ลางสังหรณ์ของโจเอลบอกเขาว่าวันนี้เขาอาจจะเจอคนรู้จัก
ซึ่งมันไม่เคยทำงานพลาด
และนั่นคือส่วนที่เขาเกลียดที่สุด
เขาไม่ชอบการพบเจอคนรู้จักเลยซักนิด
“ขอโคล่าเพิ่มหนึ่งแก้วครับ” เขาบอกแอ๊บบี้ตอนที่เธอกำลังเดินผ่านโต๊ะของเขาไป
“เดี๋ยวนี้ชอบดื่มโคล่าแล้วเหรอ แปลกจังนะ” เธอบอกอย่างนั้นแล้วเดินไปที่โต๊ะอื่นเพื่อรับรายการอาหารของลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่ จากการแต่งกายอนุมานได้ว่าเขาคงเป็นนักท่องเที่ยวที่ผ่านมาทางเมืองนี้และเกิดอาการอยากอาหารขึ้นมาพอดี โชคร้ายของผู้ชายคนนั้นที่ย่านนี้ไม่ได้มีร้านอาหารให้เลือกมากนัก และแม้จะเป็นในดาวน์ทาวน์เองก็ไม่ได้ต่างจากที่นี่สักเท่าไหร่
“...แล้วเครื่องดื่มจะรับอะไรดีคะ”
“เอ่อ...มีอะไรบ้างเหรอครับ”
“ก็...น้ำเปล่า โคล่า กาแฟ น้ำเปล่า โคล่า แล้วก็กาแฟ” เธอยานคางตอบและยังคงติดนิสัยเคี้ยวหมากฝรั่งไปทำงานไปอยู่เหมือนเคย
“สู้เข้าล่ะ” โจเอลพึมพำให้ลูกค้าหน้าใหม่คนนั้นที่ต้องเผชิญกับการบริการอัน่าเอือมระอาของเธอ และเขาสาบานว่าตัวเองพยายามเก็บสายตาของตนไว้เพียงบริเวณโต๊ะของตัวเองอย่างถึงที่สุดแล้วถ้ามันไม่ได้ไปสะดุดกับผมสีสว่างของใครบางคนที่อยู่ถัดจากเขาสองโต๊ะเสียก่อน
นั่นมัน...
โจเอลคิดว่าตัวเองรู้จักคนคนนั้น
และแน่นอนว่าเขาไม่ชอบที่มัน
โดยเฉพาะกับคนคนนี้
เวลาผ่านไปมากพอที่จะทำให้ใครบางคนที่อยู่ระหว่างการเดินทางจัดการกับอาหารกลางวันของตัวเองจนหมด ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป นักเดินทางลุกออกไปแล้ว ไร้ที่กำบังสายตาสำหรับคนที่คอยลอบมองคนรู้จักของตนเป็นระยะอย่างชั่งใจ โจเอลไม่แน่ใจว่าตัวเองควรเดินเข้าไปทักทายอีกฝ่ายหรือเปล่า เขาควรจะปล่อยให้คนคนนั้นนั่งมองอาหารในจานต่อไปเรื่อยๆ จนพอใจ โจเอลยังไม่ทันได้ตัดสินใจอีกฝ่ายก็เงยหน้าและมองมาทางเขาเสียแล้ว แน่นอนว่าเขา—ที่ก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายแอบมอง—หลบสายตาแทบจะทันที
ให้ตายเถอะ
ผมมั่นใจว่าวันนี้ตัวเองก้าวเท้าซ้ายออกจากบ้านแล้วแท้ๆ
ทั้งชีวิตนี้โจเอลไม่ได้มีเพื่อนมากนัก เขาพอใจที่มันเป็นอย่างนั้น เพื่อนส่วนมากของเขาหากไม่ได้อยู่ต่างโรงเรียนก็เป็นสายพันธุ์อื่นไปเสียหมด และในเมืองนี้หากไม่นับอลิเซีย—เจ้าแมวแร็กดอลล์จอมซน—ก็มีแต่คนเบื้องหน้าเขานี่แหละที่เป็นเพื่อนที่เขาเหลืออยู่
แต่นั่นไม่ใช่ความจริงเสียเสียเดียว เขากับเลียมเป็นเพียงเพื่อนร่วมรุ่นกันเท่านั้น ทั้งสองเคยเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายของรัฐบาลใจกลางเมือง โจเอลคิดว่าตัวเขามีโอกาสพูดคุยกับเลียมไม่ถึงสิบประโยคเสียด้วยซ้ำแม้ว่าในการเรียนเทอมที่สามทั้งคู่จะเรียนวิชาเดียวกันทั้งหมดก็ตาม
และมันมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เขาทั้งอยากและไม่อยากพบหน้าเพื่อนคนนี้
เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อคนเรารู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งหรือมากกว่าที่จ้องมาเราจะหันมองบ้าง เลียมเองก็ทำเช่นนั้น เขาลอบมองผู้ชายคนหนึ่งตรงมุมอับของร้าน พวกเขาสบตากันเสี้ยววินาที และแทบจะฉับพลันทันทีเลียมก็ถูกสะกดไว้ราวกับมายากล
เส้นผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อน
ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยกระเนื้อสีอมส้ม
และดวงตาสีฟ้าล้ำลึก
เลียมเคยเห็นคนคนนี้มาก่อน ที่ไหนซักแห่งบนโลกใบนี้ เขาดึงทึ้งเส้นผมของตัวเองอย่างหัวเสียเมื่อพบว่าความทรงจำของตนนั้นช่างว่างเปล่า มันทำเขาหดหู่ทุกครั้งเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังสูญเสียความเป็นตัวตนไป ชิ้นส่วนของเขากำลังระเหิดสู่อากาศ เขาเห็นและได้กลิ่นมัน
ผิวหนังของเขา
หัวใจของเขา
วิญญาณของเขา
พวกมันกำลังสลายราวกับซากศพเน่าเปื่อย
มันเกิดขึ้นตั้งแต่เขาเริ่มฝันถึงบุคคลปริศนา
ฝัน?
ใช่แล้ว ในความฝัน เขาพบกับผู้ชายคนนั้น นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาคุ้นหน้าคนคนนั้นเสียเหลือเกิน และแม้ผู้ชายคนนั้นไม่เคยมีใบหน้าที่แน่นอนในความฝันของเขาเลียมก็ยังคงปักใจเชื่อความคิดของตัวเองอยู่
ผู้ชายคนนั้นอาจช่วยไขข้อข้องใจของเขาได้หลายประการเลยเทียว
เลียมพยายามส่งยิ้มให้อีกฝ่ายเพื่อแสดงความเป็นมิตร แต่มันกลับถูกปฎิเสธเมื่อเขาถูกหลบหน้า เลียมเสียความมั่นใจไปเล็กน้อย แค่เพียงน้อยนิดเท่านั้น เขาถือจานอาหารและแก้วเครื่องดื่มที่เกือบว่างเปล่าไปที่โต๊ะตัวที่ตั้งอยู่ในมุมอับของร้าน
“เอ่อ...” เมื่อวางจานอาหารและของทุกอย่างที่อยู่ในมือลง เขาเคาะโต๊ะสองครั้งก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วอย่างถือวิสาสะ “ขอนั่งด้วยนะ”
“อือ” คนในความฝันที่ตอนนี้เขาค้นพบว่ามีตัวตนอยู่จริงเหลือบมองขึ้นมาจากจานอาหารของตัวเองเล็กน้อยแล้วพยักหน้าให้กับโต๊ะไม้และเลียมเข้าใจได้เองว่านั่นคือการสื่อสารกับเขา
“ขอบคุณ”
โจเอลกำลังประหม่า เขาไม่สามารถจัดการกับของหวานได้หากอีกคนยังคงจ้องอยู่เช่นนี้ หัวใจของเขาเต้นแรงจนเกือบหยุดเต้นตอนที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาหา และในตอนนี้คนที่เขามีอดีตด้วยกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าและมีท่าทีสนอกสนใจเขาอย่างมีพิรุษ
“มีอะไรหรือเปล่า” โจเอลเอ่ยถามในที่สุด เขาทำใจกล้าสบตากับคนตรงหน้า และนั่นถือเป็นเรื่องผิดพลาดที่สุดในวันนี้ เลียมกำลังมองมาที่เขาอย่างที่คาดไว้ แต่ในแววตานั้นช่างดูสับสนวุ่นวายจนคล้ายจะว่างเปล่า เรื่องราวในอดีตถ่าโถมเข้าใส่โดยไม่ทันตั้งตัวจนเขาแทบล้มตึง เขาผิดหวังทั้งที่มันก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด โจเอลหุนหันลุกขึ้นยืน เขากำลังเดินผ่านตัวเลียมไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะข้อมือข้างหนึ่งถูกยึดยื้อไว้
“เดี๋ยวก่อน ผมขอโทษที่เสียมารยาทนะ ไม่ได้ตั้งใจทำให้โกรธด้วย แต่...ช่วยนั่งคุยกันซักครู่ได้หรือเปล่า” เลียมบอกอย่างสุภาพ และเสียงนั่นดึงสติของเขาไว้ ทั้งยังช่วยกั้นหยดน้ำตาที่กำลังรื้นออกมาอีกด้วย
“...” โจเอลนั่งลงที่เดิม เขาลูบหน้าตัวเองครั้งหนึ่ง จิบน้ำที่ได้จากการละลายของน้ำแข็งแล้วเอ่ย “ได้สิ”
“เอ่อ...ไม่รู้สิ ผมไม่รู้ว่าผมควรเริ่มจากอะไรดี แบบว่า...คือ...ผมน่ะ...เรา....”
“เฮ้ ใจเย็น นายมีอะไรกันแน่ เข้าประเด็นเลยก็ได้ไม่ต้องอ้อมค้อมหรอก” โจเอลคว้ามือที่ปัดป่ายไปมาในอากาศของเลียมไว้ก่อนที่จะมีใครบางคนต้องจ่ายค่าชดใช้ความเสียหายของร้านเสียก่อนจะคุยกันรู้เรื่อง
“โอเค...เอ่อ...คุณชื่ออะไรเหรอ แบบว่า...เราเคยเจอกันมาก่อนใช่มั้ย แล้ว...” น้ำเสียงของเลียมเต็มไปด้วยความสับสนและขาดๆ หายๆ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่โจเอลคิด เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจค่อนไปทางหงุดหงิด เม้มริมฝีปากเน้นและคำรามในลำคอ
“จะเล่นอย่างนี้ใช่มั้ย? จริงจังดิ? เหอะ!” สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นเป็นไปอย่างที่คาดเดาได้ โจเอลลุกขึ้นพรวดพราดและเดินไปที่ประตูทางออก เขาผลักบานหนึ่งออกอย่างแรงก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่งด้วยประโยคสุดท้ายที่เขาได้ยิน
“ผมขอโทษ”
นั่นใช่ประโยคที่เขาควรได้รับจากเลียมเสียที่ไหนกัน
โจเอลเตะก้อนหินก้อนหนึ่งที่หน้าร้านเพื่อระบายอารมณ์ มันลอยไปตกบนผืนหญ้านิ่ม ๆ ที่ถูกคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะไม่มีรถคันใดจอดอยู่ เขาคงจะวิ่งไปขึ้นรถบัสเสียแล้วตอนที่เห็นมันจอดตรงป้ายหากไม่ได้รับโทรศัพท์จากแอ๊บบี้เสียก่อน
เขาลืมจ่ายค่าอาหาร
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in