คนเกาหลีเป็นคนชอบเดิน ขนาดเรานั่งรอต่อเครื่องจากกัวลาลัมเปอร์ไปพูซานตอนตีสองยังมีคนเกาหลีเดินแกว่งแขนไปมาเหมือนอยู่สวนลุม คงด้วยความที่เมืองเขาเป็นเมืองที่สามารถเดินเท้าไปถึงแหล่งขนส่งมวลชน อยากไปไหนก็ได้ ถึงพรรคการเมืองไหนออกนโยบายรถคันแรกก็ไม่สนใจ การเดินไปมาให้ร่างกายตื่นตัวคงเป็นเรื่องที่พวกเขาทำจนชิน
สวนสาธารณะริมแม่น้ำฮัน เป็นพื้นที่สาธารณะที่เราชอบที่สุดในโซล ถ่ายเมื่อครั้งไปเที่ยวตอนปี 2015
คนเกาหลีเป็นคนชอบเดิน พื้นที่สาธารณะสำหรับการเดินออกกำลังกายจึงเยอะมาก ที่กรุงเทพเราอาจจะมีสวนลุมพินี โซลอาจจะมีฮันกังพาร์ค แต่พูซานที่มีภูมิประเทศเป็นเมืองท่า เป็นภูเขาติดทะเล พื้นที่สาธารณะไว้เดินออกกำลังกายจึงมีให้เลือกสรรทั้งเดินริมหาด เดินขึ้นเขา หรือเดินเลาะเขาริมทะเลอย่างที่
Moontan Road
คนไทยเป็นคนที่ไม่ค่อยได้เดิน โดยเฉพาะการเดินทางชัน ใครทัี่ชอบดูซีรี่ย์เกาหลีอาจจะสังเกตได้ว่าย่านที่อยู่อาศัยที่เกาหลีหลายที่จะเป็นเนินขึ้นลง มาอยู่เกาหลีเราอาจจะเขียนคิ้วตรง ตบคุชชั่นให้ดูเกาหลีได้ แต่กล้ามเนื้อมัดใหญ่บริเวณต้นขาที่ใช้ในการเดินขึ้นเนินไม่ได้เกาหลีไปกับเราด้วย ช่วงที่มาแรกๆแค่เดินออกจากอพาร์ทเม้นต์ไปขึ้นรถเมล์ก็ต้องแวะครึ่งเนินไปเกาะเสาไฟพักหอบแล้ว
เรื่องราวของเราในวันนี้จึงเรื่องของการไปเดินขึ้นเขาฮวังนยองซาน ( Hwangnyeongsan Mountain (황령산) ที่เขาว่ากันว่าเป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ตกดินพร้อมวิวเมืองพูซานที่สวย เราเลยจะไปเนียนเป็นคนเกาหลีวัยเกษียณที่เดินออกกำลังกาย ชมนก ชมไม้บนเขาหลังบ้านขำๆ (แต่เราไม่ขำ)กัน
วิธีไปตาม Guide Book : Metro Line 2 Namcheon Stn. (Exit4) - Transfert to Bus 38 - Get off at Cheonggu Apt. - 700m towards Hwangnyeongsan Mt.
วิธีไปจริงตามสัญชาตญาน : มาตามทางที่ไกด์บุ้กบอกเป๊ะๆ แต่ลง Cheonggu Apt.แล้วงงเลย เพราะมันเหมือนเป็นมุมถนนที่ไม่ไหนไม่ได้ ไม่มีป้ายบอกทาง หันขวาคืออพาร์ทเม้นต์ หันซ้ายคือทางที่รถเมล์วิ่งต่อ ก็เข้าใจว่าเราก็พึ่งไกด์บุ้คได้แค่ในระดับนึง แต่อย่างน้อย Google Map ก็ไม่ควรจะทิ้งเรารึเปล่าอ่ะ กด Google Map ก็ No Route Found ยืนงงๆหนาวๆเจ็ดองศาอยู่หน้าป้ายรถเมล์
สุดท้ายเราก็เลือกเดินตามทางที่รถเมล์วิ่งไป จนเจอป้ายรถเมล์อีกป้าย ที่ดูมีทิศทางไปมากกว่าป้ายที่แล้ว แล้วก็เหมือนเดิม สานสัมพันธ์กับคนท้องถิ่นอีกแล้ว "ชอกีโย ฮวังนยองซาน เม้าเทน ออดี้?" (ขอโทษนะคะ เขาฮวังนยองซานไปทางไหนคะ : ขอบอกอีกทีว่านี่ไม่ใช่ภาษาเกาหลีที่ถูกต้อง ใช้ถูไถเอาตัวรอดได้อย่างเดียว) เหยื่อของเราวันนี้เป็นผู้ชายวัยกลางคนใส่สูท ดูพูดอังกฤษได้ เขาตอบเรากลับมาว่า ฮวังนองซานก็ตรงนี้แหละ เราเลยจรดปลายนิ้วมือเข้าหากันเป็นรูปภูเขาอีกที "เม้าเท็น เมาเทนนน" เขาก็ "อ่า เมาเท็น Go Straight ยอกี้ๆ" พร้อมมือประกอบ (ตรงไปทางนี้ๆ)
เราก็เดินตามทางเขาบอกว่าจนสุดทาง ก็ไม่มีป้ายบอกทางอะไรเลย ขวาเป็นอพาร์ทเม้นต์ ซ้ายเป็นเนินเขาตามสภาพฤดูหนาวที่เป็นต้นตอไม้แห้งๆกับเศษใบไม้ตามพื้น ไร้ผู้คน ตอนนั้นไม่รู้จะเอายังไง ใช่ภูเขาที่เราจะมาไหม? ทำไมไม่มีป้ายบอกทางอะไรเลย ถ้าไปโผล่ในไกด์บุ้กได้ก็ควรจะมีป้ายบอกหน่อยไหม? ยืนลังเลอยู่หลายนาทีจนเห็นคนเดินอยู่บนเขา และที่ใดมีคน ที่นั่นมีชีวิต ไป!
เดินตามเขาไปก็ยังไม่มั่นใจนะว่ามาถูกที่รึเปล่า กด Google Map เปิด GPS ก็ไม่ได้แล้วจุดนั้น เขาอาจมาเดินเก็บเห็ด นี่อาจจะเป็นภูเขาลับแลชื่ออะไรก็ได้ จนได้มาเจอป้ายที่มีเขียนภาษาเกาหลีว่า 황령산 ก็อุ่นใจ เริ่มเจอคนบ้าง แต่ไม่มีใครดูเป็นนักท่องเที่ยวเลย ทุกคนดูเป็นเกาหลีดั้งเดิม อายุเฉลี่ย 40 ขึ้น แต่กล้ามเนื้อต้นขาแน่น มีเพียงเราที่เป็นเด็กวัยยี่สิบต้นๆที่เดินขึ้นแล้วเสียงหอบดังที่สุดในภูเขาลูกนี้ เราเหนื่อยหอบ ขณะที่คนแก่ที่นั่นเดินขึ้นเขากันหน้าตาเฉย
เราไม่รู้เลยว่าจุดเริ่มเดินที่เหมาะสมคือตรงไหน Route ของการเดินบนเขาลูกนี้มันเป็นยังไง แต่ก็เดินต่อไปเรื่อยๆ เนื่องจากเขามันมีทางแยกเยอะ ก็เลยจะเจอคนบ้าง ไม่เจอคนบ้าง เราก็เลือกเดินไปแยกต่างๆตามสัญชาตญานบอดๆของตัวเอง
อันนี้คืออพาร์ทเม้นที่เราเริ่มเดินมา
สิ่งที่ทำให้เราแปลกใจก็คือ การมีเครื่องออกกำลังกายบนภูเขา อะไรมันจะได้เหวี่ยงฮูลาฮูปพร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์กันขนาดนั้น เจอป้ายใหญ่ๆนึกว่าจะเป็นแผนที่บอกเส้นทางก็รีบเดินมาดู แต่เปล่าจ้า เป็นป้ายให้ข้อมูลวิธีการออกกำลังกาย รักษาสุขภาพ จืดเลย เดินงงต่อไป อย่างน้อยก็ยังมีร่องรอยของผู้คน
แต่แล้วเราก็เจอป้ายบอกทางจนได้ ถึงแม้จะเป็นภาษาเกาหลีล้วนก็ตามเถอะ ขอบคุณตัวเองหนึ่งร้อยครั้งสำหรับการเรียนภาษาเกาหลีเบื้องต้นมา ทำให้อ่านออก แต่ก็หักมุมด้วยการแปลไม่ออก
เจอป้ายแต่ก็แปลไม่ได้อยู่ดีว่าเราควรจะไปไหน แต่สัญชาตญาณก็บอกกับเราว่า ถ้าจะดูพระอาทิตย์ตกดิน ก็ต้องขึ้นไปข้างบน เราจึงเลือกเดินตรงไปข้างบน ซึ่งกริบมาก ยิ่งเดิน ยิ่งเงียบ ยิ่งเหนื่อย ทุกอย่างก้าวคือการก่นด่าตัวเอง "นี่ฉันเป็นบ้าหรอ" "ฉันมาทำอะไรที่นี่" "ถ้าพ่อรู้โดนด่าแน่" "ฉันต้องรอด" มองตรงไปก็ไร้วี่แววยอดเขา ขอพักหายใจเซลฟี่หนึ่งช็อต ถ้าฉันหายไปอาจจะมีใครพบเจอโทรศัพท์ฉันแล้วเอาไปแจ้งตำรวจ พอยกโทรศัพท์เปิดกล้องหน้าขึ้นมาเท่านั้นแหละ "โอ้ ชิท ข้างหลังสวยย"
มันอาจจะไม่ได้สวยมาก แต่ก็รู้สึกไม่สูญเปล่า เป็นวิวที่ถ้าเราไม่ตัดสินใจขึ้นเราอาจจะไม่เห็น ดีใจที่ได้เห็น และฉันจะต้องกลับลงไปเพื่อโพสต์ภาพวิวที่นี่ให้ได้ !
ถ้าใครเปิดวิดีโอและเปิดเสียงดูจะพบว่ามันเงียบมากมีแต่เสียงการ้อง สิ่งมีชีวิต ณ ตรงนั้นคือเราและกาดำ เดินเท่าไรก็ไม่ถึงยอด แล้วเจ้ากานี่ก็ร้องขู่จัง ถ้านี่เป็นฉากในหนัง การเดินต่อของเราอาจจะเจอภัยอันตราย อาจจะเจอวิญญาณร้ายกลายร่างและไม่มีใครยับยั้งเธอได้ เราเลยแบบพอแล้ว นี่ยังไม่รู้ทางลงเลย พระอาทิตย์ตกดิน มืดขึ้นมาแล้วจะซ่าไม่ออก จงรักชีวิต
เราขึ้นเขาลูกนี้มาแบบไร้ทิศทาง และสมองที่ไม่สามารถจดจำทิศทางของเราก็ไม่สามารถพาเรากลับไปทางที่ขึ้นมาได้ เราเลยหาป้ายบอกทางอีกครั้ง แม้จะแปลไม่ออกทุกคำ แต่อย่างน้อยก็มีคำนึงที่เรารู้ คือ 아파트 (อาพาทื่อ ที่แปลว่า อพาร์ทเม้นท์) และที่ใดมีคน ที่นั่นมีชีวิต
เราเลยเดินตามทางนั่นไป ช่วงแรกก็เป็นทางลาดลงให้เราอุ่นใจว่าปลายทางลาด มีถนนแน่นอน แต่พอเดินไปสักพักก็แบบ เห้ย ทำไมเป็นทางชันขึ้น มันจะพาเราขึ้นไปวนเขาอีกไหม พลังขาไม่มากพอสำหรับการหลงแล้วนะ เริ่มมืด เริ่มหนาวแล้วด้วย เอามาเล่าเหมือนเป็นคอมเมดี้ แต่สถานการณ์จริงเป็นทริลเลอร์ นาทีนั่นคือเริ่มสงสัยแล้วว่าการสวดมนต์จะสามารถนำพาเราออกจากที่นี่ได้รึไหม แต่ยังไม่ทันไม่พนมมือ พระเจ้าก็ส่งสิ่งมีชีวิตมาให้ เพื่อนร่วมสปีชีส์ที่จะไม่ทิ้งให้เราโดดเดี่ยว เราก็กรู่เข้าไปถามเลย "เอกคิ้วมี ดิสเวย์ โรดึ โรดึ" ตอนนั้นแค่ได้ยินว่าจะมีถนนที่ปลายทางก็ชื่นใจแล้ว ไม่หวังให้เป็นสถานีเมโทร ป้ายถนนเมล์อะไรทั้งนั้น
ลงเขามาเจอชุมชนเล็กๆ เหมือนเป็นพื้นที่ของกลุ่มที่ social disadvantage นิดนึง ไม่ค่อยได้เห็นในพูซานเท่าไรนัก
เขาก็ตอบว่า "เย่ เย่" (ใช่ๆ) แล้วก็เดินลิ่วนำไป เราก็ตีเนียนเดินตามเขาไป รักษาระยะห่างแต่ก็ขอให้เห็นเขาในวิสัยทัศน์ตลอดเวลา แล้วเราก็มาสู่พื้นถนนจริงๆ แต่เป็นถนนแคบๆ แคบกว่าถนนในหมู่บ้าน พร้อมกองทิ้งขยะ ด่าตัวเองอีกหนึ่งบทแล้วรีบจ้ำเดินหาป้ายรถเมล์ กลับบ้านมากินซุปปลาร้อนๆ ขอบคุณที่มีชีวิตต่ออีกหนึ่งวัน
หลง Tip 1 : จงรักชีวิต
หลง Tip 2 : ถ้าคิดจะไปหลงในประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ควรมีความรู้ภาษาพื้นฐานบ้าง อย่างน้อยก็ควรอ่านออก
สาระให้เนียนเหมือนเรียนมา : การเดินขึ้นทางชันใช้กล้ามเนื้อคนละมัดกับการเดินทางลาดซึ่งเป็นกล้ามเนื้อมัดที่ใหญ่กว่า ใช้พลังงานมากกว่า เหนื่อยมากกว่า ซึ่งหมายความว่าแม้เราจะเชี่ยว เดินจากมาบุญครองไปประตูน้ำได้สบายๆก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสบายถ้าต้องเดินขึ้นเนิน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in