-
ชีวิตวัยประถมกับการกลั่นแกล้ง
ในวัยประถมปลาย เป็นชีวิตวัยเด็กเหมือนจะสดใสเหมือนเด็กทั่วๆไปค่ะ แต่ด้วยความที่เราผอมมาก จึงมักจะถูกล้อจากเพื่อนๆในห้องเสมอ ความผอมเหมือนเป็นปมของชีวิต ชั่งน้ำหนักทีก็อายมาก
โรงเรียนของเราเวลาเรียนจะนั่งกันแบ่งเป็นกลุ่มๆ ซึ่งห้องของเราตลอดประถมปลายก็ดันมีจำนวนนักเรียนที่เป็นเศษเกินในกลุ่มอีกต่างหาก เศษเกินที่ว่าก็มักจะกลายเป็นเรานี่ล่ะค่ะ กลายเป็นคนที่ไม่มีกลุ่ม ต้องเวียนอยู่กับทุกๆกลุ่ม บางกลุ่มก็ไล่ให้เรากลับไปทำงานหรือส่งงานกับกลุ่มเดิมบ้าง พอเอาไปให้กลุ่มเดินก็ไล่ให้เราเอามาส่งกับกลุ่มใหม่ เอานมกล่อง(พักเบรคจะมีนมให้ดื่มค่ะ)มาใส่ในโต๊ะเรา จนนมบูดแล้วระเบิดก็มี ฯลฯ
แต่ปัญหาหลักๆคือเรื่องโดนล้อค่ะ เวียนเป็นวงจร โดนล้อ > ไม่อยากไปโรงเรียน > ไปสาย > ไม่มีกลุ่มต้องนั่งที่เศษเกิน หรือ โดนล้อ > ไม่อยากไปโรงเรียน > ไม่ไปโรงเรียน > โดนล้อในวันถัดมาที่ไปหลังจากหยุดเรียน + งานการบ้านสะสม
แต่ทุกครั้งที่เราไม่ได้ไปเรียน เราก็จะอยู่บ้านค่ะ ไม่ได้หนีเที่ยวเกเร หรือถ้าไปโรงเรียนแล้ว เราก็ไม่เคยโดดเรียน เข้าห้องเรียนแล้วตั้งใจเรียนตามปกติค่ะ มีบ้างที่ขอไปห้องน้ำหรือห้องพยาบาล แต่ก็จะเดินกลับมาห้องเรียนเพื่อเรียนต่อในคาบนั้นๆ ไม่ได้หลบหายไปไหนค่ะ ยกเว้นบางกรณีที่มีปัญหาจริงๆเกิดขึ้นเท่านั้น เพราะคุณครูห้องพยาบาลต่อมาได้ทราบปัญหานี้ ก็จะคอยเตือนและให้กำลังใจเราอยู่เสมอ
ณ เวลานั้นเราไม่เคยบอกแม่เลยค่ะ ว่ามีปัญหาอะไร ทำให้ทะเลาะกันแทบทุกเช้าเพราะเราไม่อยากไปโรงเรียน บางทีเราก็ปวดท้องเพราะเราเครียดมากเวลาที่จะต้องไป ส่วนแม่ก็ไม่เข้าใจเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่าเราดื้อไม่ยอมไปโรงเรียน คำที่ล้อก็ไม่ใช่คำตลกๆน่ารักๆเลย แต่เป็นชื่อโรคชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น โชคดีว่าครูประจำชั้นตอนป.4และป.5สังเกตุเห็นปัญหา และพยายามพาเราเข้ากิจกรรม พยายามดุนักเรียนที่ล้อเรา แต่ลับหลังครูเราก็ยังโดนล้ออยู่ดีค่ะ เรียกได้ว่าเวลาอยู่ชั้นเรียน เราแทบจะกลายเป็นตัวประหลาดในห้องที่ไม่มีใครอยากยุ่งด้วย แต่เวลาที่ได้ทำกิจกรรมก็สดใสปกติเหมือนเด็กทั่วๆไปค่ะ
-
มีอยู่วันหนึ่ง ตอนป.4 แม่พาเราไปส่งที่โรงเรียน เรานั่งร้องไห้ในรถ ไม่ยอมลงจากรถค่ะ ยังไงๆก็ไม่ยอมลง จนคุณครูสอนเกษตรเดินมาดู ครูท่านนี้เรียกได้ว่ามีพระคุณกับเราจริงๆ ท่านเข้ามาดู พาเราลงจากรถ บอกเราว่าไม่เป็นไรนะ ไปนั่งพักที่ห้องเกษตรใต้ตึกก่อน ไม่ดุหรือต่อว่าอะไรทั้งนั้น เราก็ยอมลงจากรถแล้วไปค่ะ ไปนั่งอยู่นานระยะหนึ่ง แล้วเราก็ขึ้นห้องเรียนค่ะ หลังจากนั้นเวลาที่มีปัญหาหรือตอนรอแม่มารับ ก็จะไปหาคุณครูท่านนี้ทุกวันจนจบประถมเลยค่ะ เรียกได้ว่าเป็นแรงจูงใจอย่างนึงที่ทำให้เราพยายามอดทนไปโรงเรียนในตอนนั้น
นอกจากคุณครูเกษตรแล้ว ช่วงป.5 เราเริ่มรู้จักกับพวกรุ่นน้องค่ะ เพราะแม่เราต้องทำงานทำให้มารับช้า บางวันก็มารับมืดเลย เรารู้จักกับรุ่นน้องหลายๆคนระหว่างที่รอ จนกลายเป็นกลุ่มที่เล่นด้วยกันตอนเย็นทุกๆวัน มีทั้งเด็กผู้หญิงและผู้ชาย แต่ปัญหาที่ห้องเรียนก็ยังมีเหมือนๆเดิม สรุปง่ายๆคือไม่มีเพื่อนสนิทที่เรียนรุ่นเดียวกันเลยค่ะ มีแต่รุ่นน้องนี่ล่ะค่ะ ทุกๆอย่างเหมือนโอเคขึ้นอยู่ระยะหนึ่ง
จนขึ้นป.6 ค่ะ ปัญหาหลักๆกลายเป็นปัญหาที่บ้านแทนเพราะคุณแม่รู้จักกับน้าผู้ชายคนหนึ่ง ด้วยความที่เรายังเด็กเราก็หวงแม่ค่ะ มีปัญหาอึดอัดใจอะไรเราจะปรึกษาครูประจำชั้นตลอด เทอมแรกเหมือนจะผ่านไปปกติ แต่เกิดเรื่องหรือเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ทำให้ครูไม่พอใจเรา เราจำไม่ได้ค่ะว่ามันเป็นเรื่องอะไร หรือเกิดอะไรขึ้น จำได้ลางๆว่าคุณครูเขียนต่อว่าเรามาในสมุดการบ้าน หลายครั้ง แล้ววันหนึ่งแม่เราเปิดเจอ ก็เลยแจ้ง ผอ. ไป ทำให้ครูเลิกยุ่งกับเราเลยค่ะ เลิกยุ่งในที่นี่คือเหมือนเราเป็นอากาศธาตุค่ะ แทบจะไม่มอง ไม่พูด
มีอยู่ครั้งหนึ่งเราไปงานวันแม่สาย กำลังเดินเอากระเป๋าไปเก็บบนห้อง ครูเรียกเราค่ะ ถามว่า "ครูเห็นนะตอนเย็น เธอไม่คิดบ้างว่าตัวเองแปลกเหรอไง เล่นแต่กับเด็กรุ่นน้องผู้ชาย" ตอนเด็กเราฟังก็งงค่ะ เพราะเราก็เล่นประสาเด็กรอแม่มารับ จริงๆแล้วเด็กผู้หญิงก็มีค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะกลับกันเร็วต่างหาก
-
ม.ต้น จุดเริ่มต้นของจุดจบ?
จบประถมเราก็ย้ายโรงเรียนไปเรียนต่อมัธยมค่ะ เป็นโรงเรียนรัฐบาล จำได้ว่าตื่นเต้น ไม่เคยไว้ผมสั้น(แถมไว้ครั้งแรกก็สั้นถึงติ่งหูเลยนี่ล่ะ) ได้ใส่ชุดใหม่ ได้อยู่โรงเรียนใหม่ ฯลฯ แอบดีใจว่าจะได้เริ่มต้นอะไรใหม่ๆ มีเพื่อนใหม่ๆ ไม่เหมือนกับที่เดิม ซึ่งตอนแรกทุกอย่างก็เหมือนจะดีค่ะ ไม่ต้องนั่งเรียนเป็นกลุ่มแบบประถมแล้ว มีกลุ่มเพื่อนอยู่ ใจชื้นค่ะว่ามีเราเพื่อนแล้วมีกลุ่มแล้วนะ แต่พอขึ้นห้องไปถึงเห็นค่ะว่ามีบางคนที่ย้ายมาจากโรงเรียนเดิมที่เราเรียน คิดในใจว่าไม่เป็นไรๆ
จนวันหนึ่งเริ่มโดนกลุ่มนักเรียนชายในห้องตะโกนล้อค่ะ สาเหตุเดิมๆเลยคือ "ผอม" สังเกตุได้จากคำที่ใช้ล้อเรา แรกๆก็ทนค่ะ เช้าวันหนึ่งตอนเข้าแถวเพื่อนในกลุ่มบอกว่าเราหน้าเหมือนแมลงสาบค่ะ เราก็หัวเราะๆไป พยายามไม่คิดอะไร แต่ต่อมากลุ่มที่เราอยู่ก็เริ่มปลีกตัวหนีค่ะ จนเรากลายเป็นคนไม่มีกลุ่ม ทานข้าวก็ทานคนเดียว แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ ทานได้ปกติ
โชคดีที่ในห้องมีเพื่อนนักเรียนหญิงคนนึงไม่ได้อยู่กับกลุ่มไหนแล้วต้องกลับบ้านรถตู้เดียวกัน ก็เลยมีเพื่อนทานข้าวไปไหนมาไหนด้วยอยู่ระยะหนึ่ง ส่วนพวกกลุ่มนักเรียนชายก็ล้อหนักขึ้นๆทุกวัน จนลามไปห้องอื่นอีกด้วย เดินผ่านทีก็ตะโกนล้อไม่ก็โห่ใส่ค่ะ วันหนึ่งระหว่างเรียนก็โดนล้ออีกเรื่อยๆ ในคาบเรียนนั้นเราร้องไห้ค่ะ ก้มหน้าฝุบกับโต๊ะแล้วร้องไห้เลย พวกผู้ชายตะโดนบอกครูว่าเรานั่งฝุบหลับค่ะ ครูก็ไม่สนใจส่วนเราก็ไม่ตอบอะไรทั้งนั้น ร้องไห้อย่างเดียวจนหมดคาบ
นอกจากโดนล้อ หนักเข้าๆก็มีรูปที่ติดบนใบทำเวรหาย เลยโดนดุเพราะครูประจำชั้นนึกว่าเรายังไม่ส่งรูป ตอนเย็นเราเจอรูปค่ะ โดนฉีกทิ้งอยู่ในลังที่สุมๆไว้หลังห้อง บางวันโต๊ะหรือเก้าอี้หายก็มีค่ะ ฯลฯ ท้ายที่สุด เราไม่ไปโรงเรียนค่ะ ให้ตายยังไงๆก็ไม่ไปจริงๆ เราไม่ได้บอกแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แม่เลยไม่เข้าใจ เราร้องไห้บอกแม่แค่ว่าเราไม่อยากเรียนแล้ว เราไม่อยากไป ซึ่งแม่ไม่เห็นด้วยที่จะยอมให้เราออก แต่ทำยังไงๆก็เราไม่ยอมไป สุดท้ายแม่เลยตัดสินใจไปดรอปให้แทนการลาออกค่ะ
-
เราหยุดพักไปในเทอมนั้น จนขึ้นภาคเรียนใหม่ แม่ถามว่าเราพร้อมมั้ย ในห้องที่เราเรียนจะมีนักเรียนอีกคนที่ดรอปมาเหมือนกัน คุณครูรออยู่และอยากให้เราไปเรียนนะ... ณ เวลานั้นเราตอบไม่ได้เลยค่ะว่าพร้อมมั้ย แต่สุดท้ายเราก็ไปค่ะ เพราะเราสงสารแม่ค่ะ ในใจเรากลัวมากเพราะไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง จะเป็นยังไงบ้าง ค่ายปฐมนิเทศภาคเรียนนี้เราก็ไม่ได้เข้า แล้วไหนจะพวกห้องเดิมอีก ฯลฯ เราเริ่มต้นใหม่ วันแรกพยายามแอคทิฟในห้องมาก ในห้องเรียนไม่มีใครรู้ว่าเราดรอปนอกจากครูประจำชั้น เรามีกลุ่มอยู่กับเพื่อนที่นั่งใกล้ๆรอบๆประมาณ 4-5 คน ซึ่งเพื่อนๆกลุ่มนี้นิสัยดีมากและคบกันมาจนถึงวันสุดท้ายที่เราเรียนที่นี่ค่ะ
ไม่กี่วันต่อมา ตอนพักกลางวันมีคนมาเขียนชื่อเราไว้บนกระดาษดำค่ะ บอกให้ไปห้อง ม.2 อีกตึกหนึ่ง ซึ่งก็คือพวกห้องเดิมนั่นล่ะค่ะ เพื่อนๆในกลุ่มงงว่าคืออะไรยังไง เราก็บอกไม่มีอะไรหรอก แล้วเราก็ไปห้องเรียนที่ว่าคนเดียวค่ะ ไปถึงคนที่อยู่ในห้องบางคนก็ฮือฮากัน จนมีอยู่คนหนึ่งเดินออกมา เอาใบเกรดภาคเรียนเก่ามาให้ ซึ่งจริงๆไม่เกี่ยวอะไรและไม่มีความจำเป็นต้องใช้เลยค่ะ แต่เราก็ไม่ว่าอะไร แล้วก็เดินกลับห้องตัวเอง หลังจากนั้นเราก็ตัดสินใจบอกเพื่อนในกลุ่มค่ะ ว่าจริงๆแล้วเราดรอปมาจากภาคเรียนที่แล้ว ทุกคนในกลุ่มเข้าใจและไม่ได้ล้อเรา แต่ตอนนั้นก็มีแค่ในกลุ่มเท่านั้นค่ะที่รู้
-
เหมือนจะจบสวยใช่มั้ยคะ แต่ปล่าวค่ะ ปัญหาเพิ่งเริ่ม พวกที่ชอบล้อพอรู้ว่าเรากลับมา ถึงแม้เรียนกันคนละตึก แต่ตอนพักกลางวันหรือเลิกเรียน เราจะต้องเดินผ่านสนามบาสค่ะ ซึ่งเป็นเวลาที่พวกนี้จะเตะบอลกัน พอเห็นเราเดินผ่านก็จะตะโกนล้อหรือเตะบอลใส่เราอยู่เสมอๆ เราก็ทนค่ะ ทนเป็นเดือนๆ จนบางวันหนักเข้าๆก็ไม่อยากไปโรงเรียน ไม่ยอมไปโรงเรียน จนมีปัญหางานสะสมหรือครูคิดว่าเราโดดเรียนหนีเที่ยวทั้งๆที่เราอยู่บ้าน
วันหนึ่งแม่เรารู้เรื่อง พยายามติดต่อครูประจำชั้นแต่ครูก็บอกเราที่เป็นคนโดนล้อโดนรังแกต้องอดทน ต้องเข้มแข็งค่ะ แต่สุดท้ายแม่เราอ่านเจอในหนังสือกฏโรงเรียนเรื่องการล้อ แม่เลยไปติดต่อครูฝ่ายปกครองแทนค่ะ ซึ่งกลุ่มที่ล้อเราทั้งหมดถูกเรียกมาลงโทษ หลังจากนั้นถึงได้เลิกยุ่งกับเราค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นสภาพจิตใจเราก็ย่ำแย่มากๆแล้วในเวลานั้น
หลังจากนั้นชีวิตช่วงนี้ก็ดำเนินไปเป็นปกติค่ะ มีปัญหางานสะสมเพราะก่อนหน้านี้เราไปๆหยุดๆ นอกจากนี้ นักเรียนบางกลุ่มในห้องยังบอกกับครูประจำชั้นว่าเราโดดเรียนไปอยู่ห้องพยาบาลและครูบางท่านเข้าใจว่าเราโดดเรียนแต่วิชานั้นๆ ซึ่งจริงๆเราไม่ได้มาเรียนทั้งวันค่ะ จนกลายเป็นปัญหาที่แม่ต้องมาพบและอธิบาย เพราะครูเข้าใจว่าเราหนีเที่ยวไปเดินห้าง แต่เราไม่ได้ไปค่ะ ตอนเย็นแม่จะมารับกลับทุกวันหรือถ้าหยุดก็อยู่ที่บ้านเท่านั้น ไม่มีมาโรงเรียนแล้วโดดไม่ยอมเข้าเรียนค่ะ
-
ขึ้นม.2 ในคาบเรียนหนึ่ง ครูพูดขึ้นมาว่า "เดี๋ยวเธอก็จะดรอป ไม่ก็ตกซ้ำชั้นอีก" ทำให้ทุกคนในห้องรู้ว่าเราเป็นนักเรียนดรอป ในเวลานั้นเราอายมาก แต่ก็ทนต่อไป
จนถึงวันสอบ โดนครูหัวหน้าระดับเรียกออกมาหน้าห้องระหว่างที่สอบค่ะ ถูกดุและสอนนานมากราวๆสิบนาทีทั้งๆที่เป็นเวลาสอบ เราจำไม่ได้ว่ามีเรื่องอะไรบ้าง จำได้เรื่องหนึ่งคือ ครูบอกว่า "เธอใส่เสื้อหนาวตามแฟชั่นใช่มั้ย เมื่อวานก็เห็นเธอใส่" เราพยายามอธิบายว่าไม่ใช่ เราแขนเล็ก เราอายเรากลัวจะโดนล้อเรื่องผอม เสื้อเป็นสีน้ำเงินและชุดเก่ามากเป็นชุดของป้าเราเอง แล้วเมื่อวานนี้เราไม่ได้มาโรงเรียน เราหยุดเรียนไปหลายวัน เพิ่งมาในวันสอบวันนี้ แต่ครูกลับบอกว่าไม่จริง ครูเห็นเธอเดินอยู่ เราได้แต่เงียบค่ะ จนใจเสียแล้วเริ่มร้องไห้ ครูบอกว่าเย็นนี้ให้ไปหาที่ห้องพัก ไม่ต้องบอกแม่ แล้วให้กลับเข้าไปสอบ แต่เข้าไปเราก็ร้องไห้ค่ะ กาอะไรไปบ้างก็ไม่รู้
สอบเสร็จเพื่อนในกลุ่มก็ถามว่ามีอะไร เกิดอะไรขึ้น แต่เราก็ร้องไห้อย่างเดียวจริงๆ จิตใจเราไปหมดแล้วค่ะ อาจจะดูเหมือนเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องแต่ในเวลานั้นจิตใจของเราไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ รู้สึกเหมือนทำไมเราต้องเจอปัญหาซ้ำซากแบบนี้ เราไม่อยากทนแล้ว เรายังไม่ได้ไปพบครูจนแม่มารับค่ะ แม่ตกใจถามว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเราร้องไห้ เราไม่ตอบตอนแรก แม่ไม่ยอมสุดท้ายก็เลยต้องบอก แล้วก็กลับบ้านค่ะ
หลังจากนั้นเราหยุดค่ะ ไม่ยอมไปโรงเรียนเป็นเดือนๆ และสุดท้ายก็ขอลาออก ซึ่งแม่ลำบากใจและผิดหวังมาก เราก็เสียใจค่ะ แต่สภาพจิตใจเราไปต่อไม่ไหวแล้ว คิดย้อนกลับไปแล้วในเวลานั้นเราอาจจะอ่อนแอจริงๆ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เราคงไม่ตัดสินใจยอมแพ้แบบนี้ค่ะ
-
เรียนต่อ
หลังจากออกมากแล้ว ยังไม่ได้ตัดสินใจค่ะว่าจะเรียนต่อยังไง ตอนแรกแม่พยายามหาโรงเรียนใหม่ แต่หายากมากเพราะเป็นการเข้ากลางภาคเรียนแล้วยังเป็น ม.2 อีก บางโรงเรียนก็หาว่าเราเป็นเด็กเกเรโดนไล่ออกบ้างซึ่งทำให้แม่โมโหมาก
สุดท้ายได้โรงเรียนหนึ่งไกลจากบ้าน ซึ่งต้องไปเรียนปรับสภาพก่อนในระหว่างปิดเทอมพอดี เราตอบไม่ได้ค่ะว่าตัวเองพร้อมไม่พร้อม ไปถึงเราพูดไม่ออกค่ะ ไปเรียนเกือบสัปดาห์เราพูดกับใครไม่ได้เลย รู้สึกว่าตัวเองเข้ากับใครไม่ได้
จนวันนึงระหว่างรอแม่มารับ เรานั่งอยู่มีกลุ่มนักเรียนจากห้องอื่นเดือนผ่านแล้วหยุดยืนหน้าเรา ทำนิ้วชี้ๆ "นี่ไงๆ เด็กที่ย้ายมาใหม่ เด็กใบ้" เราได้ยินแล้วอึ้งค่ะ เย็นนั้น หลังจากกลับบ้านเราไม่กล้าไปเรียนอีก เรากลัวการโดนล้อค่ะ เหมือนเป็นฝันร้ายในชีวิตที่ตามหลอกหลอน
แต่แม่ไม่ทิ้งค่ะ แม่พยายามหาวิธีให้เราได้เรียนให้ได้ สุดท้ายเรียนทางไกลค่ะ ไม่ต้องไปเรียนที่ห้อง (ไม่ใช่กศน.นะคะ เป็นอีกที่หนึ่ง) เราเรียนแบบนี้ตั้งแต่ม.ต้นจนจบม.ปลายค่ะ อยู่แต่บ้าน ออกไปแค่วันที่สอบ ไปออกค่ายก่อนจบไม่รู้จักใคร และไม่มีเพื่อน แต่พยายามจนผ่านมาได้ ตอนนี้มหาวิทยาลัยก็เรียนทางไกลเหมือนกันค่ะ ใกล้จบแล้ว เราเรียนช้าค่ะ เสียโอกาสในหลายๆเรื่องมากๆ
-
อยู่บ้าน 10 กว่าปี
ตลอดระยะเวลาที่ลาออกมา จนเรียนทางไกล จนถึงปัจจุบันเราอยู่แต่บ้าน อยู่แต่ห้องค่ะ เราไม่มีเพื่อน ไม่ได้คุยกับใคร ไม่ไปไหนถ้าไม่จำเป็นต้องไปหรือหลีกเลี่ยงได้ ตีเวลารวมได้ทั้งหมดน่าจะตั้งแต่ช่วงปี 2004 หรือ 2005 จนถึงปัจจุบันค่ะ ถามว่ามีอาการซึมเศร้าร่วมมั้ย เราก็ตอบไม่ได้เพราะไม่ทราบเหมือนกันค่ะ
ชีวิตที่อยู่แต่ที่บ้าน เหมือนนาฬิกาที่หยุดเดินจริงๆค่ะ นึกย้อนกลับไปก็จำได้แค่ลางๆค่ะว่าวันๆทำอะไรบ้าง มีอะไรบ้าง เพราะกิจกรรมมันซ้ำๆกัน แต่เรายังคุยยังทานข้าวกับแม่วันที่แม่ไม่ออกไปทำงานนะคะ นอกเหนือจากนั้นคืออยู่ในห้อง เล่นคอมดูเน็ตแต่ไม่ได้แช็ตคุยกับใคร อ่านหนังสือเรียน โทรศัพท์ไม่ต้องพูดถึงค่ะไม่ได้ใช้ ทำอะไรจิปาถะแต่ไม่ออกไปไหนนอกบ้านแม้แต่บริเวณบ้านตัวเองก็ไม่ออกไป ถ้ามีใครมาบ้านหรือญาติแวะมาเราก็จะหลบอยู่แต่ในห้องค่ะ ฯลฯ
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เรามีเพื่อนในเน็ต คุย MSN บ้าง ไปเที่ยวบ้าง อยากไปนู่นไปนี่ มีกิจกรรมที่ชอบทำบ้าง มีความฝันมีสิ่งที่อยากจะทำ แต่ต่อมาเราค่อยๆทิ้งไปหมดเลยค่ะ ทุกๆอย่างที่ชอบทำ ไม่อยากเข้าสังคมหรือออกไปข้างนอก ไม่ต้องการพบเจอผู้คน แม้แต่คนในโลกออนไลน์ คนในเกมออนไลน์ ฯลฯ แต่เวลาจำเป็นจะต้องออกไปจริงๆ เช่นสอบ หรือค่าย ก็ต้องไปค่ะ ส่วนอย่างอื่นถ้าเลี่ยงไม่ไปได้เราก็ไม่ไป
หนักเข้าแม้แต่สิ่งที่ชอบที่อยากทำหรือเพลงที่ชอบ พอเห็นแล้วรู้สึกหายใจไม่ออกและคลื่นไส้ ทั้งๆที่เราเองยังชอบอยู่แท้ๆ จนเราไม่กล้าจะเปิดดูหรือเห็น ชีวิตเหมือนซากศพที่มีแต่ร่าง ไม่มีความรู้สึกหรือความฝันอะไรใดๆ เพราะเรากลัวที่จะชอบหรืออยาก พยายามใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ เป็นแบบนี้นานอยู่หลายปี และเพิ่งกลับมาหายเป็นปกติจนสามารถเปิดดูได้และมีความสุขที่ได้ดูหรืออยากที่จะทำเมื่อเร็วนี้ๆเองค่ะ
อีกเหตุการณ์ที่ทำให้นาฬิกาของเรากลับมาเดินอีกครั้งคือ แม่เรากระดูกเท้าร้าวเพราะล้มค่ะ(ตอนนี้หายแล้วค่ะ) ทำให้เรารู้สึกและโกรธว่าทำไมตัวเองถึงไร้ความสามารถขนาดนี้ ช่วงนั้นต้องเทียวไปมาโรงพยาบาลตลอดค่ะ แม่เราเดินไม่ได้ระยะหนึ่ง ถึงแม้จะมีลุงช่วยบางเรื่อง แต่เราพยายามทำกับข้าวให้แม่ ไปซื้อของก็ให้แม่นั่งแล้วเข็นรถพาแม่ซื้อของ ติดต่อเรื่องที่โรงพยาบาล ฯลฯ เท่าที่จะทำได้ค่ะ
-
ถึงแม้ตอนนี้เราจะเริ่มฟื้นกลับมาได้บ้างแล้ว แต่จากการใช้ชีวิตแบบนี้เป็น 10 กว่าปี ทำให้ตอนนี้เรามีปัญหาค่ะ
- อายุ เวลาของเรากำลังนับถอยหลังค่ะ ในขณะที่ความสามารถและประสบการณ์ในการใช้ชีวิตของเราต่ำมาก ประสบการณ์การทำงานก็ไม่มี ตัวเราอยากทำงานอยากหาเงินช่วยแม่ หรือไว้ซื้อของที่อยากได้/ทำความฝันตัวเองที่เพิ่งกลับมาให้เป็นจริง แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงค่ะเพราะอายุเริ่มเยอะแล้ว แต่จะช้าหรือเร็วก็ต้องทำและเริ่มค่ะ เพราะแม่เหนื่อยเลี้ยงเรามานานมากแล้ว เราเองตอนนี้ก็ไม่มีเป้าหมายเลยว่าจะทำงานอะไร จะทำยังไง จะมีใครรับมั้ย สิ่งที่ถนัดและพอทำได้คิดว่าอาจจะเป็นวาดรูปแต่เราไม่ได้เรียนตรงมาเรื่องนี้ ส่วนแม่เราอยากให้เราลองทำพวกค้าขายในเน็ตหรือสอบกพ. ดู เราก็คิดว่าน่าจะลองทำดูแต่ค่ะก็กังวลว่าเราจะทำได้มั้ย
- อีกปัญหาใหญ่คือไปไหนเองยังไม่เป็นค่ะ ถ้าให้ขึ้นรถเมล์ไปไหนเองก็ไปไม่ถูก และที่บ้านไม่มีรถ ส่วนรถก็ยังขับไม่เป็นค่ะ บ้านอยู่ค่อนข้างลึกทำให้แม่ห่วงถ้าจะไปไหนคนเดียวอีก ส่วนใหญ่เวลาที่ต้องออกไปก็ไปด้วยกันค่ะ
- นอกจากอาหารสำเร็จรูป อาหารที่ต้องทำสดๆยังทำเองไม่ค่อยเป็นค่ะ แต่พอจะทอด ผัด ฯลฯ อะไรได้บ้างแล้ว พยายามฝึกอยู่ค่ะ
- การออกไปข้างนอก ถึงแม้เวลาไปไหนแม่ยังไปด้วยกันอยู่เพราะเหตุผลข้างต้น
ตอนนี้ปรับจนดีขึ้นบ้างแล้ว เช่นมีที่ๆอยากไปบ้าง ชวนแม่ออกไปเที่ยวบ้าง
แต่ยังไปไม่บ่อยมากนะคะ เพียงแต่ไม่รู้สึกว่า"ไม่อยากไป" ตอนนี้กลายเป็น"อยากไป" หรือ "เฉยๆไปก็ได้ไม่ไปก็ได้"
อาจจะยังรู้สึกแปลกๆเวลาต้องผ่านคนเยอะๆแต่คิดว่าดีขึ้นกว่าแต่ก่อนค่ะ
ส่วนบริเวณรอบตัวบ้านหรือระเบียงก็กล้าออกมาเดินแล้ว ช่วงนี้จะถ่ายรูปท้องฟ้าบ่อยๆเพราะชอบค่ะ
- การเข้าสังคมก็ค่อนข้างแย่ ตอนนี้เราค่อยๆแก้ไขและพยายามปรับปรุงอยู่ค่ะ มีช่วงหนึ่งหนักขึ้นมากที่แม้แต่พูดติดต่อผ่านโทรศัพท์ก็ยังมีปัญหา หรือออกไปรับของหน้าบ้านก็ไม่กล้าออกไป 2 อย่างที่ว่ามาตอนนี้ก็ทำได้บ้างแล้ว แต่เมื่อเร็วๆนี้จำเป็นต้องไปเข้าอบรมของมหาลัย ผิดหวังในตัวเองมากค่ะ เพราะเราคิดว่าเป็นโอกาสอาจจะได้แก้ไขตัวเอง แต่สุดท้ายก็ยังไม่กล้าพูดกับใคร ไปหลายวันแต่สุดท้ายไม่รู้จักใครเลยสักคน แต่สามารถทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นๆได้เป็นปกติค่ะ
- อนาคต เพราะนอกจากเวลาตัวเราเองจะถอยหลังแล้ว แม่เราก็อายุเยอะขึ้นเรื่อยๆ กังวลมากเพราะอยากที่จะช่วยเหลือตัวเองได้มากกว่านี้ค่ะ เมื่อก่อนแม้แต่การไปข้างนอกหรือซื้อของก็ยากมากๆ แต่ตอนนี้พอที่จะสามารถเดินไปหยิบไปดูอะไรเองได้ แต่ไปไหนก็ยังต้องไปกับแม่อยู่เพราะเหตุผลเรื่องการเดินทางที่กล่าวไว้ข้างบนค่ะ อีกอย่างคือตอนนี้จัดฟันอยู่ค่ะ ช่วยมากๆ เพราะทำให้เราต้องออกไปทุกเดือน เราต้องเข้าไปเอง ติดต่อเอง ฯลฯ แต่แม่ยังไปด้วยเพราะที่ๆทำไกลจากบ้านมากๆค่ะ
- ทุกวันนี้ยังผอมอยู่ค่ะ น้ำหนักล่าสุดชั่งแล้ว 40 สูงเกือบๆ 160 แต่เรายอมรับสภาพความผอมตัวเองแล้วค่ะ พยายามมีความสุขกับมัน กินเท่าที่กินได้ ถึงแม้ส่วนใหญ่ไปไหนข้างนอกจะใส่เสื้อแขนยาวหรือเสื้อคลุมทับเพราะยังอายๆอยู่ถ้าไม่ใส่เสื้อแขนยาว เวลาใส่แล้วรู้สึกสบายใจกว่าค่ะ อีกอย่างขี้หนาวด้วยถ้าอยู่ห้องแอร์ แต่ถ้าโดนใครล้ออีกคงไม่แคร์แล้ว เข้มแข็งแล้วค่ะ
- ช่วงปีที่ผ่านมาเริ่มมีอาการท้อใจค่ะ สังเกตุตัวเองบางครั้งรู้สึกจมดิ่งมากๆ เหมือนมองข้างหน้าก็มืดไปหมดจนร้องไห้ แต่ไม่เคยให้แม่เห็น อาจจะเป็นความกลัวในใจลึกๆกับอนาคตที่รู้สึกเคว้งเพราะเราไม่รู้จะใช้ชีวิตยังไงในวันที่แม่ไม่อยู่ หรือวันที่แม่ชราเราจะดูแลท่านยังไง เราอยากทำให้ได้ดีกว่านี้ค่ะ อยากเป็นที่พึ่งให้แม่และตัวเองได้ อึดอัดสภาพตัวเองค่ะ
-
สุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด
ตอนนี้เรากลับมามีพลังอีกครั้ง หลังจากที่เวลาหยุดเดินไปหลายปีค่ะ อาจจะยังไม่สมบูรณ์ดี แต่ก็ดีขึ้นเยอะในระยะเวลาปีกว่าที่ผ่านมา และจะพยายามต่อไปให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติค่ะ อยากทำงาน อยากช่วยเหลือตัวเองได้ อยากไปญี่ปุ่นและทำฝันบางอย่างที่นั่นให้สำเร็จ หลายๆอย่างค่อยๆพรั่งพรูจากเวลาเมื่อหลายสิบปีก่อนที่หยุดลงไป ราวกับว่าเป็นคนละคนกันกับคนที่ติดอยู่ที่บ้านในเวลาหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่รู้จะเริ่มยังไงแต่ก็จะทำให้ได้ค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in