6 โมงครึ่งโดยประมาณ เราตื่นขึ้นมา เปลือกตาหนักอึ้ง เราเดินออกไปถ่ายรูปท้องนาบันทึกไว้ลงในมือถือ แต่เราทำไม่ได้ ทนฝืนไม่ไหว ตัดสินใจกลับไปนอนต่อ
9 โมงโดยประมาณ กับการตื่นครั้งที่ 3 ผิดมหันต์ เราฝันร้าย เราจิตตก เรารู้สึกแย่
เดินออกมารับแดดหน้าบ้าน สูบบุหรี่ไปสี่ตัว นั่งทอดหุ่ยอยู่กว่าชั่วโมง
ไม่มีอะไรทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมาได้เลย
สิบโมงโดยประมาณ ตัดสินใจอาบน้ำเก็บสัมภาระ แล้วออกเดินทางต่อดีกว่า ยิ่งช้ายิ่งเสียเวลาไปเปล่า ๆ แวะทานข้าวร้านเดิมที่แวะเมื่อคืน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังจุดชมวิวหินช้างสี ที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
11 โมงครึ่งโดยประมาณ สิ่งดี ๆ ที่พอจะเรียกว่าทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้จริง ๆ ก็คือเส้นทางขึ้นสู่หินช้างสี
มันเป็นทางคดเคี้ยวเลี้ยวซ้าย-ขวา ตลอดระยะทาง เรายืนยันอีกครั้งจริง ๆ ว่าการขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวเขา เป็นอะไรที่สนุกและสุนทรีย์สำหรับเรามาก ๆ ตลอดระยะทางแทบไม่มีผู้คน เรารู้สึกอิสระ และปลอดภัย
บริเวณจุดชมวิวมีคนอื่นอยู่อีก 2 กลุ่ม เป็นกลุ่ม 2 คน และกลุ่ม 3 คน วันนี้แดดดี แต่ยังไม่แรงเท่าเมื่อวาน มีลมพัดประปราย เราเดินไปยังจุดชมวิว มองทอดลงไปยังเขื่อนอุบลรัตน์ด้านล่าง ทุกอย่างดูราบแบน ผืนน้ำดูเรียบสนิท มีแผ่นดินยื่นเข้ามาเป็นหย่อม ๆ พร้อมต้นไม้เบาบาง ตามริมขอบทะเลสาบมีทุ่งนาสีเขียวสลับโทนกันอยู่ให้เห็น มีถนน 2 เลนเส้นเล็กที่เลาะตัวลัดป่ามาเลียบเคียงริมท้องนา ไม่มีรถสัญจรผ่านไปผ่านมาเลยซักคันเดียว วันนี้ฟ้าสีสด มีเมฆก้อนเล็ก ๆ ขยุกขยุยอยู่เต็มท้องฟ้า บรรยากาศจากจุดที่เรามอง ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ เราแทบไม่เจอภูมิทัศน์แบบนี้จากที่ไหนในไทย มันให้ความรู้สึกคล้ายทะเลสาบมากกว่า แถมด้วยถนนเลียบเขื่อนเส้นนั้น น่าสนใจมาก แอบอยากลงไปขี่รถเล่นดูเหมือนกัน แต่เที่ยงแล้ว เราอยากกลับไปนอนพักผ่อนที่ห้องแล้วมากกว่า ยืนชมวิวรับลมอยู่ต่ออีกเล็กน้อยก็ตัดสินใจออกเดินทางต่อทันที
เที่ยงครึ่งโดยประมาณ สรุปว่าเราเลือกวิ่งเส้นทางรองแทนที่จะเป็นทางหลัก ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง ถนนทางรองมักจะมีสภาพถนนที่ดีกว่าทางหลัก เพราะมีรถใช้งานน้อยกว่า มีรถบรรทุกน้อยกว่า มีต้นไม้ข้างทางมากกว่า มีบรรยากาศของการท่องเที่ยวแบบ Road-trip มากกว่า ข้อเสียใหญ่ ๆ อย่างเดียวของเส้นรองที่ดูจะสู้เส้นหลักไม่ได้เลยคือ ขาดแคลนปั๊ม การขาดแคลนปั๊ม = ขาดแคลนห้องน้ำ อ่าา สำหรับเรานี่ก็ดูจะเป็นภาระใหญ่อยู่เหมือนกัน แต่ก็ตัดสินใจวิ่งเส้นรองต่อไปอยู่ดี
บ่ายโมงครึ่งโดยประมาณ เราเลือกวิ่งหนีจากรถปริมาณมหาศาล เข้าสู่เส้นทางรอง จากขอนแก่นสู่ชัยภูมิ ถนนค่อนข้างโล่ง แดดแรงพอประมาณ เมื่อผ่านมาได้ประมาณ 1 ร้อยกิโลแรก เราตัดสินใจว่าจะจอดพักรถเสียหน่อย เลี้ยวเข้าปั๊ม ชะลอรถ รถดับ.. ไม่เป็นไร ชินแล้ว อาการรถดับนี่เรื่องปกติมาก ๆ จอดพักซักแป๊บนึงเดี๋ยวก็ใช้ได้
ห้าโมงครึ่งโดยประมาณ เรามาถึงลพบุรีแล้ว จอดพักรถได้ไม่นาน จู่ ๆ ฟ้าก็มืดขึ้นมากระทันหัน เป็นการมืดแบบฉับพลันทันด่วนจริง ๆ แสงแดดหายวับไปในพริบตา แทนที่มาด้วยลมพัดแรง ขอบฟ้าถูกแทนที่ด้วยเมฆครึ้ม เรารีบออกตัวเดินทางต่อ หวังว่าจะโชคดีอย่างตลอดทริปที่ผ่านมา ที่ยังไม่เจอฝนจริงจังเลยซักครั้งในทริปนี้
แต่ก็ไม่เป็นผล
หกโมงโดยประมาณ นี่คือการเจอฝนเบรกแบบจริงจังครั้งแรกของทริป และเหี้ยมากด้วย ตลอดระยะทางที่วิ่งมา เราจะเจอศาลาริมทาง ที่เหมาะแก่การหลบฝนได้อยู่เรื่อย ๆ แต่ฝนมันยังไม่ตกไง พอเมื่อเข้าสู่เส้นทางที่ตัดกลางระหว่างเขา ฝนก็เริ่มตก และเริ่มหนัก และไม่มีที่ให้หลบฝนเลยแม้แต่ที่เดียว ไม่มีอะไรข้างทางที่พอจะให้เราพึ่งพิงเพียงเพื่อไม่ให้ตัวเปียกได้ เราจำเป็นต้องขับฝ่ากลางสายฝนต่อไปประมาณ 15 นาที ด้วยทัศนวิสัยที่แย่มาก ฝนเม็ดใหญ่ ลมแรง รถเยอะ เราเปียกซ่กไปทั้งตัว สัมภาระที่ขนมาก็ชุ่มไปด้วยน้ำ โชคยังดีที่เป็นขากลับแล้ว เราไม่ได้มีแผนจะค้างคืนที่ไหนอีกแล้ว คืนนี้เราจะนอนห้องเท่านั้น ขับตากฝนไปได้อีกพอประมาณก็เจอศาลาริมทางแรก พร้อมด้วยเพื่อนชะตากรรมอีก 3-4 กลุ่ม นั่งหลบฝนกันอยู่ในศาลา ฝนยังคงตกต่อเนื่องอยู่อีกประมาณสิบนาทีก็หยุด จากนั้นเราจึงได้ออกเดินทางต่อ
หกโมงสี่สิบโดยประมาณ เราตัดสินใจวิ่งทะลุสระบุรี โดยไม่คาดคิดว่ารถจะติดหนักขนาดนี้ แค่ไฟแดงเดียวก็ใช้เวลารอกว่าสิบนาที กว่าจะผ่านไปได้ แวะซื้อกะหรี่ปั๊ปกล่องนึงย้อมใจ แล้วออกเดินทางต่อด้วยความเร่งรีบ
ทุ่มสามสิบโดยประมาณ ขับเร็วไปหน่อย เลยจุดที่ต้องเลี้ยว เลยค้นหาเส้นทางใหม่อีกครั้ง พร้อมกับพักรถไปในตัว เพราะรถดับอีกแล้ว วันนี้เราขี่มาเป็นระยะทางไกลกว่าทุก ๆ วัน เครื่องทำงานหนักน่าดู เริ่มแสดงอาการงอแงให้เห็นบ้างพอรำคาญ ได้เส้นทางใหม่มา เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยรถบรรทุก ก่อนหน้านี้เราเห็นป้ายข้างทางระบุ รถบรรทุกเข้ากรุงเทพ ให้วิ่งเส้นเมืองฉาย (หรืออะไรประมาณนั้น) ไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองจะได้มาขี่มอเตอร์ไซค์วิ่งเส้นนี้กับเค้าด้วย ตลอดเส้นทางมีแต่รถบรรทุกเท่านั้นจริง ๆ สิ่งที่ยังพอจะนับเป็นโชคดีอยู่ได้บ้างคือ มันเป็นถนน 4 เลน ยังพอมีพื้นที่ให้เราวิ่งแซงได้อยู่
สองทุ่มครึ่งโดยประมาณ เราวิ่งตามเส้นทาง ผ่านนิมิตใหม่ เพิ่งเคยมาครั้งแรก วิ่งตรงตัดเข้ามาถึงมีนบุรีได้ก็โล่งใจ เราซื้อรถมาจากมีนบุรี และได้มีโอกาสขับมาทางนี้หลายครั้งมาก แต่ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่ามันสามารถวิ่งตัดเข้ามาจากเส้นอีสานตัดตรงเข้ามาถึงมีนบุรีได้ด้วย
สองทุ่มสี่สิบโดยประมาณ รถดับครั้งที่ 3 ครั้งนี้มาดับตรงกลางไปแดงเลย ตอนกำลังรถติด โคตรพะว้าพะวง ดับกลางแยกนี่อายนะ รีบสตาร์ทมือรัว ๆ ดวงมันยังเหลือ โชคยังพอมี สตาร์ทติดไปได้อีกเปลาะ ก็รีบเอาตัวเองออกมาจากแยกตรงนั้น เหลือระยะทางอีกไม่ไกล สู้หน่อยลูกพ่อ
สองทุ่มห้าสิบโดยประมาณ รอบก่อนดับกลางไฟแดง รอบนี้ดับกลางถนน ไม่ไหวแล้ว อาการเริ่มหนัก พยายามเข็นสตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ยอมติด ตัดใจ เหลืออีก 11 กิโลก็จะถึงที่พักแล้ว เลยยอมจอดพักริมทาง เข้าเซเว่นซื้อบุหรี่มาสูบรอฆ่าเวลา ที่พักมันไม่หนีไปไหนแล้ว สุดท้ายถ้าจะสตาร์ทไม่ติดจริง ๆ แล้วก็ยังพอหารถยกไปได้อยู่ เริ่มปลง 555
สามทุ่มยี่สิบโดยประมาณ หลังจากเผชิญวิบากกรรมทรมานรถมาตลอดห้าวัน ในทึ่สุดเราก็ถึงจุดหมายปลายทางเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ก็ให้รถได้พัก แล้ววันจันทร์คงเอาไปเข้าศูนย์เช็คสภาพและส่งซ่อมแซมตามความเหมาะสมอีกครั้ง
,,
รวมค่าใช้จ่ายของทั้งทริป
ค่าน้ำมัน 1580 บาท
ค่าที่พัก 1750 บาท
ค่ากินดื่มแดก 693 บาท
ค่าซ่อม 3090 บาท
etc. ของฝาก ค่าเข้าอุทยาน 140 บาท
เบ็ดเสร็จ 7253 บาท
แพงชิบหายโว้ยยย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in