เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
"Fairytales can't tell everything" —เจ้าชาย, ไม่ได้กล่าวBUNBOOKISH
I wanna Be a Princess





  • ตอนแรกคิดว่าบทนี้จะต้องเป็นบทสุดท้ายของหนังสือเล่มท้ายๆ ในชีวิตที่เราจะเขียน ไม่ใช่เพราะคิดว่ามันจะเป็นผลงานมาสเตอร์พีซปิดฉากอย่างเร้าใจอะไรหรอก แต่เหตุผลจริงๆ คือ กลัวป๊าด่า… แค่นั้น จบ

    ที่ต้องกลัวป๊าด่า เพราะจะต้องมาเล่าเรื่องอะไรแบบนี้…

    ตอนสมัย ม.ปลาย กำลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเต็มตัว ก็เป็นธรรมดาที่เริ่มอยากจะลองมีความรัก อยากมีแฟน เพราะเห็นใครๆ เขาเลิกเรียนแล้วก็เดินกลับบ้านกันเป็นคู่ๆ เราเองก็อยากจะมีอะไรแบบนั้นบ้าง

    พออยากมีแฟนก็เลยเริ่มจีบผู้หญิงครั้งแรกในชีวิต (เออยังไม่เคยจีบผู้ชายมาก่อนด้วย) เพราะโตมาด้วยมายด์เซตที่ว่าเป็นผู้ชาย อยากมีแฟนก็ต้องหาแฟนเป็นผู้หญิง เพื่อนผู้ชายคนอื่นเขาก็จีบผู้หญิงกันทั้งนั้น

    ตอนนั้นมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง รู้สึกว่าเขาสวยดี ดูลาดเลาแล้วก็ยังไม่มีใครจีบด้วย เลยคิดง่ายๆ ว่า อะ งั้นกูจะจีบคนนี้ละนะ ส่วนวิธีการจีบก็ทำตามเพื่อนผู้ชายคนอื่น คอยไปช่วยถือกระเป๋าตอนกลับบ้านบ้าง ซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ให้บ้าง แต่ทำไปได้สักพักเพื่อนคนอื่นๆ เขาพัฒนาความสัมพันธ์เป็นเดินจูงมือกลับบ้าน
    ด้วยกันแล้ว เรายังคงช่วยถือกระเป๋า กับซื้อของเล็กๆ น้อยๆ มาฝากอยู่อย่างนั้น

    พอความสัมพันธ์ไม่คืบหน้า ผู้หญิงก็เริ่มไม่เล่นด้วย เป็นอันว่าการจีบสาวครั้งแรก ก็จบไปแบบที่ไม่มีอะไรน่าประทับใจ นอกจากการได้รู้ว่า เราไม่อินกับคาแรกเตอร์ของตัวเองตอนนั้น เหมือนถ้ากำลังรับบทเป็นเจ้าชายก็คงเป็นได้แค่เจ้าชายปลอมๆ
  • พอเริ่มรู้ว่าตัวเองไม่เหมาะกับบทบาทและหน้าที่เจ้าชายแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นคิดว่า อยากจะเปลี่ยนไปรับบทเป็นเจ้าหญิงขนาดนั้น พยายามบอกตัวเองว่า เราอาจจะเป็นแค่เจ้าชายที่พยายามไม่มากพอ แต่ถ้ายอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ เราอาจจะอยู่ในสังคมที่ถึงยังไงผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงแบบนี้ต่อไปลำบาก

    หลังจากนั้นก็เลยพยายามเอาชนะตัวเองอีกครั้ง อยากรู้ว่าทำไมคนอย่างเรามันจะชอบผู้หญิงอย่างคนอื่นเขาไม่ได้วะ!

    ตอนนั้นในกลุ่มเพื่อนผู้ชายเริ่มคุยกันเรื่องหนังโป๊ เราก็ลองหัดดูหนังโป๊อย่างเขาบ้าง โอ้โห นี่ไง ผู้หญิงสวย เอ็กซ์และเซ็กซี่สุดๆ

    ตัดภาพมา กูเลือกดูฝ่ายผู้ชายมากกว่าตลอดเลย (แม่ง) จบกัน! แทนที่จะได้เห็นความงามของหญิงสาว ดันไปประทับใจซิกซ์แพ็กส์ของชายหนุ่มซะอีก ไปกันใหญ่เลยทีนี้

    เราคงหมดหวังที่จะเป็นเจ้าชายจริงๆ แล้วแหละ…

    พอเข้าใจได้ว่าโลกนี้มันก็มีผู้ชายที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อรับบทเจ้าชายอย่างเดียวนะ คนเรามันมีอะไรมากกว่านั้นเว้ย หลังจากนั้นก็เลยตัดสินใจออกลายเป็นเจ้าหญิงไปเลยดีกว่า! (ไวเชียวกู)

    ไม่ใช่ละ, หลังจากนั้นก็เลยพับโครงการแฟน (ผู้หญิง) คนแรกในวัยมัธยมเอาไว้แค่นั้น

    จนเข้ามหา’ลัย...
  • เริ่มลองจีบผู้ชายครั้งแรกทางเว็บไซต์หาคู่สำหรับผู้ชายด้วยกัน วิธีการคือโพสต์บอกคุณสมบัติ หรือจุดขายของตัวเองคร่าวๆ เช่น อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง รูปที่ดูดีที่สุด และอย่าลืมทิ้งอีเมลไว้ด้วย เพราะถ้ามีคนสนใจ เขาก็จะแอด MSN มาคุยกับเรา (ใช่ค่ะ โตมาในยุคที่ยังมี MSN เอาไว้เขย่าหน้าจอ ตึ่ง ตึง ตึ๊ง)

    แต่ก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ รอให้เขาแอดมา เราเองก็ต้องมองหาคนที่ถูกใจแล้วเป็นฝ่ายแอดไปคุยกับเขาก่อนเหมือนกัน

    จนได้เจอผู้ชายหน้าตาท่าทางดีคนหนึ่ง ในโปรไฟล์บอกว่าเรียนอยู่มหา’ลัยเดียวกัน คิดได้อย่างเดียวเลยว่า ต้องเป็นคนนี้แหละที่ฟ้าส่งมา ไม่งั้นคงจะไม่มาเจอกันโดยบังเอิญแบบนี้ (เดี๋ยวนะ มึงยังไม่ได้เจอเขาเลย!) ก็เลยรีบแอดไปทำความรู้จัก

    พอเรียนที่เดียวกันก็เลยมีอะไรคล้ายๆ กัน และคุยกันถูกคอ สเต็ปต่อมาก็คือเริ่มนัดเจอเพื่อไปกินข้าวดูหนังกันตามประสาหนุ่มสาว (อ่อ ไม่ใช่เหรอ)
  • เสด็จพ่อเป็นเหมือนกับกษัตริย์ที่น่าเกรงขามประจำบ้าน ส่วนเสด็จแม่ ตามคาแรกเตอร์แล้วต้องมีจิตใจอ่อนโยน และมีเมตตาต่อชาวประชาเสมอ เทียบคุณสมบัติดังนี้แล้ว เมื่อถึงคราวต้องสารภาพเรื่องสำคัญกับใครสักคนในบ้าน ก็ไม่ต้องเดาเลยว่าเราจะเลือกบอกคนไหน

    “ม้า หมิงมีเรื่องที่ไม่อยากโกหกม้าอีกต่อไปแล้วจะบอก” เออ อยู่ๆ ก็โพล่งออกไปแบบนั้น

    “หมิงคบกับผู้ชายนะ…”



    เงียบประมาณนับหนึ่งถึงสิบ

    ไม่มีคำต่อว่า แต่แม่ร้องไห้...

    ที่จริงตอนที่ตัดสินใจบอกเรื่องนี้ เราเลิกคบกับผู้ชายคนนั้นไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะยิ่งเปิดเผยกับคนข้างนอกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกลัวว่าที่บ้านจะรู้เข้าสักวัน แต่ถึงจะเลิกไปแล้วก็ยังอดรู้สึกผิดกับครอบครัวไม่ได้และสุดท้ายก็เก็บความรู้สึกนั้นไว้กับตัวเองไม่ไหวจริงๆ
  • ตอนนั้นก็ทำตัวไม่ถูก เกิดมายังไม่เคยไปดูหนังกับผู้ชายสองต่อสอง นอกจากจะเป็นเดตเฟิสต์ไทม์แล้ว ยังเป็นการโดนผู้ชายจับมือเฟิสต์ไทม์ด้วย (กรี๊ดดดด)

    ต้องย้อนกลับไปเล่าก่อนว่า ตอนที่เราจีบเพื่อนผู้หญิงสมัยมัธยม ก็เคยไปนั่งดูหนังด้วยกันบ้าง แต่กลับไม่เคยมีความรู้สึกอยากจับไม้จับมืออะไรเขาทั้งสิ้น (แล้วก็ไม่อยากให้เขามาจับด้วยนะ) รู้สึกเหมือนมากับเพื่อน แล้วก็ต่างคนต่างดูให้มันจบๆ เพิ่งรู้ว่าการอยากมีคนนั่งจับมือระหว่างดูหนังด้วยกันมันเป็นอย่างนี้ แล้วพอเขาจับมือเราจริงๆ มันรู้สึกดีอย่างนี้ เสียงหัวใจกูนี่ดังกว่าเสียงหนังที่ฉายอยู่เสียอีก

    นี่แหละโลกของเรา! สิ่งที่เราชอบจริงๆ มันเป็นแบบนี้!

    แล้วทุกอย่างก็เหมือนความรักของหนุ่มสาวทั่วไป โลกกลายเป็นสีชมพูหวานแหวว มันเหมือนแม้กระทั่ง การที่มันไม่ได้จบด้วยการครองรักกันอย่างมีความสุข (อยู่ๆ ก็ดราม่าเลยนะมึง) ถึงแม้เราจะรู้สึกดีที่ได้เจอความรักแบบที่ตัวเองต้องการมีเพื่อนฝูงที่เปิดรับและเข้าใจ ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดี แต่ยิ่งเราชัดเจนกับตัวเองและเปิดเผยกับคนอื่นมากขึ้น กำแพงระหว่างเรากับเสด็จพ่อเสด็จแม่ก็ทั้งสูงขึ้นและหนาขึ้นไปด้วย เพราะยังไม่มีใครรู้เลยว่า ลูกชายคนนี้ออกไปใช้ชีวิตแบบไหนตอนอยู่นอกบ้าน
  • สุดท้ายต้องไปขอร้องให้ผู้กำกับเขาช่วยตัดซีนที่คิดว่ามันจะกระทบกระเทือนจิตใจผู้ชมทางบ้าน (บ้านกูคนเดียวเนี่ยแหละ) ออกให้ ก่อนที่ป๊ากับม้าดูแล้วจะหัวใจวายไปซะก่อน

    ต่อมา เราลองไปสมัครเรียนคอร์สการแสดงเบื้องต้น นอกจากจะเป็นคนชอบเรื่องการแสดงอยู่แล้ว อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เราอยากจะรู้ว่าเวลาอยู่หน้ากล้อง หรืออยู่ต่อหน้าคนอื่น บุคลิกภาพและท่าทางแบบไหนที่เราควรแสดงออกกันแน่

    ทั้งที่อยากเป็นตัวของตัวเองนะ แต่ก็อยากให้มันดูดีในสายตาคนอื่นด้วยไง

    ครูวุ้น—คุณครูสอนการแสดงของเราเคยถามว่า ทำไมเวลาแสดงเราถึงดูเกร็งเหมือนคนไม่กล้าแสดงออก ทั้งที่นิสัยปกติไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น (นี่ครูด่ากูปะเนี่ย) ตอนแรกก็ไม่รู้จะตอบยังไง แต่ลึกๆ คิดว่าเป็นเพราะเรายังกลัวป๊ากับม้าจะผิดหวังในสิ่งที่เราเป็นหรือเลือกทำ ยิ่งเวลาลองทำอะไรที่มันไม่อยู่ในแนวทางและการคาดเดาของเขาแล้ว เราก็ยิ่งขาดความมั่นใจ และคงจะเป็นกำแพงนี้แหละ ที่เรายังข้ามไปไม่พ้นสักที

    จนวันที่ได้คุยกับครูวุ้นหลังจบคลาสเป็นการส่วนตัว ครูทำให้เราคิดว่า เราควรจะหาทางก้าวข้ามความกลัวนี้ไปให้ได้
  • วันนั้นไม่มีแม้แต่คำตอบว่ารับได้หรือรับไม่ได้จากแม่ แต่เราก็ทึกทักว่าได้เอาไว้ก่อน เพราะอย่างน้อยตั้งแต่นั้นจนถึงวันนี้ (ซึ่งก็หลายปีแล้ว) แม่ก็ไม่เคยถามหรือพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องแฟนของเราอีกเลย… (สรุปว่าเขารับได้หรือไม่ได้วะเนี่ย)

    แต่กับเสด็จแม่ที่แสนโอบอ้อมอารียังมาคุขนาดนี้ เรื่องที่จะไปบอกพ่ออีกคนก็คงไม่มีทาง

    เราก็เลยใช้ชีวิตแบบไฮบริด คนนอกอาจจะมองว่าเราเป็นคนเปิดเผย แต่ลึกๆ แล้วก็ยังมีกำแพงความลับระหว่างเรากับพ่อ

    สิ่งหนึ่งที่รู้สึกมาตลอดก็คือ ยิ่งเปิดเผยกับคนอื่นมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งพบว่าการปิดบังคนที่เรารัก มันทรมานมากเท่านั้น

    อย่างตอนที่แซลมอนเฮาส์ชวนไปถ่ายรายการ Board Jockey ซึ่งเป็นรายการที่ชวนแก๊งเพื่อนมานั่งเล่นบอร์ดเกมด้วยกัน ในรายการ เราสนุกและเป็นตัวของตัวเองมาก มากจนพอถ่ายจบแล้วเพิ่งมาคิดได้ว่า เอ๊ะ กูเป็นตัวของตัวเองไปหรือเปล่า เล่นมุกจีบผู้ชายไปไม่รู้กี่สิบครั้ง ฉิบหายแน่กู
  • และถ้าแก้ปัญหานี้ได้ มันก็จะอันล็อกอะไรอีกหลายอย่างในชีวิตเราไปด้วย

    แต่หมอไม่ต้องรีบนะ รอให้พร้อมก่อนแล้วค่อยไปคุยกับพ่อแม่อีกที…” ครูวุ้นทิ้งท้ายเอาไว้ว่าไม่ต้องรีบ แต่ใจเราตอนนั้นอึดอัดจนแทบจะระเบิดออกมาเป็นโกโก้ครันช์อยู่แล้ว ได้! ไม่ต้องรีบ รอให้พร้อมก่อน แล้วกูค่อยคุยเรื่องนี้กับป๊าให้รู้เรื่อง!

    เย็นวันต่อมา (ไหนมึงบอกไม่รีบ!) นายวิภาสรวบรวมความกล้าทั้งหมดในชีวิต บอกกับป๊าว่าขอคุยอะไรด้วยหน่อย พอพูดจบก็รู้สึกเข้าใจคำว่าหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะทุกก้าวที่เดินตามป๊าเข้าไปในห้องทำงาน มันบีบเหมือนกำลังเดินเหยียบหัวใจตัวเองไปทีละก้าวๆ

    บรรยากาศในห้องตึงเครียด รู้สึกเหมือนกำลังจะสารภาพบาปที่เคยทำมาทั้งชีวิต ถ้ามีเสียงเพลง “แต่บอกตอนนี้ไม่รู้จะเร็วไปหรือไม่ ก็ยังไม่รู้ว่าเธอคิดเช่นไร…” ดังคลอไปด้วย ก็คงจะเข้ากันไม่น้อย เพราะเราไม่รู้เลยว่าหลังจากพูดออกไปแล้ว ป๊าจะเงียบหรือจะร้องไห้ หรือจะโกรธแล้วลุกขึ้นมาโวยวายใส่เรา สำหรับป๊าแล้วอะไรก็เกิดขึ้นได้

    แต่เข้าถ้ำเสือมาแล้ว จะถอยก็คงไม่ได้แล้ว
  • “ป๊า หมิงชอบผู้ชาย”

    จบประโยค ทุกอย่างก็กลับมาเงียบเหมือนเดิม ก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเรา แต่บรรยากาศในห้องกลับนิ่งสงบจนรู้สึกได้ว่า หลังความสงบนี้ จะต้องมีพายุร้ายชุดใหญ่ตามมาแน่นอน

    “หมิงขอโทษที่หมิงเป็นแบบนี้ รู้ว่าป๊าคงเสียใจมาก แต่มันเปลี่ยนตัวเองไม่ได้จริงๆ คือมันฟหกดสเว...” (ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น)

    ทำได้แค่พรั่งพรูความในใจออกไปเหมือนคนร้องขอชีวิต ตอนนั้นคิดว่าถ้าตายตอนนี้ ชีวิตนี้กูคงไม่มีอะไรต้องสั่งเสียอีก เพราะได้สารภาพกับป๊าไปหมดไส้หมดพุงแล้ว

    “ไม่เห็นเป็นไรเลย ป๊ารู้นานแล้ว”



    เงียบประมาณนับหนึ่งถึงสิบ

    เชี่ย… นี่กูเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์ น้ำมูกน้ำตาไหลพรากๆ ร้องไห้จนแสบหูแสบตา เพราะคิดว่าชีวิตคงจะดราม่าไปตลอดหลังจากนี้ แล้วนี่อะไร…

    “ป๊าไม่ใช่คนโลกแคบนะ ป๊าทำงานมีลูกน้องเยอะแยะก็ต้องเคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ยิ่งสมัยนี้มันไม่ใช่เรื่องซีเรียส หมิงก็เป็นอย่างที่หมิงเป็น ป๊าอาจจะงงๆ นิดหน่อย แต่ป๊าก็จะพยายามเข้าใจหมิงนะ มีอะไรก็มาคุยกัน ไม่ต้องร้องไห้ ไป อาบน้ำนอนไป๊…”

    ป๊าพูดจบแล้วก็ตบไหล่เราเบาๆ สองที

    เอ้า แล้วที่ผ่านมากูกลัวอะไรอยู่ตั้งนานวะเนี่ย…



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in