From Time to Time
อยู่มาวันหนึ่ง ชีวิตผู้เขียนก็ไม่เหมือนเดิม ไม่แน่ใจว่าอะไรเกิดขึ้นก่อน ระหว่างรู้สึกไม่เหมือนเดิม เพราะชีวิตเกิดความเปลี่ยนแปลง หรือว่าความเปลี่ยนแปลงมากมายที่ถาโถมเข้ามาทำให้ชีวิตเริ่มไม่
เหมือนเดิม
อาจไม่ถึงกับแตกสลาย แต่ถ้าแตกร้าว…ก็น่าจะใกล้เคียการตัดสินใจลาออกจากงานบรรณาธิการบริหารประจำนิตยสารเล่มหนึ่ง คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง, ตอนแรกผู้เขียนก็คิดเช่นนั้น อาจจะเหน็ดเหนื่อย อาจจะไร้แรงบันดาลใจหรืออาจจะแค่รู้สึกต้องการความเปลี่ยนแปลง หรืออยากให้สิ่งแวดล้อมของชีวิตเปลี่ยนไปบ้าง ฯลฯ แต่เอาเข้าจริง ไม่มีจุดเริ่มต้นใดชัดเจนและซัดเข้าที่หัวใจมากไปกว่าความสูญเสียและการกระจัดพลัดพรายของความสัมพันธ์ สัจธรรมอันเป็นนิรันดร์ แต่ไม่เคยมีใครต้านทานได้ โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือหัวใจจะขาดรอน
ผู้เขียนสูญเสียคุณพ่อไปเมื่อตอนต้นปี โดยไม่แม้แต่จะได้กล่าวคำร่ำลาแม้จะมีฐานะเป็นลูกคนโต แต่ก็เป็นลูกที่อยู่ไกลอกพ่อมากที่สุดถ้าเทียบกับลูกคนอื่นๆที่เกิดจากคนละแม่ เหตุเพราะปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวเราเมื่อหลายสิบปีก่อน ไม่อาจทำให้พ่อกับแม่หวนกลับมาใช้ชีวิตด้วยกันอีก
ในฐานะสามี-ภรรยาการหย่าร้างคือการพลัดพรากครั้งแรกของครอบครัวเราจากนั้นเราก็ห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งด้วยระยะทาง และความสนิทสนมระหว่างพ่อลูก ทุกคนแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตลอดเวลาที่ห่างหายไป พวกเราคิดถึงกันบ้างไหม หรือคิด…แต่พยายามจะไม่ ความห่างไกลระหว่างเรานั้นกลืนกินความสัมพันธ์ ไม่ถึงกับสะบั้น…แต่คล้ายมันไม่มีอยู่จริง มันเป็นแบบนี้เอง เรามีความคิดถึงอยู่ในโมงยามของชีวิต แต่เราอาจคิดถึงใครสักคนแค่เพียงไกลๆ ไกลจนคล้ายเขาไม่ได้อยู่ในชีวิต วันที่ญาติฝ่ายพ่อแจ้งข่าวว่าอาการในช่วงโมงยามสุดท้ายของพ่อไม่สู้ดีและพ่อรอคอยให้ผู้เขียนกลับไปพบก่อนที่เราจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว นาทีนั้น บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ยังไม่มีน้ำตายังไม่เศร้าแต่หัวใจหวิวหวั่น
ระหว่างเดินทางไปหาพ่อ ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่าเราคงไปทันเจอหน้าพ่อ พ่อต้องรอไหว…แต่มันก็แค่เรื่องเข้าข้างตัวเองโทรศัพท์จากญาติของพ่อดังขึ้น…และเสียงปลายสายก็บอกมาสั้นๆ ว่า“ไม่ทันแล้ว พ่อไปแล้ว”
การบอกว่าตาย อาจจะฟังดูโหดร้ายเกินไป เราทุกคนเลยใช้คำว่าไม่อยู่แล้ว ไปแล้ว จากจุดนั้นเอง ชีวิตหนึ่งไม่อยู่ แต่อีกชีวิตหนึ่งยังต้องอยู่ เพียงแต่อยู่ในที่เดิมไม่ได้ และผู้เขียนต้องไปเช่นกัน…ไม่ได้ไป เพื่อจะลืมแต่ไปเพื่อจะได้ยังจดจำทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาและมองกลับมาด้วยสายตาอีกแบบ
The UK
ประเทศที่ผู้เขียนตั้งใจเดินทางไปอยู่เป็นเวลาสามเดือน และถ้อยคำสำนวนที่ผู้เขียนรวมทั้งเพื่อนๆ ใช้กันบ่อยจนจำได้คือคำว่าfrom time to time ในความหมายว่าเป็นบางครั้งบางคราว ที่ตรงข้ามกับคำว่าสม่ำเสมอ
เพราะมันเป็นคำที่เหมาะเจาะเหลือเกินสำหรับช่วงชีวิตที่ปราศจากภาระหน้าที่การงานรัดตัว โดยเฉพาะงานที่ต้องรับผิดชอบให้นิตยสารสามารถตีพิมพ์ออกมาได้ทุกสัปดาห์
สามเดือนนั้น ไม่มีอะไรที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมออีกแล้ว ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกอยากจะเขียนเรื่องราวอะไรออกมางานการหยุดเคลื่อนไหว คิดถึงเมืองไทยไหม
... ก็คิดถึงเป็นบางครั้งบางคราว
From Now On
บาดแผลจากความพลัดพรากและความรู้สึกผิดหลายๆ อย่าง ยังคงส่งผลเสมอ แม้ในทุกวันนี้ แต่ก็อีกนั่นแหละ ผู้เขียนพบว่าตัวเองยังระลึกถึงมันเป็นบางครั้ง น้ำตาอาจไหลบ้าง แต่ก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสเหมือนช่วงแรกๆ ที่เผชิญกับเรื่องราวที่รุนแรง เชื่อเถอะว่าเวลายังทำหน้าที่รักษาบาดแผลได้ดีเสมอ
หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นหลังจากบรรณาธิการสำนักพิมพ์บันเปรยมาว่าอยากคัดสรรบทบรรณาธิการในรอบสิบกว่าปีมารวมเล่มอีกครั้ง แม้จะลังเลในตอนแรก แต่พอมาคิดดูอีกครั้ง ผู้เขียนก็คิดถึงความคิดของตัวเองในรอบสิบปีนั้นเช่นกัน
จากนั้น งานเขียนนับร้อยๆ ชิ้น ก็ถูกคัดออกมาจากหนังสือหลายเล่มที่เคยตีพิมพ์ และห่างหายไปจากชั้นหนังสือนานนับปี การคัดสรรมารวมใหม่ โดยการจัดระบบเรื่องราวใหม่ ล้วนแต่เป็นการจัดวางเพื่อให้เรามองอดีตด้วยสายตาใหม่ๆ
และอย่างมากที่สุดก็คือ การตีความเรื่องเก่าในบริบทของชีวิตแบบใหม่ ที่ผู้เขียนเอง (และหวังว่าผู้อ่านด้วยเช่นกัน) ก็อาจจะได้คำตอบใหม่ในคราวนี้
ภาพต้นไม้ที่ไร้ใบบนปก คือต้นไม้ต้นใหญ่ใกล้กับบ้านที่ผู้เขียนพักตอนอยู่ที่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เวลานั้นเป็นฤดูหนาวและฟ้ายามเย็นกำลังเปลี่ยนสี ผู้เขียนยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพนั้นไว้ เพราะต้นไม้ไร้ใบดูแข็งแกร่งและเจิดจ้าผิดกว่าทุกวัน
ชีวิตยังต้องยืนหยัดต่อไป บาดแผลจะค่อยๆ เลือนรางอดีตจะค่อยๆ ห่างไกล
และมีไว้ให้เราคิดถึง... เป็นบางครั้งบางคราว
ด้วยความคิดถึงคนอ่านอย่างสม่ำเสมอ
วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม
คำนำนักเขียน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in