เรื่องราวก่อนจะส่งออกควายไทยสู่อิตาลี
0.
เพราะเป็นลูกคนเดียว แถมยังเป็นผู้หญิง ชีวิตตั้งแต่เด็กๆก็เลยได้รับการดูแลประคบประหงมอย่างดี (บางครั้งก็ดีเกินไปในความคิด) ตั้งแต่ประถมที่เห็นกลุ่มเพื่อนสนิทตัวเองไปเที่ยวพารากอนแต่เราทำได้แค่นอนอยู่บ้าน ขึ้นมัธยมต้นก็ไม่ให้ไปไหนมาไหนคนเดียว แม้กระทั่งรถเมล์ก็ห้ามขึ้น ได้ขึ้นรถไฟฟ้าคนเดียวครั้งแรกคือไปเรียนพิเศษที่สยามตอนม.2 ชีวิตช่วงมอต้นเลยทะเลาะกับแม่บ่อยมาก เพราะตัวเองอยากได้อิสระ แล้วก็ชอบให้พื้นที่กับตัวเองพอสมควร อีกอย่างคือชอบดูหนังมากๆแต่คนในบ้านไม่ชอบเท่าไหร่ คือเขาติดบ้านกัน นี่อยากร่อนตลอดเว แต่ยกเว้นคุณตาไว้คนนึง รายนี้ชอบมาก เมื่อก่อนชอบหนีไปดูหนังคนเดียวที่สกาล่าไม่ก็เซ็นทรัลเวิร์ลบ่อยๆ (ตอนนั้นอายุก็ประมาณแปดสิบได้แล้ว เปรี้ยวมาก)
หลังจากนั้นก็เริ่มทำตัวกบฎ แอบดูหนังคนเดียวบ่อยๆ เราชอบดูหนังคนเดียวมาก เพราะอยากดูก็ไปดูได้เลยอะ ไม่ต้องมานั่งรอคนอื่น อีกอย่างที่ฝังใจคือเรารอไปดูหนังกับคนที่สัญญาว่าจะไปดูด้วยกัน แล้วเขาผิดสัญญา มันเลยฝังใจมากๆเพราะหลายคนชวนไปดูแต่เราปฏิเสธ รอจนหนังออกโรง เข็ดจ้า
(คนนั้นนี่ไม่ใช่ใครที่ไหน แม่ตัวเองนี่แหละจ้า)
(แอบปั่นให้เหมือนมีแฟน แต่เปล่า ถุย)
ก็เป็นแบบนี้เรื่อยๆจนมอปลาย หูย ยิ่งหนีไปทำอะไรด้วยตัวคนเดียวเลยค่า ไปเที่ยวคนเดียว บางวันเหนื่อยๆก็ไปอควาเรี่ยมที่พารากอน แพงตับแตกมาก ถ้าไม่เครียดจริงๆก็ไม่ไป จน แหะ ส่วนตัวอยากแลกเปลี่ยนอยู่แล้วด้วย ตอนมอต้นก็ไปสอบแต่ไม่ได้สอบของเอเอฟเอสเพราะตอนนั้นอายุไม่ถึงพอให้สมัคร เราเรียนเร็วไปปีนึงแถมเกิดปลายปี ตอนนั้นที่เขากำหนดอายุเหมือนจะบอกว่าให้15 ก่อนกรกฎาไม่ก็ต้นสิงหาก่อนวันเกิดเราไม่กี่วัน ง่ายๆก็อด แหะ โครงการที่สอบได้ก็เหมือนไม่โอ เลยพับความคิดไป
จนตอนมอสี่ เราเลยไปสอบเอเอฟเอส ข้อเขียนไม่ได้ฝึกอะไรไปเลย ตายเอาดาบหน้ามากๆ อย่าทำตามนะเด็กๆ พอผลออกมาคือผ่าน แล้วก็ไปรอบสัมฯต่อ
ความชิบหายบังเกิดที่รอบนี้นี่แหละจ้า
เราเครียดสัมฯมากเพราะไม่เก่งพูด ยิ่งอังกฤษเราไม่ได้พูดนานจนสนิมขึ้นแล้ว (มอต้นเรียนEP สกิลพูดต่ำต้อยมาก แต่อน่างน้อยก็มีศัพท์ในหัวบ้างอะไรบ้าง) เลยให้เพื่อนที่กลับจากแลกเปลี่ยนมาช่วยติวให้ แต่พอวันจริงคือสมองblank มากพูดอะไรไม่ได้ผิดๆถูกๆ จนต้องพูดไทย วันนั้นเฟลมากก แบบออกจากห้องคือคำพูดไหลลื่นในหัวมาก แต่คือสอบเสร็จแล้วไง เจริญมาก ส่วนพาร์ทที่ต้องจับกลุ่มกับคนอื่นนี่ไม่มีปัญหา เพราะเราเข้ากับคนอื่นได้ค่อนข้างเร็วอยู่
วันประกาศผลจำได้คือสั่นมากๆ กดผลคือ ผ่าน แต่เราได้สำรองลำดับที่92
"สำรองลำดับที่ 92"
เราสั่นมาก เพื่อนคนอื่นที่สอบ มีคนนึงได้ตัวจริงญี่ปุ่น,สำรองลำดับที่2 คนสุดท้ายสำรองลำดับที่16
แต่เรานี่มาจากไหน 92 ลาตาย ประเทศที่อยากได้ไม่มีทาง เราเลือกออสเตรียอันดับแรก รับคนเดียวเองมั้ง บายยย
คือร้องไห้อะ เพื่อนยุด้วยบอกจะร้องก็ร้อง อะเป็นไงล่ะ ร้องจริง เพื่อนตกใจเลย นึกแล้วตลกมันดี
พอเป็นตัวสำรองก็จะดีตรงที่มีประเทศให้เลือกเยอะ แต่นี่ลำดับต่ำไง ตอนคัดรอบเขตเจอแคนาดา ปราก ฝรั่งเศสโผล่มานี่อยากล้อง เลยต้องรอรอบประเทศ แต่พวกที่ได้ลำดับสูงๆที่สละรอบเขตก็มีนะ คือเขาอยากรอประเทศอย่างเช่นอเมริกา ไม่ก็ประเทศที่คนอยากได้เยอะๆกัน อย่างญี่ปุ่นงี้ ก็สละสิทธิ์รอบเขตแล้วรอระดับประเทศ ก็จะนานหน่อย แต่ถ้าไม่มีประเทศที่อยากได้ก็อดเลยนะ เค้าก็จะโทรมาบอกว่ามีประเทศอะไรบ้าง ส่วนใหญ่ที่เหลือเยอะก็จะเป็นจีน อินเดีย ละตินอเมริกา แต่ครอบครัวเราไม่อยากให้เราไปแถบนั้นก็ดลยรอจดหมายมาส่งบ้าน คืออันนี้สุดท้ายละจริง ไม่เอาคือจบ ประจวบเหมาะกับตอนนั้นคือทะเลาะกับแม่ด้วยช่วงนั้น แล้วจดหมายก็มาส่งที่บ้านพอดี
สรุปคือเราได้ประเทศ "อิตาลี"
พอแม่ส่งมาในไลน์ปุ๊ปนี่บอกทันทีว่าไป ไป ไป ไปและไป คือไม่สามารถห้ามได้แล้ว คือจะไป ถ้าครอบครัวไม่ยอมนี่ก็จะถอนตังจากบัญชีตัวเองจ่ายมัดจำรอบแรกไปก่อน มีถึงพอดี(แต่พอแค่รอบแรก แหะ) แต่เขาก็ให้แหละ แต่แม่เรางอแงแบบไม่อยากให้ไป แล้วที่ลุ้นอีกอย่างคือแม่เราเป็นตับอักเสบบี ถ้าเราไปตรวจแล้วเป็นพาหะก็จบเลย วันรอผลเลือดเราแบบจะร้องไห้ ลุ้นมาก พอผลว่าเราปกติดีเรากระโดดร้องเย้ต่อหน้าพยาบาลเลย ไม่ไหวแร้วดีใจมาก แต่นี่ดีใจคนเดียวไง แม่ไม่แฮปปี้
พอตรวจอะไรเรียบร้อยก็ต้องทำเอกสาร อันนี้คือสุดๆละ ยิ่งขอเอกสารจากโรงเรียนนี่น่าเบื่อมาก เดินไปตึกนู้นตึกนี้จนจะเป็นลม ให้อาจารย์เขียนนู่นนี่ให้ ไปขอเกรดจากรรมอต้น บลาๆๆ แต่ยากที่สุดคือเขียนเรียงความแนะนำตัวเอง คิดหนักมากว่าจะเขียนยังไงให้ดูดีแต่ไม่เฟคจนเกินไป ไหนจะกลัวไม่ถูกหลักแกรมม่าอีก แล้วก็ต้องแปะรูปกิจกรรมที่ตัวเองทำหกรูป อันนี้ยากกว่าเขียนอีกค่าาา นี่เป็นปุถุชนธรรมดาแบบธรรมดาที่แท้จริง เพลนยิ่งกว่านมรสจืด แปะตัวเองอ่านแฮร์รี่พอตเตอร์ ดูเนิร์ดๆเด็กขยันมาก รู้สึกขอบคุณตัวเองที่อย่างน้อยเราก็ทำกิจกรรมในโรงเรียนอย่างนึงคือการเต้นโซรัน รอดไปรูป วิ่งเก็บรอบก็ปรินท์มาด้วยนะ เอาให้หมด ทำกับข้าว ถามว่าถ่ายตอนตัวเองทำอะไร อ๋อ ข้าวผัด เออมาสเตอร์เชฟสุดละ ถ่ายรูปตอนกินข้าวกับครอบครัวให้ดูเป็นแฟมิลีเกิร์ล ไปดูงานศิลปะที่หอศิลป์ อันนี้ไม่ไดเฟคเพื่อให้ดูดี แต่คือไปประจำอยู่แล้ว อันนี้ก็รอดตัวไปอีก รูปสุดท้ายก็แปะรูปที่ถ่ายจากกล้องฟิล์ม (อันนี้ก็ไม่ได้พยายามจะเป็นเด็กฮิปหรืออะไรทั้งสิ้น สนใจก่อนมีกระแสกล้องฟิล์มอีก เพราะพ่อชอบถ่ายรูป ค้นเจอรูปฟิล์มที่พ่อถ่ายแล้วอยากถ่ายมั่ง พอกระแสมันมาอะไรแบบนี้เลยค่อยๆรู้แหล่งซื้อ เพราะของพ่อมันพังแหล่ว แต่ถามว่าถ่ายสวยมั้ย ตอบเลยว่าไม่ค่ะ จบการรายงาน)
หนักหนากว่าเอกสารคือโปรแกรมเรียนภาษาRosetta stone อีนี่แบบ เห้อ คือมันน่าเบื่อมาก ที่เบื่อมากๆคือพาร์ทพูด คือมันไม่ยอมให้ผ่านสักทีแม้จะกระแดะพูดสำเนียงจนาดไหน อัดเสียงตอนตัวอย่างพูดแล้วเปิดใส่มันก็ไม่ให้ผ่าน หัวเสียมาก แต่พอพูดสำเนียงไทยคือมึงผ่านให้กูเลยนะ ขอบคุณมากๆค่ะ อืม แล้วที่ชิบหายที่สุดคือเข้าใจว่าเรียนจบแค่บทหนึ่งพอแล้ว คือจบแล้วไง แต่ไม่ค่ะ ต้องได้จำนวนครบ20 ชั่วโมงด้วย โอ๊ยปวดหัวมาก คือต้องรีบปั่น ตอนพักเครื่องที่ดูไบก็ต้องปั่นๆๆๆให้ครบ20 ชั่วโมงก่อนจะเรียกขึ้นเครื่อง นี่เครียดมากว่าจะไม่ครบก่อนไปถึงค่ายที่อิตาลี เพราะถ้าไม่ครบต้องจ่าย €50 ความงกมาเต็ม
และต่อไปนี้ก็จะเป็นเรื่องราวเมื่อต้องเผชิญกับบ้านใหม่และชีวิตใหม่ๆที่จะเป็นส่วนนึงของชีวิตเราตลอดไป
ปอลิง
(จะพยายามเขียนต่อเนื่องที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้)
(แต่เคมีมึงไม่ปราณีกูเลย สอบอีกแล้ว อีเวงงง)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in