เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
to be continue |つづくployapha.j
กวางเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตราย | Nara






  • และแล้วทริปขึ้นเครื่องบินด้วยกันเป็นครั้งที่สามก็ดำเนินมาจนถึงวันสุดท้าย... ซึ่งไหนๆก็มาแล้ว (ประโยคนี้อีกล่ะ) เราก็เลยเอาวะ ไปให้สุด เที่ยวให้ครบ จบคันไซในทริปเดียวโดยการนั่งรถไฟไป นารา เมืองพระใหญ่และกวางน้อยน่ารัก♡







    เอาจริงๆ...ที่อยากไปก็เพราะน้องกวางนั่นแหละ
    อยากไปให้อาหาร อยากไปถ่ายรูปกับแบมบี้น้อยตาใสละมุนละไมจิ้มลิ้ม








    เชี่ยเอ๊ย!


    การมาเที่ยวนาราในวันนี้ทำให้เราเรียนรู้ว่า...


    กวางเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตราย







    แต่ก่อนจะไปเล่าเรื่องกวาง เราก็ขอเล่าเรื่องการเดินทางของเราหน่อยก็แล้วกันนะ วันนี้เราตื่นสาย ก็แน่ล่ะ เมื่อวานไปเหวี่ยงตัวเองในเครื่องเล่นต่างๆที่ USJ นี่นา วันนี้เลยตื่นมาในสภาพแบบพินาศๆนิดๆ ซึ่งจริงๆแล้วกะว่าวันนี้จะเป็นวันสบายๆ ช้อปปิ้งซื้อของฝาก หาของกิน ละลายเงินเยน แต่ไหนๆก็มาแล้วก็เลยตัดสินใจจับรถไฟไปนารากันดีกว่า เพราะเราไม่ได้มาเที่ยวญี่ปุ่นกันทุกวันสุดสัปดาห์ จริงมะ...



    ด้วยความที่ตื่นสาย กว่าจะขยับเขยื้อนเคลื่อนมวลสารมาถึง วัดโทไดจิ (Todai-ji Temple) อันเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของนาราได้ก็เป็นเวลาใกล้เที่ยง โอ้โหหหห มนุษย์เยอะมากพอๆกับกวางที่ยืนๆนั่งๆนอนๆอยู่ ใครจะมาก็ควรมาตั้งแต่เช้าๆเด้อ บอกไว้เลยยยย









    ไม่ลืมถ่ายรูปฝาท่อไว้เป็นที่ระลึก














    เป็นคนดีเข้าวัดก่อน แล้วค่อยออกมาถ่ายรูปเล่นกับน้องกวางที่น่ารักกก










    มาจะกล่าวบทไปถึงความสำคัญของ วัดโทไดจิ Todai-ji Temple เรื่องของเรื่องคือวัดนี้เป็นวัดใหญ่ของเมืองนารา เก่าแก่มากเพราะสร้างตั้งแต่ค.ศ. 743 (บวก 543 เข้าไปก็ได้ พ.ศ 1286!!!)  ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเนื่องจากวัดแห่งนี้เป็นสิ่งปลูกสร้างจากไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภายในวัดมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย







    ชอบตั้งแต่เทพเฝ้าประตูแล้ว งานไม้ดีมาก สวยมากกกกกก ฟินมากเหลือเกิน




































    มีป้ายเตือนเกี่ยวกับน้องกวางเป็นระยะ
    แต่เราก็หาได้ใส่ใจไม่ ถ่ายรูปไว้เฉยๆว่า เฮ้ย เขามีเตือนไว้ด้วยล่ะ
    พร้อมกับคิดได้ใจว่า น้องน่ารักจะตายยยย ตาใสซื่อๆ

















    มีหลายประตูเหลือเกิน ใหญ่มากจ้าาาาา

















    ซื้อบัตรกันก่อน สนนราคาอยู่ที่ 500 เยนเด้อ
















    จริงๆตัววัดนี้ใหญ่มาก ใหญ่บึ้มมมมม
    แต่โดนไฟไหม้ เลยเหลือแต่อาคารตรงกลางไว้เท่านั้นจ้ะ




















    ซึ่งนี่ก็ใหญ่มากๆแล้วอะ เอาจริงๆ


































    เข้ามาก็พบองค์พระประธานที่เป็นพระพุทธรูปไม้แก่สลัก
    องค์ใหญ่และสวยมาก งานละเอียดมาก

    รู้สึกได้ถึงความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนากับการสร้างสรรค์งานแกะสลักนี้





































    กล้องไอโฟนมันกาก ขออนุญาตตัดภาพไปที่ DSLR ค่ะคุณผู้ชมมมมมมมม























































    คุ้มค่า 500 เยนที่เสียให้กับบัตรมาก ควรค่าแก่การเข้ามาชมจริงๆ
    ประทับใจในงานไม้เหลือเกิน













    นอกจากนี้ยังมีมุมเล็กๆที่จัดแสดงโมเดลของวัดโทไดจิไว้ด้วยว่าเมื่อก่อนวัดนี้สวยงามและยิ่งใหญ่เพียงใด

















































    และอีกหนึ่งไฮไลต์กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนวัดโทไดจิแห่งนี้ก็คือ ลอดเสาไม้ด้านหลังพระพุทธรูป คือเสาต้นเนี้ยจะมีช่องอยู่ที่พื้นขนาดพอดีคนลอด ว่ากันว่าใครลอดผ่านไปได้ก็จะได้รับพรให้โชคดี เป็นกิจกรรมคนผอมที่เราก็ขอบายจ้าาา คาดว่าน่าจะติดพุงแน่นอนนนน






    โดยมากก็เป็นเด็กๆนั่นแหละที่มาลอง
    นี่ถ่ายแบบเบลอๆจะได้เป็นการเซนเซอร์หน้าน้องไปด้วยในตัว












    และก็มีจุดให้เขียนกระดานขอพร สามารถเลือกลายได้ตามอัธยาศัย
















    ในวัดก็มีของกุ๊กกิ๊กขายอีกเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องรางต่างๆ พัด แก้ว พระพุทธรูปแกะสลัก และสินค้าลายน้องกวางน่ารักกุ๊กกิ๊กที่น่าดูดเงินในกระเป๋ามาก เย้ายวนเหลือเกิน แต่ก็ดึงสติได้ว่าถ้าซื้อไปเราไม่ได้ใช้นี่หว่า มาวัดต้องละซึ่งกิเลสสิเฮ้ย!
















  • และแล้วก็ถึงกิจกรรมที่เรารอคอย นั่นก็คือถ่ายรูปเล่นกับน้องกวางนั่นเองงงงง ซึ่งไม่ต้องไปไหนไกล เดินออกมาจากวัดก็เจอเล้ยยยย
















    แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการถ่ายรูปกับแบมบี้น้อยใหญ่ทั้งหลายคือการวิ่งไปเก็บเศษถุงพลาสติกจากทัวร์จีน! คือแม่งงงงงงงงงง (อันนี้ด่า ไม่ใช่คำอุทานเสริมบทแต่อย่างใด) นั่งตรงไหน มีขยะกองตรงนั้น แล้วน้องกวางก็คิดว่าอู้ววว นี่คืออาหาร กิน! ซึ่งเราก็ต้องวิ่งไปยื้ดยุดฉุดกระชากไม่ให้น้องกินเข้าไป ฮือออออออ














    และเราก็จะพบกับเด็กดี รักโลก พร้อมโอบกอดกวางทุกตัวด้วยความห่วงใย















    และในขณะเดียวกันก็พบกับเด็กเหี้ยที่วิ่งไปแกล้งกวาง ดึงหางนี่นั่น ช
    จุดนี้คืออยากให้กวางถีบขาคู่ใส่มากๆ มันทำหน้าตารำคาญ แบบไรมึงมะนู้ดจิ๋ว





    เรามีความเชื่ออยู่ลึกๆในดวงจิตว่าเด็กมันไม่ใช่ผ้าขาวหรอก มันเป็นผ้าหลากสีที่สกปรก เพราะเราเกิดมาแตกต่างกัน คนละสี สีความชอบ ความถนัดอะไรต่อมิอะไรที่ต่างกัน และรอยด่างรอยดำของผ้านั้นมันคือสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอด ความเขลา ความไม่รู้ ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้เดียงสาประหนึ่งผ้าขาวที่ซักด้วยไฮเตอร์


    ผู้ใหญ่เนี่ยแหละที่จะต้องเป็นคนคอยซักเอาไอ้พวกรอยดำ รอยเปื้อนต่างๆให้หายไป ทำให้ผ้ามันสะอาด หอมแดด เป็นหน้าที่เราที่ต้องคอยสอนและขัดเกลาให้เด็กๆเหล่านี้เติบโตขึ้นมาเป็นประชากรโลกที่มีคุณภาพ





    เด็กไม่ใช่อนาคตของชาติหรอ
    เด็กคือปัจจุบันของชาติเลยแหละ










    มาเรื่องกวาง ทำไมวกไปเรื่องเด็กได้วะ... อะ กลับมาที่กวางกันต่อ คือตรงหน้าวัดเนี่ยแหละเป็นแหล่งที่กวางมาชุมนุม เขาก็จะมีร้านขายคุกกี้กวางราคาแพคละ 150 เยน หน้าที่ของเราคือไปซื้อและค่อยๆบิให้กวางที่น่ารักกินด้วยความเอร็ดอร่อย

























    โหยหาความรักความเมตตา หิวความศรัทธาความมั่นใจ











    ภาพในหัวที่คิดไว้คือให้อาหารกวางสวยๆเหมือนวิญญาณเจ้าหญิงดิสนีย์เข้าสิง ประหนึ่งเราคือร่างสองของสโนไวท์ก็มิปาน...






    นี่คือสิ่งที่ฉันคิด งดงามมม














    นี่คือภาพดีๆเพียงหนึ่งเดียวที่ฉันได้
    ใจจริงคือมีซีนยิ้มให้กล้องด้วยสีแววตาแจ่มใส รักกวาง รักพ่อแม่ รักโรงเรียน











    และนี่คือความเป็นจริง






    ...















    เห็นรอยเท้ากวางตรงขามั๊ยคะ นั่นแหละ กวางยกขาหน้าขึ้นมาตะกายจะเอาคุกกี้ อีตัวตรงกลางนี่ใจทรามมาก พอไม่ให้มันก็กัดด้วยเว้ย โดนงับขา ต้องโยนชิ้นเล็กๆให้มันก่อนแล้วใช้จังหวะนี้บิชิ้นใหญ่ๆให้กวางตัวอื่นเพราะกลัวน้องตัวอื่นจะโดนแย่งอาหาร (ยังมีจิตรักสัตว์) ซักพักมันเริ่มรู้ทันก็เอาหัวมาขวิดตลอดเวลา ต้องถือคุกกี้แล้ววิ่งหนี ฮืออออ อยากจะโยนทิ้งมากแต่เราต้องเอาคุกกี้ให้กวางตัวอื่นที่ไม่ได้กินไง ตัวนี้นิสัยไม่ดีแกล้งเราและแกล้งเพื่อนเราไม่ให้!










    นี่อยู่หน้าวัดโทไดจิหรือจูราสสิก เวิล์ดหรออออออออ
    กวางเกรี้ยวกราดเหลือเกิ๊น














    และก็เจอกวางน้อยนิสัยดี 1 ea จึงได้ชักภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกก่อนกลับ ฮิฮิ
















    และไม่ลืมกินซอฟครีมประจำวัน
    เรากินรสมันหวาน อร่อยดี มีชิ้นมันเล็กๆให้กินกรุ๊บๆด้วย







    จากนั้นเราก็รีบเคลื่อนตัวกลับโอซาก้าเพราะต้องไปซื้อของจุ๊งจิ๊งก่อนกลับแถวๆย่านอูเมดะ กินอุด้งถูกๆแถวๆซอยๆหลืบๆตรงนั้น เป็นการทิ้งท้ายทริปญี่ปุ่นในครั้งนี้ก่อนที่จะเดินทางไปที่สนามบิน โหลดกระเป๋า ขึ้นเครื่อง นอนยาวจนถึงสุวรรณภูมิ สมุทรปราการรรรรรร


















  • ทำไมถึงชื่อว่า つづく | โปรดติดตามตอนต่อไป


    และแล้วการเดินทางไปญี่ปุ่นด้วยกันเป็นครั้งแรกของเราที่ขึ้นเครื่องบินด้วยกันเป็นครั้งที่สามกับทริปกินหรู อยู่สบาย งบบานมากมายในญี่ปุ่นของฉันและเขาที่เราไม่กล้าเอาไปลงพันทิปก็ดำเนินมาจนถึงหน้าสุดท้ายแล้วล่ะ :)


    เราคิดชื่อเรื่องนี้ได้ตอนที่เครื่องกำลังเทคออฟออกจากท่าอากาศยานนานาชาติคันไซแหละ พอตอนที่เห็นแสงไฟเบื้องล่างค่อยๆริบหรี่ลงทุกทีก็แอบใจหายอยู่หน่อยๆเพราะทริปที่ไปด้วยกันในรอบนี้สนุกมากและเราไม่อยากให้มันจบลงเลย อยากจะเที่ยวไปด้วยกันเรื่อยๆ (แต่เงินหมดแล้วต้องกลับไปทำงานเด้อ)


    เราว่าการออกเดินทางไปท่องเที่ยวนั้นมันเป็นการเหวี่ยงตัวเองให้ออกจากจุดที่คุ้นเคยไปพบเจอสิ่งใหม่ๆและสถานการณ์ประหลาดที่ไม่อาจพบได้ในชีวิตประจำวัน บางคนออกไปท่องเที่ยวเพื่ออยากค้นพบอะไรใหม่ๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆ เรียนรู้โลกกว้าง แต่สำหรับเรา นอกจากจะได้ออกไปค้นพบเรื่องราวใหม่ๆแล้ว การออกไปท่องเที่ยวคือการค้นลงไปในใจตัวเอง รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เจอเหตุการณ์แบบนี้แล้วจะตัดสินใจอย่างไร เชื่อสัญชาติญาณตัวเองได้หรือไม่





    แต่ทริปนี้มันแตกต่างออกไปเพราะมีคนไกลตัวแต่ใกล้ใจหอบหิ้วตัวติดกันไปด้วยอีกหนึ่งคน





    เราเที่ยวคนเดียวจนชิน จากที่เคยคิดถึงแต่ตัวเองว่าตอนนี้ฉันหิว ฉันกิน ยังไม่หิวก็เที่ยวต่อ ก็ต้องมาคิดถึงคนข้างๆด้วยว่าไหวไหม โอเครึเปล่า ไปเล่นเครื่องเล่นเหวี่ยงๆต่อๆกันได้มั๊ย

    จากที่เคยเอาวะ อยากไปที่นี่ก็ไป เปิดกูเกิลบอกให้เลี้ยวซ้ายก็ซ้าย เดินทางนี้ก็ไปทางนี้ กลายมาเป็นเออ คนข้างๆคิดว่ายังไง อยากไปรึเปล่า





    ด้วยเหตุนี้ทำให้ทริปเจ็ดวันในคันไซนี้สอนให้เราเรียนรู้หลายอย่างนอกจากความญี่ปุ๊นญี่ปุ่นที่ละมุนละไม นั่นคือ ได้เรียนรู้ตัวเองเพิ่มขึ้นเมื่อมีเขามาร่วมทาง เราพบว่าตัวเองเป็นคนขี้หงุดหงิดใจร้อนพอสมควรเนื่องจากชินที่ลุยเดี่ยวตลอดมา อยากไปไหนก็ไปเลยไม่รอไม่อะไรทั้งนั้น นอกจากนี้เราก็ได้รู้จักเขามากขึ้นไปจากเดิมที่เดือนนึงเจอกันสองสามครั้ง พอกลายมาเป็นตัวติดกัน 24 ชั่วโมง เออ มันก็ประหลาดดี ได้เห็นมุมน่ารักกุ๊กกิ๊กใจดีอ่อนโยนของเขามากขึ้นและหงุดหงิดขัดใจกันในหลายเรื่อง ฮา


    อีกทั้งเราได้เรียนรู้ว่า “เรา” รู้ว่าต้องปรับอะไร จูนตรงไหนถึงจะไม่ตีกันตายไปก่อน ก็ได้เห็นความสัมพันธ์ที่มันเติบโตไปอีกนิดนึง มีเรื่องให้ย้อนกลับมาคุยกันแล้วขำหรือมาย้อนดูรูปที่ถ่ายด้วยกันแล้วมีเรื่องให้คิดถึง






    "โปรดติดตามตอนต่อไป" ที่เขียนทิ้งท้ายไว้ในทุกๆตอนก็เพราะอยากให้ทุกคนได้ตามอ่านเรื่องราวของเราไปเรื่อยๆจนจบทริป และการเขียน "โปรดติดตามตอนต่อไป" ทิ้งท้ายไว้ในบทนี้ก็เพราะอยากให้เรื่องราวของเราสองคนดำเนินกันไปเรื่อยๆ ค่อยๆเก็บเกี่ยวช่วงเวลาดีๆ หมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจกันไปทุกวัน



    รอคอยทริปหน้าและการขึ้นเครื่องบินด้วยกันเป็นครั้งที่สี่อยู่เสมอ










    つづく
    โปรดติดตามต่อต่อไป

    ฝากตัว ฝากรัก และฝากใจข้ามขอบฟ้าให้คุณทุกวัน




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in