“ต้นไม้ใหญ่นั่นมีปีศาจร้าย เชื่อแม่ อย่าเข้าไปในป่านะควานลิน”
_
ใต้เงาของไม้ป่าปรากฏเงาของร่างหนึ่งเดินย่องไปอย่างเงียบเฉียบพร้อมไฟฉายคู่ใจในมือ กลิ่นไอฝนที่เพิ่งหยุดไปกับความเฉอะแฉะใต้พื้นรองเท้าอาจจะสร้างความรำคาญใจให้เขาบ้างแต่ไม่อาจหยุดยั้งความตั้งใจของเขาได้
ใช่ ควานลินต้องการจะพิสูจน์คำพูดของแม่และคนในหมู่บ้าน
วัยระดับเขาย่อมอยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องธรรมดา มนุษย์เราก็แปลกทั้ง ๆ ที่วิทยาศาสตร์สอนให้พิสูจน์ความจริงแล้วจึงเชื่อ แต่เหตุใดเหล่าคนที่พร่ำสอนบอกให้เชื่อหลักสูตรในหนังสือกลับกลัวแม้กระทั่งสิ่งที่ไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการทางวิทยาศาสตร์ว่ามีจริง
แรกเริ่มเดิมทีควานลินคิดว่าคงเป็นเพียงกุศโลบายของคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านที่ไม่ให้เด็ก ๆ ออกไปเล่นในป่าแล้วหลงทางจนหายสาบสูญไป หากแต่เรื่องชักบานปลายขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเริ่มมีทั้งวัยรุ่นหนุ่มสาวรวมถึงวัยกลางคนเอาชีวิตไปทิ้งไว้ พบเพียงแต่ร่างไร้วิญญาณที่โคนต้นไม้ที่ว่า จนเป็นที่รู้กันว่าเมื่อตะวันตกดินทุกบ้านจะปิดประตูบ้านงดเว้นกิจกรรมนอกบ้านทุกสิ่ง เข้าไปรวมตัวกันกลางห้องนั่งเล่นสวดอักขระแปลก ๆ ที่เชื่อกันว่าคุ้มครองไม่ให้ปีศาจเข้ามาในหมู่บ้าน แล้วปิดไฟเข้านอนตอนสี่ทุ่มทุกคน
ไร้สาระสิ้นดี ปีศาจที่ว่าน่ะ ไม่มีจริงหรอก
_
ควานลินหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน ทั้งที่คิดว่าใช้เวลาเพียงเกือบชั่วโมงแต่กลับรู้สึกยาวนานเหมือนเป็นปียิ่งสองข้างทางที่อาศัยแสงจากไฟฉายมองล้วนเป็นเพียงต้นไม้ตั้งตระหง่านเรียงกันจนดูเหมือนๆ กันไปหมด ยิ่งดูจะเพิ่มระยะทางของการเดินทางมากกว่าตอนกลางวันที่เขาแอบมาสำรวจเงียบๆ เสียอีก
หากแต่เมื่อเห็นภาพต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าก็คลายความเหนื่อยล้าของเขาเป็นปลิดทิ้ง
ต้นไม้ใหญ่ที่ถูกกล่าวหาว่ามีปีศาจร้ายไม่ได้มีลักษณะแตกต่างจากต้นไม้ทั่วไปเท่าไรนักนอกจากขนาดที่ใหญ่กว่าต้นไม้ทั่วไปชนิดที่ว่าอาจจะต้องใช้คนครึ่งหมู่บ้านของเขามาจับมือยืนเป็นวงกลมจึงจะล้อมต้นไม้ได้สิ่งที่น่าประหลาดคงจะมีเพียงจากพื้นหญ้ารกทึบตามสภาพป่าทั่วไปกลับกลายเป็นเพียงหญ้าต้นเล็กๆ รอบอาณาบริเวณ ราวกับมีใครคอยถางดูแลมันอยู่เสมอ
สิ่งที่แปลกไปคงเป็นเพียงเด็กหนุ่มหน้าหวานที่ดูคล้ายจะรุ่นราวคราวเดียวกับเขานั่งอยู่บนกิ่งไม้ราวกับรอคอยการมาของเขาอยู่แล้วริมฝีปากบางเฉียบยิ้มพรายคล้ายจะต้อนรับก่อนกระโดดลงจากกิ่งไม้สูงนั่นอย่างกับว่ามันเป็นเพียงแค่ความสูงไม่ถึงห้านิ้ว
ร่างสูงพร้อมไฟฉายในมือรู้ดีว่าสิ่งที่ควรจะทำคือป้องกันตัวเองไม่ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะเป็นมนุษย์หรือ‘สิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้’หากแต่เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนกลับรู้สึกเหมือนดั่งต้องมนต์
ประกอบกับจมูกของเขาซึมซับได้เพียงกลิ่นหอมอ่อน ๆคล้ายดอกไม้ป่าลอยออกมาจากเจ้าตัวยิ่งชวนให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มหลงใหล
ควานลินรู้สึกเหมือนสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นทุกอย่างที่ล้อมรอบและโอบอุ้มตัวเขาตอนนี้เหมือนเป็นเพียงความฝันทั้งกลิ่นทั้งภาพที่เห็นตรงหน้าช่างงดงามเสียจนหาอะไรเปรียบไม่ได้
ไฟฉายที่เคยอยู่ในมือถูกทิ้งไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัวรู้เพียงแต่มือข้างนั้นได้เปลี่ยนเป็นรั้งคอเด็กหนุ่มหน้าหวานเข้ามาประชิดตัวและทาบทับริมฝีปากของอีกฝ่ายด้วยอวัยวะเดียวกันอย่างดูดดื่มสัมผัสดูดดึงริมฝีปากอย่างไม่มีใครยอมใครส่งเสียงน่าอายออกมาหากแต่ทั้งสองฝ่ายไม่สนใจหนำซ้ำยังไม่มีท่าทีผละออกจากกัน
เหมือนดั่งลืมสิ้นทุกสิ่งรวมถึงจุดประสงค์ที่เหยียบย่างเข้ามาในผืนป่าเร้นลับแห่งนี้เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ใช้ปกปิดร่างกายเป็นเพียงสิ่งเกะกะและถูกปลดทิ้งไปอย่างไม่ใยดี แผ่นหลังเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มปริศนาประชิดเข้ากับต้นไม้ที่ได้ชื่อว่ามีปีศาจสิงสู่อยู่ภายในก่อนจะเป็นควานลินในร่างเปลือยเปล่าที่แนบกายทับจนแทบไม่มีช่องว่างระหว่างทั้งสอง
ริมฝีปากของผู้มาเยือนพรมจูบสลับกับไล่ขบเม้มผิวเนียนของเด็กหนุ่มปริศนาเสียงครางกระเส่าด้วยความสุขสมดังระงมออกมาไม่ขาดสาย
“พัคจีฮุน --เรียกฉันว่าพัคจีฮุนเรียกชื่อของฉันสิ ..ไลควานลิน”
ควานลินเลิกคิ้วมองอีกคนด้วยสายตาประหลาดใจ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน เหตุใดอีกคนจึงรู้จักชื่อของเขาได้หากแต่อารมณ์ที่พุ่งจนมาจนถึงขีดสุด ทำให้เขาเลือกที่จะปัดความสงสัยที่มีออกจากหัวก่อนจะเสร็จกิจกรรมร่วมรักของเขาร่างกายของควานลินกระตุกปลดปล่อยออกมาจนหมดสิ้น
รักเหรอ ? คงจะใช่เขาอาจจะหลงรักกลิ่นหอมชวนน่าหลงใหลกับใบหน้าหวาน ๆ นั่นเข้าให้จริง ๆ
สองร่างนอนหอบหายใจอยู่บนพื้นหญ้าไม่ห่างจากต้นไม้ใหญ่นั่นซักเท่าไหร่นักพัคจีฮุนและไลควานลินหันหน้าเข้าหากัน ก่อนจะลอบยิ้มออกมาอย่างมีความสุขไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาจากปากของทั้งสองมีเพียงสายตาที่ทอดมองสื่อความหมายกันราวกับสื่อสารกันแล้วเข้าใจ
แต่เมื่อมาคิด ๆ ดูแล้ว ควานลินไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพัคจีฮุนเป็นใคร มาจากไหน บางทีเขาควรถามอะไรกับอีกฝ่ายสักหน่อย
“นี่ จีฮุน... ”
_
ผู้คนในหมู่บ้านต่างอยู่ไม่สุข เมื่อได้รับแจ้งหญิงวัยกลางคนว่าลูกชายเพียงคนเดียวไล ควานลิน ได้หายตัวไปจากบ้าน เสียงฝีเท้าดังอึกทึกครึกโครมมุ่งตรงไปที่จุดหมายเดียวกันซึ่งเป็นที่ที่ผู้เป็นแม่บังเกิดเกล้าภาวนาอย่างร้อนรนไม่ให้พบเจอลูกชายของตนที่นั่น
หากแต่คำขอร้องในใจของเธอไม่อาจส่งถึงเบื้องบนกว่าจะถูกพบเข้าก็สายเกินไปเสียแล้ว ร่างของเด็กหนุ่มที่หายไปถูกพบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ถูกกล่าวขานข้างกายมีไฟฉายที่คนในหมู่บ้านซุบซิบระงมคาดกันว่าเจ้าตัวน่าจะถือมาด้วยในยามวิกาล
มองแต่ภายนอกดูเหมือนไลควานลินแค่เข้าสู่ห้วงนิทราไปเท่านั้นแต่เมื่อเอามืออังจมูกของเด็กหนุ่มก็รับรู้ได้ทันทีว่าควานลินนั้นได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนคืนเป็นเพียงร่างไร้ลมหายใจเท่านั้น
“เอาลูกกูคืนมา..ต้นไม้เหี้- เอาลูกกูคืนมา ! ! ”
ผู้เป็นแม่คนใดจะรับไหว ดั่งหัวใจสลายเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นเกินจะต้านทานเธอพุ่งไปพร้อมขวานในมือหมายจะทำลายลำต้นสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเธอหากแต่ชาวบ้านคนอื่นกลับไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเธอเนื่องจากกลัวจะต้องคำสาปร้ายทั้งหมู่บ้านจากสิ่งเร้นลับจึงพากันดึงตัวออกมา
ช่วยไม่ได้ ในเมื่ออาหารเดินมาอยู่ตรงหน้าเขาจะปล่อยอีกฝ่ายไปง่าย ๆ ได้อย่างไร
พัคจีฮุนมองความวุ่นวายด้านล่างก่อนจะยักไหล่อย่างไม่แยแสเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็นะ หลังจากที่ผู้คนในหมู่บ้านเริ่มสวดภาวนาก็ไม่มีใครเดินเข้าป่ามาหาเขาในเวลากลางคืนอีกต่อไป จนทำให้เขาไม่มีอาหารตกถึงท้องมานานหลายปี
ถึงจะเสียดายนัยน์ตาคู่สวยที่จ้องมองเขาอย่างหลงใหลนั่นก็เถอะ
ความรักเหรอ ? ไม่มันไม่ใช่ความรักหรอก
เป็นเพียงความเสน่หาและพึงพอใจในรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายเท่านั้นแหละ
ว่าแต่ตอนนี้ไล ควานลินเชื่อรึยังนะว่าปีศาจที่ว่ากันน่ะ มันมีจริง :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in