่จะไม่ให้ตัวเองรู้สึกหวาดหวั่น แม้การสูญเสียที่เกิดขึ้นนั้นจะใหญ่หลวงเพียงใด…แต่ชาร์ลส์ก็รู้ดีว่าเขายังคงต้องทำให้เด็กๆ ที่เหลืออยู่สบายใจได้ ความกลัวทั้งหมดจึงถูกซ่อนไว้ใต้รอยยิ้มอ่อนโยน
หากตอนนี้…ทุกสิ่งพังทลายลงในความอบอุ่นของอ้อมกอด
“ฉันกลัว…อีริค ทุกอย่างมันมากเกินไป…ฉันทำไม่ได้…” ความรู้สึกที่แท้จริงถูกกล่าวออกมาทั้งหมด “ฉันไม่เหมือนนาย อีริค…ฉันไม่รู้อีกแล้วว่าควรจะทำยังไงต่อไป”
แว่วเสียงทุ้มกระซิบบางอย่างเป็นการปลอบประโลม…นั่นจึงทำให้ชาร์ลส์พยายามสงบอารมณ์ของตัวเอง เสียงสะอื้นถูกข่มไว้อย่างยากลำบาก
อีริคเม้มริมฝีปากแเน่น…เขาไม่เคยเห็นคนที่ควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้เสมออย่างชาร์ลส์เป็นแบบนี้มาก่อน…เจ้าตัวดูเปราะบางราวกับจะแตกสลายลงเมื่อไหร่ก็ได้ และมันทำให้ใจของเขาเจ็บหนึบ…เพราะตนก็รู้สึกไม่ต่างกัน
ถึงเขาจะเป็นฝ่ายไปจากชาร์ลส์…แต่ความรู้สึกสูญเสียนั้นก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย
“แต่ยังไงนายก็เลือกแล้ว…” อีริคพยายามฝืนให้ตัวเองกล่าวคำพูดที่รู้ดีว่าเชือดเฉือนใจคนฟังเพียงใด “…และนายไม่ได้เลือกฉัน ชาร์ลส์”
เสียงสะอื้นเบาๆ นั้นทำให้คนพูดนึกอยากบอกออกไปว่าทุกสิ่งยังไม่สายเกินไป…เวลาสามารถย้อนคืนได้…และพวกเขาไม่จำเป็นต้องเลือกเส้นทางที่ขนานกันแบบนี้ หากก็รู้อยู่แก่ใจดีว่ามันเป็นเพียงคำโกหกแสนงดงามที่ใจอยากจะเชื่อเท่านั้นเอง
“โลกที่ฉันอยากจะสร้างไม่ต้องการนาย อีริค…แต่ไม่ใช่ตัวฉัน” เสียงนุ่มพูดแผ่วระโหย มือบางเอื้อมขึ้นแตะวงหน้าคมคายเบาๆ…ความเจ็บปวดทำให้ดวงตาสีแซฟไฟร์นั้นดูเหมือนดวงดาวที่หม่นแสง “…ฉันต้องการนาย”
ประโยคที่ได้ฟังทำให้ใจยิ่งเจ็บปวด…เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดต่างกันเลยสักนิด ชาร์ลส์เป็นคนคนเดียวที่เขาต้องการให้อยู่เคียงข้าง…หากสุดท้ายก็เป็นตัวพวกเขาเองที่เลือกจะขีดเส้นแบ่งแยกกันและกัน
“นายไม่มีทางจะรู้ได้หรอก…” อีริคพูด ความร้าวลึกชัดเจนในน้ำเสียง “…ว่าฉันจะยอมแลกอะไรบ้าง…เพียงเพื่อให้ได้นายกลับมา…”
ถ้อยคำละลายหายไปในอากาศ…หากสลักลึกลงในใจคนฟัง
“นายเป็นคนเข้มแข็ง ชาร์ลส์…แม้ว่านายอาจจะไม่รู้ตัวก็ตาม” เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ ราวกับเป็นเพลงกล่อม “นายทำได้…เชื่อฉันสิ และถ้านายยังไม่สบายใจ ฉันจะบอกอะไรให้อีกอย่าง…”
วงหน้าคมคายโน้มลง จุมพิตอุ่นประทับที่หน้าผากเกลี้ยงเกลา
“…ฉันเองก็รู้สึกไม่ต่างจากที่นายรู้สึกเลย”
ชาร์ลส์ยิ้มอ่อนแรงออกมา…อยากรั้งให้อีริคอยู่กับเขาแบบนี้ตลอดไป แต่ก็รู้ดีว่าสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นี้ไม่ได้เป็นอะไรอื่นนอกจากการพูดถึงสิ่งที่ตนไม่มีทางทำได้อีกแล้วให้กันและกันฟัง…ความลวงงดงามที่ใจของพวกเขาอยากจะเชื่อเหลือเกิน
…หากคนเราไม่อาจมีชีวิตอยู่ในภาพฝันที่ตัวเองต้องการได้
ความเป็นจริงที่เขาต้องยอมรับทำให้ชาร์ลส์ตัดสินใจเอ่ยทำลายความเงียบลง
“แล้ว…นายจะไปเมื่อไหร่เหรอ?”
อ้อมกอดอบอุ่นผละออกเมื่อร่างสูงขยับกายออกห่าง “ถ้านายอยากจะให้ฉันไป…”
ประโยคถูกขัดกลางคันเมื่อมือนุ่มเอื้อมมารั้งคนพูดเอาไว้
“ฉันรู้…ว่าตอนฉันตื่นมาอีกที นายก็คงไม่อยู่แล้ว” เสียงนุ่มพูดเว้าวอน “เพราะงั้น…อย่างน้อยจนกว่าฉันจะหลับ…ช่วยอยู่กับฉันได้ไหม?”
อย่างน้อย ก็ให้ฉันได้หลับไปพร้อมกับที่รู้ว่า…ฉันหานายเจอแล้ว
อีริคนิ่งไปช่วงครู่ ก่อนที่จะโอบแขนรอบตัวร่างสมส่วนที่สั่นระริกนั้นอีกครั้ง ชาร์ลส์ขยับเข้าชิดแผ่นอกแข็งแรงก่อนจะสูดลมหายใจลึกๆ…สัมผัสใกล้ชิดนี้ทำให้คนทั้งคู่พบว่าจิตใจที่เหนื่อยล้ามาตลอดจนตอนนี้ของตนสงบลงอย่างน่าประหลาด
ชายหนุ่มผมน้ำตาลมองวงหน้าของคนในอ้อมกอดนิ่งนานจนกระทั่งเสียงลมหายใจกลายเป็นจังหวะเนิบช้า แล้วจึงค่อยๆ เลื่อนแขนของตนออกจากร่างสมส่วน ดวงตาสีเทามองอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกระซิบเสียงแผ่วข้างหู…ถ้อยคำที่กรีดแทงใจของเขาเหลือเกินยามที่เปล่งมันออกมา
“ลาก่อน…ชาร์ลส์”
เพราะหลังจากนี้…เราจะไม่มีวันหากันและกันเจออีกแล้ว
Fin.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in