เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Music is a part of meDectillJan
ความทรงจำของคุณเกี่ยวกับ Linkin Park เป็นแบบไหน

  • (คำเตือน : เขียนแบบไม่ได้ตั้งใจแต่ยาวอย่างเรียงความ)


    วันที่ 21 กรกฎาคม เกือบ 6 โมงเช้าเราตื่นมาอาบน้ำจะไปทะเลกับที่บ้าน 
    ประโยคแรกที่พี่เราทักในเช้าวันนั้น คือ "รู้เรื่องยัง"

    เราก็แบบ "อะไร?" เรื่องอะไรวะ รู้แค่มันต้องเป็นอะไรที่ไม่ดีแน่ๆ ดูจากสีหน้าของพี่เรา และด้วยเซนส์ประหลาดๆ แล้วพี่เราก็พูดชื่อๆ นึงขึ้นมา "เชสเตอร์.."
    เราสตั๊นไปพักนึง คือพี่เรายังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เราถามกลับก่อนเลยว่า "เชสเตอร์ทำไม? ตายหรอ?!!"
    คือเราว่ามันไม่น่าจะเป็นอย่างอื่น ถ้าพี่มาถามเราแบบนี้แต่เช้า ซึ่งมันบ้ามากจริงๆ
    แล้วพี่ก็บอกเราว่า "ตายแล้ว  เค้าบอกว่าฆ่าตัวตาย..."



    ประโยคแรกที่เราพูดออกมาคือ เห้ย ตอนไหน เมื่อไหร่ อะไรวะ ยังไม่ได้ไปดูคอนเสิร์ตเลยนะ อะไรวะ ทำไมอ่ะ ทำไมรีบอ่ะ อะไรวะ จริงหรอวะ บ้าป่ะเนี่ย บ้าหรอ แล้วก็ได้แต่ถามคำถามวนไปวนมา สติไม่ค่อยมี คือวันนี้กรูจะไปทะเลนะ แล้วนี่มันเรื่องอะไรวะเนี่ย อะไรวะเนี่ย บ้าไปแล้ว อะไรวะเนี่ย........


    หลังจากที่รู้ว่าเชสเตอร์เสีย เราไม่ยุ่งกับโซเชี่ยลเลยเป็นวันๆ รู้สึกไม่โอเค ทำใจไม่ได้ ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากดราม่า รับไม่ได้ ไม่อยากเศร้า และไม่เคยคิดว่ากรูจะรู้สึกแย่ได้ขนาดนี้ เพราะเราไม่ได้เป็นแฟน Linkin Park แค่โตมาด้วยกันเฉยๆ และเพลงของ Linkin Park ที่เชสเตอร์ร้องมันก็ช่วยเราเอาไว้ในหลายๆ ครั้ง แล้วเราก็ยังไม่เคยไปดูคอนเสิร์ตเค้า ทั้งๆที่เรากับพี่ตั้งใจกันว่าจะไปดูด้วยกันให้ได้ในชีวิต.
     


    หลังจากที่เชสเตอร์เสีย ความทรงจำของเราเกี่ยวกับ Linkin Park ก็ค่อยๆ ซัดเข้ามาในหัว


    เรารู้จัก Linkin Park ตั้งแต่เมื่อชาติที่แล้ว สมัยที่ช่องเพลงอย่าง MTV , Channel V ยังรุ่งเรือง แทบจะเรียกได้ว่าก็โตมาด้วยกัน เพราะพี่สาวเราชอบแร็พท่อนของไมค์ ชิโนดะให้เราได้ยินบ่อยๆ จนรำคาญแต่ก็ดันซึมซับหลายๆ เพลงของ Linkin Park ได้โดยที่ไม่ต้องซื้อซีดีมาฟัง 


    เอ็มวีแรกของ Linkin Park ที่เราจำได้คือเพลง Papercut ความทรงจำของเราตอนนั้นมันเป็นเอ็มวีที่น่ากลัว และคิดว่ามันเป็นเพลงที่รุนแรง ไม่ใช่สไตล์555 เพราะตอนนั้นเรายังเป็นเด็กที่ชอบดูแต่เอ็มวีที่มันเป็นการ์ตูน อย่างของ Daftpunk หรือ Gorillaz หรือ Callifornication ของ Redhot แต่ถึงงั้นก็โตมาเรื่อยๆ กับเพลงของ Linkin Park จากการที่พี่เราร้องให้ฟังและเปิดวิทยุเสียงดัง
    สมัยนั้นเราคิดว่าการแร็พท่อนไมค์ ชิโนดะ มันเป็นอะไรที่ยากสุดๆ และชีวิตนี้คงไม่สามารถแร๊พตามได้
     


    ตอนนั้นไม่ได้ฟัง Linkin Park จริงจัง เพราะชอบเพลงป๊อป (สมัยนั้นเพลงป๊อปมันดีกว่าสมัยนี้เยอะ)
    เวลาที่ได้ยินชื่อของ Linkin Park เราก็จะนึกภาพออกแค่ เป็นวงเท่ๆ (ที่ In The End แม่งดังชิบหาย ร้องกันได้เต็มบ้านเต็มเมือง แว๊นชอบตรึม) มีความร็อคแล้วก็แร็พ บางครั้งก็รำคาญที่ ไมค์ ชิโนดะชอบแร๊พขั้นตอนเชสเตอร์กำลังร้อง คือฟังไม่ทัน แล้วบางครั้งก็รำคาญที่เชสเตอร์ชอบแหกปากจนเส้นเลือดขึ้นคอ ขั้นไมค์ ชิโนดะ แร๊พ ตอนนั้นที่ไม่สนใจดนตรีเลยรู้สึกว่าจะแย่งกันร้องทำไมวะ


    การฟังเพลง Linkin Park ในตอนเด็ก ก็เลยจำได้แต่ท่อนฮุค รู้แค่ว่ามันส์ แต่ความหมายของเพลงเราก็ไม่ได้อิน เพราะก็ยังไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ รวมไปถึงเข้าใจความทุกข์ที่อยู่ในใจ...........


    แต่วันนึงเราก็มาเริ่มสนใจ Linkin Park อีกครั้ง เพราะเราชอบเพลงของ Fort Minor โปรเจ็คของเฮียไมค์ ชิโนดะ แต่เสียดายที่ทำออกมาไม่กี่เพลง (แต่เพลงดีนะ แนะนำ) 


    โตขึ้นมาหน่อย เราเข้าใจภาษาอังกฤษ แล้วก็เข้าใจความทุกข์ แล้วก็เริ่มมีความรู้สึกแย่ๆ ในชีวิต
    และตอนนั้น Waiting For The End ของ Linkin Park ก็ออกมาพอดี เราชอบ Waiting For The End ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง เราได้ยินเพลงนี้จากวิทยุรู้แค่เป็นเพลงของ Linkin Park เลยเอาเนื้อเพลงไปเสิร์ชว่าเป็นเพลงอะไร และตั้งแต่ตอนนั้น Waiting for the end ก็กลายมาเป็นเพลงที่เราฟังมันทุกครั้ง เวลาที่รู้สึกแย่ธรรมดาจนถึงแย่ขั้นหนัก สำหรับเรามันเป็นเพลงที่ให้พลังได้จริงๆ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เป็นเพลงที่ทั้งเพราะ ทั้งดี เหมือนเป็นเพื่อนคนนึง แล้วก็เป็นเพลงที่ร้องแทนความรู้สึกที่เหนื่อยล้าของคนเราออกมาได้ คือมันดีทั้งท่อนของเชสเตอร์ แล้วก็ท่อนของไมค์ และพาร์ทของดนตรีทั้งหมด ยกให้เป็น Top fav เพลงนึงของ Linkin Park 


    และเพลงอีกหลายๆ เพลงของ Linkin Park ก็ช่วยเราไว้ได้หลายครั้งตอนที่เรารู้สึกแย่กับชีวิตมันไม่ใช่แค่เพลงร็อคธรรมดาทั่วไปที่ฟังเอามันส์  โยกจนหัวหลุดออกจากบ่า สครีมคอแตก ฟาดกระเดื่องเอาตาย ซาวด์กีต้าร์รุนแรง จนไม่สามารถเก็บเกี่ยวความรู้สึกแท้ๆ ที่อยู่ในเพลงได้ 
    และก็ไม่ใช่แค่เท่ ไม่ใช่แค่ดนตรีดี หรือแค่เสียงร้องดี 


    เพลงของ Linkin Park มันสวยงามกว่านั้นมาก เพราะเพลงของพวกเค้าสามารถถ่ายทอดออกมาแทนความเจ็บปวดที่คนเรามี และความรู้สึกลึกๆ ที่เรารู้สึก แต่ว่าไม่เคยพูดออกมา เหมือนบอกว่าชีวิตนี่แม่งเหนื่อยเนอะ อยากจะแข็งแรงแต่ก็ดันอ่อนแอ มีคำถามมากมายที่นายยังหาคำตอบให้มันไม่ได้ซักที แต่ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละ สุดท้ายมันจะผ่านไป โลกนี้มันไม่ได้สวยงาม อุปสรรคก็เยอะ แต่เอาเหอะ สู้หน่อย ฉันเข้าใจนาย มันให้ความรู้สึกประมาณนั้น


    โดยหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่สร้างความสมบูรณ์แบบและความสวยงามให้กับบทเพลงของ Linkin Park ที่ขาดไม่ได้เลย (แต่ก็ได้ขาดไปแล้ว...) คือการถ่ายทอดอารมณ์ของเชสเตอร์ เชสเตอร์ร้องเพลงทุกเพลงออกมาจากจิตวิญญาณ จากความทรงจำ จากความรู้สึก และจากตัวตนทั้งหมดของเค้า 
    และเมื่อเชสเตอร์ถ่ายทอดทุกอย่างออกมาจากใจ มันก็เลยสามารถเข้าไปถึงในใจของคนที่ฟังเพลงของเค้าได้ และมากไปกว่านั้น เพลงที่เชสเตอร์ร้อง ก็สามารถช่วยปลอบประโลมความรู้สึกที่แหลกสลายและเยียวยาบาดแผลของหลายๆ คนเอาไว้ได้ และช่วยโอบกอดจิตใจของคนมากมายเอาไว้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดสวยหรู หรือประโยคเลี่ยนๆ ใส่เข้ามาในเพลงแม้แต่ประโยคเดียว


    และมันน่าเศร้าที่เพลงของเค้าที่ช่วยโอบกอดหัวใจของผู้คนมากมายเอาไว้ได้ กลับไม่สามารถช่วยเค้าได้ และมันโคตรเจ็บปวดเลย ที่หลายๆ ครั้งเวลาที่เรารู้สึกแย่เชสเตอร์เคยช่วยเราเอาไว้ แต่เรากลับไม่สามารถช่วยอะไรเค้าได้เลย แม้กระทั่งจะเอ่ยคำขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่เค้าได้ให้กับโลกใบนี้.



























Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in