เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าที่สั้น แต่ความทรงจำกลับยาวนานzazakok
จากลาอย่างเป็นทางการ,,

  • คุณเชื่อเรื่องเวลาไหม?
    ถ้าพูดถึงเรื่องของเวลาคุณมีความเข้าใจมากแค่ไหนเกี่ยวกับสิ่งนี้?
    เวาลาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกๆอย่างบนโลกใบนี้ ไม่ใช่สิต้องบอกว่าในจักวาลนี้ เราใช้เวลาในการหาเงิน หาความสุข สร้างอำนาจ สร้างสิ่งประดิษฐ์มากมาย คิดค้นสิ่งใหม่อยู่เสมอ เวลาเป็นทั้งความสุขและความทุกข์ อยู่รอบตัวเรา สัมผัสไม่ได้แต่รับรู้ได้ในการเปลี่ยนแปลง
    การเปลี่ยนแปลงงั้นหรอ? หมายถึงการเดินทางข้ามมิติของการเวลาหรือป่าวนะ ถ้าฉันรู้เรื่องพวกนี้ ฉันคงไม่ต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ ที่ค่าเฟ่แห่งนี้ โต๊ะตัวนี้ เก้าอี้ตัวนี้ กาแฟแก้วนี้ แต่สิ่งที่ฉันพาคุณย้อนกลับเวลาไปได้ก็คงจะเป็นเพียงเรื่องเล่าจากฉันคนนี้นี่แหละ ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน

    ปี 2020
    ปีที่ทุกอย่างหยุดการเคลื่องไหว ปีที่หยุดลมหายใจของคนที่เรารักและผู้คนมากมายโดยเราไม่ได้ทั้งตัวและเตรียมใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกอย่างเดินไปอย่างเชื่องช้าแต่ก็รวดเร็วในเวลาเดียวกัน ช่างเป็นความรู้สึกที่ย้อนแย้งสินดี ฉันเป็นอีกคนที่พบเจอกับปัญหาเช่นเดียวกันคนทั่วโลกใบนี้ ทุกอย่างหยุดนิ่งรวมทั้งเงินในบัญชีของฉัน จะเรียกว่าภาวะตกงานอย่างจำใจก็ได้ ฉันไม่มีงานอยู่ 3 เดือน เจ้าของบ้านก็ล้มละลาย ฉันต้องดิ้นรนเพื่อที่จะหาที่อยู่ใหม่ในราคาไม่แพง ให้พอมีที่พักอาศัยในช่วงฤดูหนาวปีนั้น และยังต้องหางานเพื่อที่จะหาเงินมาประทังชีวิต ฉันไม่กล้ากล่าวประกาศหรอกว่าฉันลำบากแค่ไหน เพราะมองดูผู้คนรอบๆกายทุกคนต่างเจอเรื่องราวไม่ต่างจากฉันเท่าไหร่ ฉันไม่กล้าที่จะนึกถึงคนชนชั้นสูง ผู้ที่ใช้เงินแก้ปัญหาทุกอย่าง มีแต่จะช้ำเติมความรู้สึกทีเปราะบางของฉันไปเท่านั้น แม้ว่ามีเสี้ยวนึงของความคิดที่บอกว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่คนพวกนั้นได้มีชีวิตที่ดีในขนาดที่คนอื่นต้องเดือนร้อน แต่มันกลับทำให้ฉันมองเห็นโลกในอีกแบบมากกว่าและเข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น โลกที่อำนาจและเงินคือสิ่งที่ผู้คนพากันเชิดชู ปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินสามารถซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้ แม้แต่ความสุขก็ยังหาซื้อมาได้ ยกเว้นความตายเท่านั้นที่ยังไม่มีใครคิดค้นวิธีการโกงความตาย มีเพียงแค่การยื้อเวลาต่อลมหายใจ แต่จะยื้อไปก็เท่านั้นสุดท้ายก็ทรมานทั้งคนอยู่และคนที่รอความตายมารับ

    ฉันย้ายมาบ้านหลังใหม่ บ้านที่ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและภาษามาอยู่ร่วมกันภายใต้สิ่งเดียวกัน คือ เพื่อประทังชีวิตให้อยู่รอดในวันพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า เดือนหน้า หรือถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้รอดถึงปีหน้า ฉันขอเรียกว่าบ้านแห่งความหวังและความฝัน พวกเราในบ้านใช้เวลาไม่นานในการจะสร้างมิตรภาพ ไม่น่าเชื่อว่าต่อให้โลกภายนอกใบนี้จะโหดร้ายแค่ไหนแต่ภายในบ้านกลับอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกคนแบ่งปันอาหาร แชร์เรื่องราว แชร์ความเศร้า และสร้างเสียงหัวเหราะ และความรัก

    ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้เจอกับความรักกลับรู้สึกหมดหวังด้วยซ้ำไป แต่ 1 เดือนหลังจากที่ย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ในที่สุดฉันก็ได้งานที่ร้านขนม แม้จะต้องตื่นตีห้าเพื่อที่จะเดินทางไปทำงานฉันก็ไม่เกี่ยง อย่างน้อยก็พอมีเงินต่อชีวิตได้อยู่บ้าง ได้พอมีเงินซื้ออาหารดีๆทาน แม้จะไม่ได้เลิศเลออะไรเท่าชีวิตเมื่อก่อน แต่ก็เติมเต็มความหวังว่าสักวันคงจะดีขึ้น เช้าวันหนึ่งฉันบังเอิญเจอเพื่อนร่วมบ้านซึ่งจะกลายมาเป็นเพื่อนร่วมทางในอนาคต เราทักทายกันตามปรกติก่อนออกจากบ้าน และทักทายอีกครั้งตอนเลิกงาน ความเย็นในฤดูหนาวทำให้เราใกล้กันกลายเป็นความอบอุ่นที่ฉันไม่เคยคาดหวังว่าจะพบเจอ เขาแบ่งปันความอบอุ่นให้ฉันโดยที่ฉันไม่ได้ขอร้อง เขาเข้าใจฉันผ่านดวงตาและสัมผัส วินาทีนั้นฉันรู้สึกขอบคุณความบังเอิญหรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามที่ทำให้เราได้เจอกัน เขาทำให้ฉันเปิดใจและมองความรักที่ต่างออกไป รักที่เป็นตัวเอง รักที่ไม่ต้องเสแสร้ง รักที่ตัวตนของฉัน ฉันสัมผัสถึงความสุขที่ไม่ได้ใช้เงินซื้อมา อ้อมกอดที่อบอุ่นในวันที่หนาว มือที่พาฉันก้าวผ่านเรื่องราวร้ายๆ มือที่คอยเช็ดน้ำตา ไหล่ที่ให้ฉันซบ ช่วงเวลาที่ฉันไม่ต้องหลบหรือซ้อนความอ่อนแอของฉัน เราต่างเปิดเผยความแข็งแกร่ง ความอ่อนแอ ความสนุก ความเศร้าไปด้วยกัน

    ในคืนหนึ่งที่สายฝนโปรปรายก่อนฤดูจะเปลี่ยนไป ก่อนความหนาวเย็นจะจากลา ก่อนความอบอุ่นของหน้าร้อนจะมา เราสองคนเดินผ่าสายฝนเพื่อจะไปซื้อไอติมตอนเที่ยง คงเป็นอะไรที่ไม่ค่อยมีใครทำกัน แต่นั้นกลับทำให้ฉันมั่นใจว่าเขาจะทำให้ฉันมีความสุขแน่นอน เราทั้งสองจะต้องผ่านเรื่องราวมากมายทั้งสนุก สุข เศร้า และพร้อมที่จะทำเรื่องบ้าๆ และฉันก็ไม่กลัวอะไรขอแค่มีเขาอยู่เคียวข้างฉันพร้อมจะก้าวผ่านทุกๆเรื่อง เราสองคนตัดสินใจย้ายออกมาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ในปีใหม่ ปีที่เป็นของเรา

    ปี 2021
    แม้โลกจะยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่ แต่ฉันเปลี่ยนไป ฉันไม่ต้องโดดเดี่ยวเหมือนเดิม แม้จะต้องเจอปัญหาเดิม ๆ แต่ฉันไม่กลัวอีกต่อไป ความรักเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างในตัวฉัน ว่ากันว่าเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วจนน่าตกใจ จนเราแทบไม่ทันสังเกตุด้วยซ้ำไปว่ามันผ่านไปเร็วแค่ไหน รู้สึกเหมือนว่าแค่พริบตาเดียวความสุขนั้นก็พร้อมจะเลือนลางหายไป ความสุขที่ไม่ยั้งยืน ความทุกข์ก็ไม่คงทนเช่นกัน เราไม่ได้รับอนุญาติให้มีความสุขได้ยาวนานหรือว่าตลอดไปหรอกนะ สุดท้ายแล้วความทุกข์ก็มาเคาะประตู ความรักของเราก็เหมือนคู่รักทั่วๆไป มีทะเลาะกันบ้าง ไม่เข้าใจกันบ้าง รักกันบ้าง แต่มือของเรายังไม่ปล่อยจากกัน ฉันคิดเสมอว่าคงมีใครอยากทดสอบความอดทนของฉันว่าเหมาะสมที่จะได้ความรักดีๆไหม โลกใบนี้บางทีก็โหดร้ายเกินกว่าจะเข้าใจ และยากเกินกว่าจะหาเหตุว่าทำไม

    คืนหนึ่งที่เราทะเลาะกัน เขาหลับก่อน ส่วนฉันทำได้แค่นั่งมองดูเขา ลูบผมและแก้มขณะที่น้ำตาก็ไหล แต่ฉันไม่อยากจะส่งเสียงอันอ่อนแอและเหนื่อยล้า กลัวว่าจะปลุกเขาให้ตื่น ฉันทำได้แค่สะอื้นในใจและลุกออกไปนั่งคนเดียวที่ห้องนั่งเล่นและคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเพราะไม่อาจข่มตาให้หลับได้ มนุษย์แต่ละคนบนโลกนี้อนุญาตให้มีความสุขได้นานแค่ไหนกันนะ เราจะก้าวข้ามความต่างได้ไหม อะไรคือกุญแจสำคัญของความรัก อะไรที่จะทำให้ความรักนั่นยาวนานและมั่งคงตลอดไปกัน ฉันในตอนนั้นคิดไม่ออกเลยแม้จะพยายามสักแค่ไหนก็ตาม มือที่เคยจับกันกลับเย็นไม่อุ่นเหมือนที่ผ่านมา ฉันได้แต่อ้อนวอนและต่อรองขอความสุขให้กับฉันยาวนานกว่านี้จะได้ไหม อีกสักนิดก็เพียงพอให้ฉันได้ตักตวงช่วงเวลาดีๆที่เรามีให้กัน แม้จะเป็นเพียงความธรรมดาที่เรามีให้กันมันก็วิเศษมากพอแล้ว

    ดูเหมือนการขอร้องของฉันจะได้ผล มีคนรับฟังเสียงของฉัน มือที่เคยเย็นตอนนั้นกลับอุ่นขึ้น เราใช้ชีวิตในทุกๆวันอย่างเรียบง่าย แต่ช่างเป็นความเรียบง่ายที่มีความสุขที่สุด แม้ในแต่ละช่วงเวลาจะหมุนเวียนทั้งสุข ทุกข์ เศร้าก็ตาม ไม่เคยคิดว่าสิ่งเล็กๆที่เราสองคนทำให้กันนะจะมีค่ามาก มันทำให้ฉันมีความสุขจนลืมถึงสิ่งที่เคยขอ ลืมว่ากาลเวลามันผ่านไปเร็วแค่ไหน ลืมว่าความจริงแล้วแค่ความรักไม่อาจทำให้เราใช้ชีวิตรอดในโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย ความโลภ เราพ่ายแพ้ต่อสิ่งนี้ ยิ่งลุกขึ้นสู้ยิ่งล้มลง บาดแผลเต็มตัว ฉันมองตัวเองในเงาสะท้อน มองหาความสุขที่เคยโหยหา มันช่างเป็นความรู้สึกที่เบาบางและพร้อมที่จะจางหายไปทุกนาที

    ฉันมองไปที่มือที่จับฉัน มือที่เต็มไปด้วยบาดแผลไม่ต่างอะไรกับฉัน มองไปที่ดวงตาคู่นั้นฉันเห็นความรักที่เต็มเปลี่ยมแต่ก็แฝงไปด้วยความเจ็บปวด ความอบอุ่นที่มีให้ยังคงเหมือนเดิม เรามีความสุขแต่ทุกครั้งที่ความสุขรอยยิ้มของเรากลับเปื้อนน้ำตา มือที่จับก็เปียกปอน ฉันทนมองเขาเป็นแบบนี้ไม่ไหว ความรักที่เรามีให้กันมันทิ่มแทงและทรมานเราทั้งสองที่จะต้องดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดในโลกใบนี้
    สุดท้ายแล้วฉันจึงตัดสินใจขายวิญญาณให้กับซาตาน เพราะฉันไม่อยากเห็นเขาเจ็บปวดแบบนี้อีกต่อไป ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันทำ เขาพร้อมที่จะทนเจ็บปวดไปกับฉันแบบนี้ ฉันบอกเพียงแค่ว่าสิ่งที่ฉันทำนั้นเพื่ออนาคตของเราสองคน ฉันจะยอมเป็นทาสโลกทุนนิยมให้กับนายทุนรายใหญ่ ฉันบอกเขาว่าทุกอย่างมันจะผ่านไปด้วยดี เวลามักผ่านไปเร็วเสมอ รอฉันนะ เชื่อใจฉันนะ ว่าฉันจะไม่ไปไหน
    หลังจากที่วิญญาณของฉันถูกจองจำ ฉันมักได้ยินเสียงกระซิบภายในหัวเสมอว่าให้ปล่อยมือเขาไปได้แล้ว ฉันไม่เชื่อคำพูดเหล่านั้นที่ค่อยปั่นสมองและความรู้สึกของฉัน ฉันยิ่งจับมือเขาแน่นกว่าเดิม มือของเราสองคนไม่มีบาดแผลแล้วเหลือเพียงแค่ล่องลอยจางๆของความเจ็บปวดเท่านั้นที่คอยเตือนว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง นั่นยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าจะไม่ปล่อยมือเธออย่างแน่นอน ฉันจะพาเธอไปสู่โลกที่เราสองคนจะมีความสุขอีกครั้ง
    “ปล่อยมือซะ” ชายสวมสูทสีดำกระซิบที่ข้างหูฉัน
    “ไม่ ไม่มีทางที่ฉันจะปล่อยเขาไปแน่นอน ฉันจะไม่ทิ้งเขา” ฉันเถียงในใจ
    “เธอจะทำเขาเจ็บปวดกว่าเดิม ถ้าเธอรักเขาก็ปล่อยเขาไป” เสียงยังคนดังก้องในหัวฉันแม้ชายคนนั้นจะเดินหายไปแล้วก็ตามแต่เสียงยังคงก้องในหัวของฉัน
    “ความรักของฉันนั้นเป็นของจริง และจะไม่ยอมให้อะไรมาแยกเราแน่นอน” ฉันตอบเสียงในหัว ทั้ง ๆที่ยืนอยู่แต่กลับรู้สึกว่าตัวฉันนั้นล้มลงและร้องไห้
    “หันกลับไปดูมือที่เธอจับ และมองดวงตาของคนที่เธอรักอีกครั้ง” นั้นคือประโยคสุดท้ายที่ฉันได้ยิน

    ฉันมองมือของเราสองคน มือของเขายังอบอุ่น แต่สัมผัสช่างเบาบาง เพราะมือของฉันที่บีบเขาเอาไว้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าและความเจ็บปวด ขาที่ก้าวไปข้างหน้าของฉันลากเขาไปพร้อมกับความเจ็บปวด มันไม่ใช่เส้นทางที่เราเคยจูงมือกันเดิน แต่กลับเป็นฉันที่บีบมือเธอและลากเธอมาตลอด ฉันไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ หากไม่ใช่เสียงในหัวจากชายใส่สูทชุดดำนั้นเตือน
    โลกของฉันหยุดหมุนและมืดลง ฉันลืมตาแต่ไม่เห็นอะไร ข้างหน้าคือความมืดที่พยายามจะมองเท่าไหร่ก็มองไม่เห็น ในใจฉันรู้สึกกลัวแต่ร่างกายกลับเดินสู่ความมืด รู้สึกเหมือนว่าไม่ใช่ร่างกายฉัน ควบคุมอะไรไม่ได้สักอย่าง ฉันร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตา หรือว่ามันมืดจนมองไม่เห็น
    “ถ้าเธอยังรักเขาปล่อยมือเขาซะ รั้งเขาไว้มีแต่จะทำให้เขาและเธอเจ็บปวด” เสียงที่คุ้นเคยของชายใส่สูทที่ดำดังขึ้นในหัว ฉันรู้สึกว่าร่างกายของฉันหยุดเดิน และยืนนิ่ง
    “คำขอของเธอเป็นจริงแล้ว เธอมีช่วงเวลาแห่งความสุขกับเขาแล้ว ถ้าเธออยากเห็นเขามีความสุขก็ปล่อยมือเขาก่อนที่เธอจะทำเขาเจ็บปวดและทรมานไปกว่านี้”
    “ฉันไม่อยากปล่อยเขาไป เราผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งมากมาย”
    “เธอคงไม่คิดว่าคำขอของเธอจะได้มาฟรีๆหรอกนะ ทุกอย่างมีการแลกเปลี่ยนเสมอ ตอนนี้เธอเองก็ได้ตามที่ขอไว้แล้ว ถึงเวลาที่เธอต้องจ่ายค่าคำขอ”
    ฉันทำได้แค่ยืนฟัง ไม่ขยับไปไหน
    “คนไข้จะเริ่มทำการรักษาได้วันไหนครับ”
    “คุณครับ คุณ”
    ฉันสะดุงออกจากความมืดที่ฉันยืนเดียวดาย
    “คะ อะไรนะคะคุณหมอ”
    “หมอจะนัดวันเพื่อเริ่มการรักษาครับ”
    “อ่อ ค่ะ สัปดาห์หน้าได้ไหมคะ ต้องทำเรื่องขอลาหยุดก่อน”
    “ได้ครับ งั้นได้วันแล้วทำการนัดได้เลยนะครับ”
    “ขอบคุณคะคุณหมอ”

    ชีวิตคนเราบางทีก็ตลกนะ เวลาที่ทุกอย่างกำลังไปด้วยดีกลับต้องมีอะไรมากั้น มาขัดขวางตลอด เหมือนว่าเราไม่คู่ครวกับความสุขเลย ฉันตรวจเจอมะเร็งเต้านม ขั้นสุดท้าย ไม่น่าเชื่อเลยว่าฉันละเลยร่างกายของตัวเองจนลืมสังเกตความเจ็บปวด เพราะนึกว่าว่าทุกข์ทรมานภายใจในน่าจะพอเพียงแล้ว ทำให้ฉันนึกถึงเสียงในหัวที่เคยบอกให้ฉันปล่อยมือเขา หรือว่านี่คือผลของการที่ฉันขัดขืนและพยายามเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ ฉันครวปล่อยเขาไหม เขาจะเจ็บปวดไหมถ้าสุดท้ายแล้วฉันต้องปล่อยมือและทิ้งเขาไว้กับความเจ็บปวด แค่คิดฉันก็ทนไม่ไหวเจ็บทั้งกายและใจยิ่งคิดยิ่งทรมานและสับสนในใจ ฉันอยากจะขอต่อเวลาเพิ่มเพื่อจะอยู่กับเขาอีกครั้งได้ไหม
    “ถึงเวลาแล้วที่เธอต้องปล่อยเขาไปจริงๆ ให้เขาได้ทรมานตอนนี้และมีความสุขภายหน้า ดีกว่ารั้งเขาไว้ให้ทรมานกับความเจ็บและเป็นแผลใจให้เขาเลยนะ” เสียงเดิมที่คุ้นเคยบอกก้องอยู่ในหัวฉัน

    ฉันทรุดตัวลงก้มร้องไห้พร้อมมือสองข้างที่ปิดตาเพื่อหวังว่าจะหนีจากภาพความเป็นจริงและความเจ็บปวด แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่มองดูมือที่เต็มไปด้วยบาดแผล หลับตาก็เจ็บปวดจะเงยหน้ามองภาพข้างหน้าก็ทรมานไม่ต่างกัน ฉันได้แต่มองคู่รักโต๊ะตรงข้ามที่แสดงความรักจนฉันอิจฉาและคิดว่าถ้าเป็นฉันคงจะดี ฉันไม่อาจหยุดน้ำตาที่กำลังไหลขณะที่กำลังยิ้มได้เลย ที่ตรงนี้ คาเฟ่แห่งนี้ โต๊ะตัวนี้ กาแฟแก้วนี้ เก้าอี้ตัวนี้ที่ฉันนั่งมองเธอและเขายิ้มอย่างมีความสุข รอบยิ้มของเธอยังอบอุ่นเหมือนเดิม เสียงหัวเหราะ และมือที่เธอกุมเขานั้นฉันเชื่อว่ามันยังอบอุ่นเหมือนเดิม ทำไมเป็นฉันที่ต้องทรมานและเจ็บปวดที่ต้องเดินจากมาก ทำไมความสุขของฉันช่างสั้น ถ้าย้อนเวลาได้ฉันอยากกลับไปหาเธอเหมือนเดิม อยากอยู่ในห้วงเวลาแห่งความสุข อยากจะแก้ไข้เรื่องที่เราเคยทะเลาะกัน อยากจะใช้ทุกวินาทีกับเธอให้คุ้มมากกว่านี้ถ้าทำได้
    “ถึงเวลาแล้ว ไปกันเถอะ” เสียงจากชายในสูทดำพูดขณะยืนข้างๆฉัน
    “ขอเวลาให้ฉันอีกได้ไหม ต่อเวลาได้ไหม ย้อนเวลากลับไปตอนที่ฉันมีความสุขได้ไหม” ฉันทำได้แค่ปล่อยความเศร้าออกมาและอ้อนวอน
    “ภาพตรงหน้าน่าจะเป็นคำตอบอยู่แล้วนะ เขามีความสุขตามที่เคยบอกไว้ไม่ใช่หรอ”
    ฉันปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพตรงหน้านั้นคือความจริง กับคนใหม่ที่เขาเจอ ทั้งคู่ดูมีความสุข และหวังว่าเขาจะมีความสุขมากกว่าตอนที่อยู่กับฉัน ฉันครวจะยินดีใช่ไหมถึงแม้ว่าจะเป็นฉันที่ต้องเป็นคนแบกรับความเจ็บปวดนี้มาตลอด

    “เวลาไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขก็ผ่านไปเร็วเหลือเกิน เร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัวเลย” ฉันบอกกับชายใส่สูท
    “คุณเก็บเขาไว้ได้ในความทรงจำนะ นั่นคือสิ่งที่คุณจะทำได้ ส่วนเรื่องย้อนเวลานั้นคงทำไม่ได้หรอก เพราะคุณถูกสร้างมาเพื่อให้ยอมรับความจริงและก้าวเดินต่อไป” 
    นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ชายใส่สูทพูดกับฉันก่อนที่ทุกอย่างตรงหน้าจะมืดลงโดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัวอีกครั้ง

    “ลาก่อนนะ”

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in