ผมรู้สึกตัวตื่นกลางดึกเพราะเสียงฝนที่ตกลงมาราวกับโกรธเคืองทุกอย่างเบื้องล่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังคาที่กั้นระหว่างท้องฟ้ากับศีรษะของผมเอาไว้ เพราะอยู่ห้องเดี่ยวชั้นบนที่เหมือนเอากล่องจิ๋วไปวางซ้อนตัวบ้านใหญ่ข้างล่าง เสียงเม็ดฝนตกกระทบจึงดังเหมือนฟ้าถล่มจนน่ากลัว หนำซ้ำยังมีเสียงลมหวีดหวิวสลับกับฟ้าลั่นครืนครางเป็นพัก ๆ อีก ผมนอนพลิกซ้ายทีขวาทีในความมืดสลับกับแสงสว่างวาบ ใช่ว่าผมจะเป็นพวกสะดุ้งกลัวฟ้าร้องแต่อย่างใด ก็แค่ทุกอย่างมันอึกทึกเกินข่มตาลงอีกครั้งก็เท่านั้น หลังจากพยายามกล่อมตัวเองให้หลับอย่างไร้ประโยชน์อยู่ราวครึ่งชั่วโมง ผมก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วไปหยิบเสื้อกันฝนในเป้ออกมา ขณะนั้นนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์บอกเวลาตีสองสิบเอ็ดนาที ผมวางมันไว้บนโต๊ะข้างเตียงดังเดิมก่อนออกมา
หยาดน้ำจากฟ้าเย็นเฉียบ ยิ่งไปกว่าคือออกจะเจ็บเมื่อฝนเม็ดโตสัมผัสกับผิว เพราะว่าลมค่อนข้างแรง ทิศทางของสายฝนจึงเฉียงมาปะทะกับใบหน้าของผมพอดี ผมพยายามดึงฮู้ดที่ชอบเลื่อนลงไปข้างหลังมาบัง แต่นั่นดูจะไม่ช่วยเท่าไร วูบหนึ่งผมนึกว่าจะโดนลมพัดปลิวเสียแล้ว หลงจินตนาการภาพตัวเองเหมือนตัวการ์ตูนที่ฝ่าลมฝนไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าทั้งที่ความจริงไม่ได้ยากเย็นขนาดนั้น อุปสรรคอย่างเดียวน่าจะเป็นสายตาที่ย่ำแย่ในเวลากลางคืนของผมมากกว่า แต่ท่ามกลางฝนกระหน่ำแบบนี้ แว่นสายตาก็คงเกะกะมากกว่าอำนวยความสะดวกให้ ผมจึงต้องพึ่งไฟสลัวในซอยและความเคยชินนำทาง ระหว่างนั้นก็เผลอเหยียบถุงขยะและตกใจที่มีหนูท่อวิ่งตัดหน้าไปสองหน เมื่อผ่านไปสักพักถึงค่อยรู้สึกชอบใจที่ฝนตกลงมาโดนร่างกายไม่หยุดหย่อนราวกับอยู่ใต้ฝักบัวยักษ์ที่แผ่ขยายไปทุกทิศทาง ทว่ามีจังหวะและท่วงทำนองเฉพาะตัวที่คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ ไม่สิ อาจรวมเหล่าเทพแห่งฝนอีกหลายคนด้วยก็เป็นได้ ไม่รู้ทำไมอยู่ ๆ ก็เห็นภาพพวกเขายืนบนเมฆแล้วเอียงบัวรดน้ำลงมาจนเป็นฝนห่าใหญ่ ทำเอาผมยิ้มหน้าบานให้จินตนาการของตัวเอง หากใครบังเอิญเดินสวนกันก็คงคิดว่าผมเป็นคนเมามายไร้สติ เพราะไม่น่ามีคนดี ๆ ที่ไหนออกมาเดินตากฝนเอาป่านนี้หรอก แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ผมคิด
น่าเสียดายที่ผมไม่เจอใครเลยตลอดทาง รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่หน้าคาเฟ่ของคุณลุงเสียแล้ว อันที่จริงผมไม่ได้ตั้งใจมาที่นี่แต่แรก คิดเพียงว่าจะเดินอาบฝนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหนาวและเหนื่อยไม่ไหวแล้วค่อยกลับบ้าน หากแสงไฟสีส้มนวลในร้านไม่สว่างโร่ท่ามกลางราตรีขนาดนั้น ผมก็คงเดินผ่านเลยไปโดยไม่เหลียวมองด้วยซ้ำ แน่นอนว่ากระจกบานโตมีไอน้ำเกาะจนพร่ามัวเหมือนเคย แต่มองด้วยตาเปล่าก็ดูออกว่าไม่มีเงาราง ๆ ของลูกค้าที่นั่งอยู่อีกฝั่ง ผมหลบไปถอดเสื้อกันฝนใต้กันสาดแล้วพาดมันกับรั้วปูนเตี้ย ๆ ก่อนจะผลักประตูเข้าไปด้านใน ป้ายที่แขวนอยู่พลิกเป็น "ปิด" เรียบร้อยแล้ว
ผมเดาผิดเรื่องที่ว่าไม่มีลูกค้า ผู้ชายสวมโค้ตยาวสีดำที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์หันหลังมามองผม ตรงหน้าเขามีกาแฟเย็นแก้วใหญ่ตั้งอยู่ ทั้งที่ที่นี่เป็นที่ประจำของตัวเอง แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเป็นผู้บุกรุกอย่างบอกไม่ถูก คุณลุงเองก็ปิดบังความประหลาดใจไว้ไม่มิดที่เห็นผมก้าวเข้าร้านมา ผมต่างหากที่ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเขายังไม่ปิดร้านแล้วกลับบ้านนอนสักที ไม่ใช่ว่าเขาดันเปลี่ยนเวลาปิดร้านใหม่โดยที่ผมไม่รู้หรอกนะ
"ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ทำไมสภาพเป็นแบบนี้ล่ะ" คุณลุงทัก ถึงจะใส่เสื้อกันฝน แต่ของพรรค์นั้นต้านทานพายุฝนได้ที่ไหนกัน หยาดน้ำบนปลายผมหยดติ๋งลงมาเข้าตา แถมใบหน้าก็เปียกเหมือนเพิ่งไปจุ่มน้ำมาอีกแม้แต่เสื้อยืดกางเกงนอนก็ยังชื้นด้วยละอองฝนจนผมชักตัวสั่นขึ้นมาแล้ว ผมรีบถูมือเข้าด้วยกันแล้วลูบแขนที่ขนลุกชันทั้งสองข้าง คุณลุงคงเวทนาถึงบอกว่ารอน้ำเดือดสักครู่ เดี๋ยวจะชงอะไรร้อน ๆ ให้
"บนโลกนี้มีคนชอบฝนมากกว่าที่คิดนะเนี่ย" คุณลุงรำพึง ผมไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงผมหรือสุภาพบุรุษอีกคนที่นั่งดื่มกาแฟเย็นเงียบ ๆ กันแน่ บรรยากาศรอบตัวของชายคนนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง เขาน่าจะอายุราวสี่สิบ ผมสีดำขลับตัดรองทรงต่ำดูเรียบร้อย ดวงตาเรียวเล็กและริมฝีปากที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ทำให้ใบหน้าของเขาดูเย็นชา โดยรวมแล้วทำให้ผมนึกถึงพวกอัยการหรือนักกฎหมายเจนสนาม แต่อาการที่เขาเอียงคอแล้วเหล่มองเจ้าของร้านทำให้อดคิดไม่ได้ว่าบางทีเขาอาจเพี้ยน ๆ แบบผม
"เมื่อกี้เขาได้แวะมาไหมครับ คนที่ชอบดื่มมิลค์เชคน่ะ" ผมถาม ถึงจะทำเป็นใจแข็งตลอดหลายวันที่อากาศอบอ้าว แต่สุดท้ายความพยายามก็พังไม่เป็นท่าเมื่อฝนเม็ดแรกร่วงหล่นจากฟ้า จิตใจของผมก็คือขนมสายไหมดี ๆ นี่เอง
"ไม่เห็นหลายวันแล้วแฮะ" คุณลุงตอบ ก่อนจะหันไปพูดกับชายลึกลับที่นั่งข้าง ๆ ผม "พ่อหนุ่มคนนั้นก็เหมือนคุณเลย ชอบแวะมาตอนฝนตกแล้วสั่งอะไรเย็น ๆ ดื่มทุกที"
ผมหูผึ่ง หันไปจ้องเขาอย่างไม่ปิดบัง ชายคนนั้นเองก็ปรายตามามองผมแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้าเบา ๆ
"พายุต่างหากครับ" เขาเอ่ยขึ้นมาเป็นครั้งแรก น้ำเสียงทุ้มนุ่มหู "ผมมาตอนที่พายุเข้า"
"จริงด้วย" คุณลุงหัวเราะ
"แต่นี่ยังเรียกว่าพายุไม่ได้หรอกครับ" ชายแปลกหน้ายิ้มตอบ รอยยิ้มนั้นเย็นเยียบยิ่งกว่าฝนที่ผมตากเมื่อครู่นี้เสียอีก เราสบตากันสั้น ๆ และผมเป็นฝ่ายเบือนหน้าไปก่อน "พายุจริง ๆ ยังไม่ทันเริ่มงานเลย"
"ตายจริง แบบนี้คงต้องปิดร้านนอนซะแล้วมั้ง ถ้าน้ำท่วมอีกก็จบเลย" คุณลุงถอนหายใจ เดินเอาโกโก้ร้อนควันฉุยมาเสิร์ฟให้ผมแล้วบุ้ยใบ้ไปยังคนข้าง ๆ "คุณคนนี้เขาทำนายเรื่องพายุได้แม่นเหมือนพยากรณ์อากาศเลยล่ะ ไม่ใช่แค่จะมาเมื่อไหร่ แต่รวมถึงหนักหนาแค่ไหนด้วย อย่างหน้าร้อนปีก่อนฉันโชคดีที่ได้คำเตือนเรื่องเอารถไปจอดบนเนิน ย้อนไปอีกก็เรื่องตัดกิ่งไม้กับซ่อมรั้ว ไม่งั้นคงลำบากแย่"
"คราวนี้ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ" ชายที่มาพร้อมพายุว่า "อาจจะแค่ไฟดับสักเล็กน้อย ถ้าจุดเทียนก็โปรดระวังด้วยนะครับ ถึงฝนจะตกหนัก แต่เพลิงก็ยังเผาผลาญได้อยู่"
ผมบอกไม่ถูกว่านั่นเป็นคำเตือนจากใจหรือมุกตลกร้ายที่คล้ายคำขู่กันแน่ ชายแปลกหน้าดื่มอเมริกาโน่เย็นจนหมดแก้วแล้วหยิบธนบัตรในกระเป๋าเสื้อออกมาวางบนโต๊ะ เอ่ยปากยั้งเจ้าของร้านที่กำลังควานหาเงินทอนในลิ้นชัก "ถือว่าเป็นค่าล่วงเวลาแล้วกันครับ" เขาพูดอย่างสุภาพ จากนั้นก็หยิบกระเป๋าเอกสารบนเคาน์เตอร์แล้วลุกไปคว้าร่มสีดำที่วางพิงประตูไว้ ร่างสูงในเสื้อโค้ตยาวยืนหันหลังมองออกไปนอกประตูเหมือนเงาทะมึน ดูเผิน ๆ เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะยอมเปียกปอนดีหรือไม่ ในเมื่ออุปกรณ์ในมือคงต้านทานไม่อยู่ ผมนึกถึงคำพูดของเทพแห่งฝนที่ว่าพวกพ้องของเขาบางคนไม่ชอบสภาพอากาศที่ตัวเองสร้างเท่าไร ดูเหมือนชายผู้มากับพายุจะเป็นประเภทนั้น
"จริงสิ" เขาหันหลังกลับมาในที่สุด ไม่ใช่เพราะเปลี่ยนใจ แต่เป็นเพราะต้องการพูดทิ้งท้ายกับผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนกระดาษเปล่า ซึ่งขัดกับถ้อยคำแสดงความหวังดีอย่าง "ถึงจะชอบฝนแค่ไหน แต่ไม่ควรเดินตากฝนตอนดึกนะครับ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา" อย่างร้ายกาจทีเดียว ไม่แน่ว่าเขาอาจเป็นห่วงผมจริง ๆ ก็ได้ ถึงจะยังสงสัยว่านั่นหมายถึงสุขภาพของผมอย่างเดียวจริงหรือ เขายิ้มให้เจ้าของร้านเป็นครั้งสุดท้าย สีหน้าดูมีชีวิตขึ้นมาหน่อย ก่อนจะหายลับไปพร้อมกับบานประตูที่ปิดลง
"นี่คุณเปิดร้านให้เขาจนดึกเลยเหรอ" ผมถามคุณลุงที่ยืนเช็ดแก้วอยู่
"ก็ส่วนหนึ่ง แต่ฝนตกดันหนักจนไปไหนไม่ได้น่ะสิ" เจ้าของร้านตอบ "อีกอย่างเขาก็เป็นลูกค้าประจำ จะเรียกแบบนั้นได้ไหมนะ เหมือนว่าเขาทำงานที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ แต่ว่าจะกลับมาปีละสองสามหนน่ะ มาทีไรก็คุยเพลินทุกที แถมมีของฝากให้ด้วยนะ" ว่าแล้วเขาก็เปิดตู้เย็นแล้วหยิบกล่องช็อกโกแลตจากเบลเยียมออกมาอวด แววตาหลังแว่นกรอบกลมเป็นประกายทีเดียว
"ดูท่าทางไม่ใช่คนแบบนั้นเลย" ผมออกความเห็นตรงไปตรงมา "พวกคุณรู้จักกันมากี่ปีแล้วเนี่ย"
คุณลุงบอกตัวเลขที่ทำให้ผมตกใจจนอ้าปากค้าง
"เขามาตรงเวลาเสมอ" เจ้าของร้านถอนใจปนขำ "เหมือนฤดูกาลเลย"
เหมือนฤดูกาล ผมทวนคำในใจ ในเมื่อโลกนี้มีคนเฝ้ารอให้ฝนตกอย่างผมอยู่ จะเป็นไปได้หรือไม่ที่ฝนเองก็ปรารถนาจะตกลง ณ บางแห่งหนเป็นพิเศษเหมือนกัน ผมจะเก็บเรื่องนี้ไว้ถามเทพแห่งฝนคราวหน้า ถ้าหากตารางงานของเขาบันดาลให้ฝนตกใกล้ ๆ ผมอีกครั้ง ผมหวังว่าเขาจะไม่เดินจากไปเหมือนเมฆโดนลมพัดเร็วรี่ หรือไม่อย่างนั้นก็ขอให้เราเป็นเช่นฤดูกาล ได้โปรดเป็นฤดูกาลด้วยเถอะ —
ระหว่างทางกลับบ้าน จู่ ๆ ฝนก็ซาลงอย่างน่าอัศจรรย์ ลูกสุนัขตัวอ้วนที่คุณลุงจูงวิ่งนำหน้าไปอย่างร่าเริง
/คิดถึงคุณกิ๊ฟนะคะ หวังว่าจะสบายดีและยิ้มได้อยู่บ่อยๆ เหมือนเราตอนที่ได้อ่านงานเขียนคุณกิ๊ฟ :]