ลูกหมาชื่อว่า พี
เจ้าของร้านตั้งเอาเองเสร็จสรรพ เอ่ยเรียกให้ฟังเมื่อผมไถ่ถามถึง ราวกับรีบแสดงความเจ้าของเผื่อว่าผมเปลี่ยนใจยึดลูกหมาน้อยคืน เมื่อคนเราตั้งชื่อให้อะไรแล้ว คนเราก็ต้องรับผิดชอบสิ่งนั้น
ผมเรียกชายลึกลับไร้ชื่อเสียงเรียงนามเอาในใจว่า เทพแห่งฝน ในเมื่อเขาบอกเป็นนัยว่าเป็นคนทำให้ฝนตก และบอกตรงๆ ว่าฝนตกเพราะเขาออกจากบ้าน ชื่อนี้ฟังดูน่าเกรงขามกว่านายร่ม แต่ก็พิลึกกึกกือกว่าเช่นกัน แต่ใครจะสนกันล่ะ ผมเก็บเอาไว้เรียกเองคนเดียว
ส่วนผม ผมคิดว่าตัวเองเป็นทะเลทราย ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วที่นั่นต้องการฝนหรือไม่ แต่เวลานึกอยากให้ฝนตกที่ไหนสักที่ คนเรามักนึกถึงทะเลทรายร้อนระอุไม่ใช่เหรอครับ
ไหนๆ ผมก็บอกเขาไปอย่างเคยตัวนี่ว่า “แล้วเจอกันนะครับ” ตอนนั้นไม่รู้ตัวว่าความหมายของมันน่าจะเทียบเท่าการขอฝน
ทะเลทรายที่รอคอยให้ฝนตก
ผมบอกไปหรือยังครับว่าผมมีแนวโน้มชอบหาเรื่องทำลายตัวเอง
คลื่นความร้อนประเภทที่แย่งอากาศหายใจไปหมดเกาะหนึบติดแน่นอยู่นานสามวัน จากนั้นฝนจึงตกติดกันอีกสามวัน ค่อยๆ ขยับจากเวลาบ่าย เย็น ไป จนถึงค่ำมืดดึกดื่น
เขาอยู่ที่นั่นราวกับนัดกันไว้ เรื่องนั้นผมแค่คิดเข้าข้างตัวเอง เขาอาจจะชอบมิลค์เชคของคุณลุงมากก็ได้ ส่วนผมได้เจอเขาเพราะนั่นบังเอิญเป็นทางกลับบ้าน เพียงหันไปชำเลืองมองก็จะเห็นคนตัวผอมสูงนั่งอยู่หลังบานกระจกมัวๆ เพราะไอน้ำ พอผมเดินเข้าร้าน เขายังคงเหมือนเดิม ไม่รู้สึกรู้สาจนกว่าผมจะนั่งลงข้างๆ
เขาดูดช็อกโกแลตมิลค์เชกเสียอึกใหญ่ ก่อนจะทำหน้าเหยเกและทำให้อากาศเย็นลงฉับพลันจนเจ้าของร้านปรับแอร์แทบไม่ทัน
1
“เทพแห่งฝนเหรอครับ” เขาทวนคำที่ผมเพิ่งภูมิใจนำเสนอ
หนังสือการ์ตูนที่เขาพกมาอ่านคว่ำหน้าอยู่บนเคาน์เตอร์ คุณเทพแห่งฝนเท้าคางมองออกไปนอกกระจกอย่างครุ่นคิด คิ้วแทบจะผูกเป็นโบ
“ยังไงผมก็ต้องเรียกคุณด้วยชื่อสักชื่ออยู่แล้ว ในเมื่อคุณไม่ยอมบอกชื่อผม” ผมว่า “แล้วแบบนี้คนอื่นๆ ที่คุณรู้จักเขาเรียกคุณว่ายังไงกันเหรอ”
“เรียกว่า ‘เฮ้ย’ หรือ ‘นี่ นายน่ะ’ เป็นส่วนใหญ่ครับ”
เขาตอบหน้าตาย ผมไม่รู้ว่านั่นเรื่องจริงหรือมุก ถ้าเขาลองเปิดปากพูดง่ายดายแล้ว อะไรก็ดูจะเป็นไปได้ทั้งนั้น
“ผมเรียกแบบนั้นได้ที่ไหนเล่า”
“ไม่เคยมีใครเรียกผมมาก่อน” เขาพูด “คุณเป็นคนคนแรก”
วิธีที่เขาพูดคำว่าคนคนแรกฟังดูเหมือนเรามาจากคนละเผ่าพันธุ์โดยสิ้นเชิง อย่างกับเขาเพิ่งลงจากยานแม่แล้วถูกเคลื่อนย้ายมวลสารมายังร้านกาแฟธรรมดาๆ ในตรอกกลางเมืองใหญ่ ถ้าเขาเป็นเทพแห่งฝนอย่างที่ผมคิดจริง ผมอาจเป็นมนุษย์เดินดินคนแรกที่เขาติดต่อด้วยก็เป็นได้ สมมติฐานนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนนักดาราศาสตร์คนสำคัญที่ค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ ไม่ก็นักกีฏวิทยาที่บังเอิญเจอผีเสื้อชนิดใหม่ที่สวนหลังบ้านอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ความฝันเฟื่องของผมจะไม่ใช่วิทยาศาสตร์เลยสักนิดเดียว
วิทยาศาสตร์คือไอน้ำระเหยขึ้นไปบนอากาศ ควบแน่นเป็นละอองน้ำ เป็นเมฆ แล้วกลั่นตัวเป็นน้ำฝน เหมือนที่เด็กประถมท่องวัฏจักรของน้ำในบทเรียน – ฝนไม่ได้ตกเพราะเทพแห่งฝนเดินทางออกจากบ้านสักหน่อย
แต่ถ้าเป็นเขา คนหนุ่มแน่น ท่าทางภูมิฐาน แต่งกายดีเกินกว่าจะเป็นคนเร่ร่อน และเผลอๆ จะทำให้คนอื่นเหลียวหลังเพราะใบหน้าคมคายและรัศมีที่อธิบายไม่ถูกแล้วล่ะก็ หากคุณได้นั่งข้างๆ เขาในวันฝนพรำ คุณอาจหลงเชื่อว่าเขาทำให้พายุโหมกระหน่ำหรือฝนหยุดได้ทันตาเพียงแค่ดีดนิ้ว เพราะฉะนั้นผมคิดว่าคำว่า “เทพ” ไม่ได้ดูใหญ่โตเกินไปนัก
ท่ามกลางการคาดเดาและนิทานเพ้อฝัน สิ่งที่แน่นอนคือเมื่อฝนตก เขาจะมา หรือถ้าอ้างอิงตามคำกล่าวของเขา เพราะเขามา ฝนจึงตก
2
“เวลาพายุเข้าหรือฝนตกหนัก เป็นเพราะคุณอารมณ์ไม่ดีเหรอ” ผมถาม ได้ยินสำนวนว่าท้องฟ้าเศร้าจนร้องไห้บ่อยๆ แต่เอาเข้าจริง ผมว่าคนเราต่างหากที่ชอบทำเป็นเศร้าขึ้นมาเวลาฝนตก จนพาลเอาน้ำตาตัวเองมาสลับสับสนกับน้ำฝนจากฟ้า
“พายุลูกใหญ่จะมาตอนที่เทพแห่งฝนนัดกินข้าวกันครับ” เขาตอบเรียบๆ หลังจากผ่านไปแค่วันเดียว ตอนนี้เขาเริ่มใช้คำว่าเทพแห่งฝนติดปากแล้ว
ผมทึ่งกับข้อมูลใหม่ ที่จริงควรนึกเฉลียวว่าฝนไม่น่าตกพร้อมกันทั้งโลก จึงน่าจะเป็นไปได้ที่จะมีเทพแห่งฝนอยู่ที่อื่นอีก เรื่องราวดูจะไปกันใหญ่ ผมนึกขำ
“แล้วเวลาฟ้าร้องล่ะ” ผมซัก “คงไม่ใช่เพราะโกรธจนอยากลงโทษคนที่ผิดคำสาบานหรอกนะ”
“ส่วนใหญ่เป็นเพราะใจเต้นตึกตักครับ”
“ให้ตาย แบบนี้ถ้าจูบใครเข้าจะเป็นยังไงเนี่ย”
“ยังไม่เคยครับ” เขาดูดมิลค์เชคเสียงดัง ผมถามเพราะไม่อยากเห็นฟ้าถล่มดินทลายหรอกน่า
“แล้วถ้าร้องไห้ล่ะ”
“แบบนั้นถึงน้ำตาจะหาย ฝนก็ยังตกไปทั้งสัปดาห์ครับ”
ผมส่งเสียงอืมระหว่างจิบอเมริกาโนร้อนจนแทบลวกปาก บันทึกในสมองอย่างดีว่าไม่ควรทำให้หัวใจของเทพแห่งฝนเต้นแรงหรืออาจหาญทำให้เขาต้องหลั่งน้ำตา ไม่อย่างนั้นคนคงบ่นว่าอากาศวิปริตกันทั่วบ้านทั่วเมือง
“แล้วภาวะโลกร้อนนี่มีจริงใช่ไหม ไม่ใช่ว่าพวกคุณจิตใจว้าวุ่นจนอากาศแปรปรวนหรอกนะ”
เขาหันขวับ หน้าตาเคร่งเครียดจริงจัง
“มีจริงครับ พวกมนุษย์อย่างคุณนี่เหลือเชื่อจริงๆ” เทพแห่งฝนส่ายหน้า นี่เป็นการแสดงอารมณ์มากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นจากเขา ขมวดคิ้วเสียจนหน้ามุ่ยทีเดียว “กิจกรรมต่างๆ บนโลกทำให้สภาพอากาศและฤดูกาลผิดเพี้ยนไปหมด ตอนนี้ตารางงานของเราต้องสับเปลี่ยนทุกปี ไหนจะมีผู้นำประเทศบ้าๆ หาว่าเป็นเรื่องโกหกทั้งเพอีก ให้ตายสิ จะให้แม่สั่งสอนซะให้หมด”
อันที่จริงเขาสบถหยาบคายกว่านั้น ผมว่าตลกดี เหมือนเห็นคุณหนูสุภาพเรียบร้อยพยายามด่าคนเสียๆ หายๆ เป็นครั้งแรก
“ทราบแล้วครับ ใจเย็นๆ เถอะ” ผมแตะไหล่เขาเป็นเชิงปลอบประโลม เทพแห่งฝนเอนตัวหนีแทบจะทันทีทันใด ชวนให้นึกถึงสัตว์ตัวเล็กๆ ที่เกลียดการสัมผัสจากคนแปลกหน้า ผมลืมตัวไปว่าเราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นนั้น ตอนนี้ยังพูดกันแบบลงหางเสียงอยู่เลย
เราผูกมิตรกันเหนือแก้วกาแฟ ไม่ใช่แก้วเหล้า กาเฟอีนกับแอลกอฮอล์คงมีผลกับความสัมพันธ์ต่างกัน ผมสงสัย
3
“ไปกันเถอะ” ผมหยิบกระเป๋า โค้งบอกลาเจ้าของร้าน
“ไปไหนครับ” เขาถาม แต่ก็เดินตามออกมาต้อยๆ
ย่างเข้าวันใหม่หมาดๆ ด้วยฝนปรอยๆ อย่างใจดี ไม่จำเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์กันฝนแต่อย่างใด ร่มสีฟ้าสดใสจึงกวัดแกว่งอยู่ในมือของเทพแห่งฝน ผมเคยถามเขาแล้วว่าหลักเกณฑ์ที่กำหนดว่าฝนควรตกหนักแค่ไหนคืออะไร แต่เขาเพียงแค่ส่ายหน้าแล้วบอกว่า “ความลับ” ไม่รู้ว่าเขากลัวผมจะร้องขอหรือเปล่า ที่แน่ๆ คือตอนนี้ฝนตกลงมาอย่างพอเหมาะพอเจาะที่สุดระหว่างที่เราเดินข้ามถนนไปยังสวนสาธารณะ ใกล้ๆ กันนั้นมีแผงขายอาหารและเหล้าข้างทางอยู่ ไฟถนนสีส้มและสัญญาณจราจรที่เปลี่ยนไปมาทำให้เห็นละอองฝนเต้นระบำได้ถนัดตา ถ้าถามผมล่ะก็ วันนี้อากาศดีเหลือเกิน
ผมเพิ่งรู้ก็วันนี้ว่าเทพแห่งฝนดื่มเหล้าเก่งเป็นบ้า แถมยังกินเก่งอีกต่างหาก เขาสั่งอาหารทุกอย่างด้วยความกระตือรือร้นราวกับไม่เคยพบเคยเห็น ก้มหน้าก้มตาสูดเส้นอุด้งกับบะหมี่เข้าปากเสียงดัง ก่อนจะดื่มเหล้ารสแรงตามอึกใหญ่ ท่าทางอย่างกับพนักงานบริษัทที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำจนไม่ได้กินข้าว ผมเคยถามว่าเขาได้เงินเดือนไหม เขาตอบว่ามีแค่เงินสกุลท้องถิ่นที่เบื้องบนเอาไว้ให้ประทังชีวิต แน่ล่ะว่ามื้อนี้ผมต้องเลี้ยงเขาอยู่แล้ว
แต่ขวดเหล้าสีเขียวที่เรียงรายกันบนโต๊ะก็น่าหวั่นใจอยู่หน่อยๆ ผมนึกว่าเทพไม่ต้องการอาหารอย่างที่มนุษย์ต้องดื่มกินทุกวัน แต่เหมือนจะคิดผิดไปถนัดใจ ถ้าสนิทกันกว่านี้ ผมคงออกปากแล้วว่า “ไปตายอดตายอยากที่ไหนมา” แต่ขณะนี้ทำได้เพียงพูดว่า “ทานเยอะๆ นะครับ” แล้วรินเหล้าให้
“เพิ่งเคยกินอะไรแบบนี้ครั้งแรกเลย” เขาตาเป็นประกาย ดูจะยิ้มและหัวเราะง่ายขึ้นมาเสียอย่างนั้น ผมเองได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนครางมาแต่ไกล
ฝนเริ่มลงเม็ดหนาจนรู้สึกได้ ป้าเจ้าของแผงอาหารบ่นอุบ ส่วนเทพแห่งฝนตัวดีแก้มแดงแจ๋และเริ่มพูดจาเรื่อยเปื่อย “พี่สาวผมต้องโมโหมากแน่ที่กลับบ้านช้า” เขาโอดครวญ แต่มือยังไม่วางแก้ว
“มีพี่น้องด้วยเหรอครับ”
“ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว” เทพแห่งฝนไล่นับทีละนิ้ว “เราต้องผลัดเวรกันทำงานสิ เอ้อ ยัยฤดูร้อนน่ะน่ากลัวมากเลยนะ ผมชอบอยู่กับเจ้าหน้าหนาวที่สุด หิมะสวยออก”
ผมเออออไปตามเรื่อง ถ้าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก เขาคงเป็นนักสร้างเรื่องตัวฉกาจทีเดียว ขอเพียงแค่ผมหาใครมายืนยันได้ว่าเขาไม่ใช่คนมีปัญหาส่วนตัวหรือมีอาการหลงผิดจนน่าเป็นห่วง ใช่ครับ ผมไม่ได้บื้อถึงขั้นงมงายในเทพนิยายของคนที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว
“เมาแอ๋ขนาดนี้ ผมพาไปส่งบ้านนะครับ” ผมช่วยพยุงคนตัวสูงที่โซซัดโซเซ จ่ายเงินค่าของกินทั้งหมด ก่อนจะประคองเทพเมาเหล้าจากมา “บ้านคุณไปทางนี้ใช่ไหม หลังไหนครับ”
ป่วยการ เขาดูจะหลับคาบ่าผมไปแล้ว ไม่มีทางเดาออกเลยว่าเขาพำนักอยู่ที่บ้านหลังใด หรือคำว่า “บ้าน” จะเป็นเพียงคำเรียกขานแก้ขัดสำหรับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงก็ไม่รู้ ในกระเป๋าเสื้อโค้ตของเขาไม่มีอุปกรณ์สื่อสารอะไร ไม่มีอะไรเลยนอกจากธนบัตรยับยู่ยี่ที่ดูจะเป็นเงินทอน ผมมืดแปดด้านเมื่อลุงร้านกาแฟเองก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน นอกจากว่าจู่ๆ ผู้ชายคนนี้ปรากฏตัวขึ้นเมื่อเดือนก่อน
เฮ้อ ไม่รู้ด้วยแล้วโว้ย
ด้วยเหตุนั้น เทพแห่งฝนจึงต้องมาพักพิงบนโซฟาบ้านรูหนูของผม และฝนก็จำต้องตกจนถึงรุ่งเช้า
เป็นเรื่องที่อบอุ่นสบายๆมากๆเลยค่ะ อ่านเพลินนน แต่ตอนอ่านก็แอบรู้สึกโหวงๆ
ว่าคุณเทพแห่งฝนนี่จะเหงามั้ยนะ แต่พอมาถึงตอนนี้ได้รู้ว่าเค้ามีพี่น้องด้วยก็สบายใจขึ้นมานิดนึงแล้วค่ะ 555 เป็นกำลังใจให้นะคะ ชอบสำนวนงานเขียนของคุณกิฟมากๆเลยค่ะ
ใจนึกอยากจะ comment ให้ทุกตอนเลยค่ะ แต่นี่อาจเป็นเพราะเปิด playlist เสียงฝนเคล้าดนตรีไปด้วย และการบรรยายดีๆ, plot เรื่อง รวมกันทุกอย่างก็เพลิดเพลินเหลือเกิน แงง มันดีมากๆ เลยอีกแล้วค่ะ ชอบงานเขียนของคุณจัง
น่ารักมากเลย ที่เพิ่งมานึกได้ว่าเอ๊ะ เขามีพี่น้องด้วยเหรอ แล้วพอมารู้ว่าเฮ้ย เขามีพี่น้องเป็นฤดูอื่น แงงง น่ารักมากกๆๆ ขอบคุณสำหรับฟิคดีๆ นะคะ :)