เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
"Fairytales can't tell everything" —เจ้าชาย, ไม่ได้กล่าวBUNBOOKISH
คำนำ



  • Preface


    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว (แต่ไม่มาก) ในร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง เรานัดกินข้าวกับพี่เพลีย ตามประสามิตรสหายที่มักจะหาเรื่องมาเจอกันเพื่ออัปเดตเรื่องราวในชีวิตเป็นระยะ

    หนึ่งในเรื่องที่เรามักจะคุยกันเสมอ (ถ้าไม่นับเรื่องอื่นที่ไม่ควรเปิดเผยนะ) ก็คือเรื่องหน้าที่การงาน ถ้าไม่นับอาชีพหมอ (ที่เขียนต้นฉบับอยู่ดีๆ ก็ลาออกจากการเป็นหมอประจำไปซะแล้ว) ก็คงจะมีเรื่องงานเขียนนี่แหละ ที่เราทวงถามกันบ่อยๆ ด้วยข้อความเดิมๆ เช่น เมื่อไหร่จะเขียนหนังสือเล่มสองสักทีล่ะ (โว้ย)

    ที่ต้องถามซ้ำๆ เพราะตั้งแต่หลังจาก เรียนหมอหนักมาก (สำนักพิมพ์แซลมอน)—หนังสือเล่มแรกที่พี่เพลียเขียนไว้ตั้งแต่ช่วงเรียนจบ จนออกมาทำงานก็จะสองปีแล้ว เราอยู่ในช่วงเวลาที่พี่เพลียพยายามเขียนต้นฉบับหนังสือเล่มสองของตัวเองมาถึงสองครั้งสองครา และสุดท้ายก็พับโครงการเก็บเอาไว้ก่อนทั้งสองครั้ง

    ตัดภาพกลับมาที่ร้านอาหารญี่ปุ่นวันนั้น จำไม่ได้ว่าเริ่มต้นด้วยเรื่องอะไร แต่ลงท้ายด้วยคำพูดของพี่เพลียว่า “ไว้ฉันลองเขียนมาให้เธออ่านดีกว่า” เหมือนเป็นสัญญาณว่าการพยายามครั้งที่สามกำลังจะเริ่มขึ้น

    หลังจากนั้นไม่นาน ต้นฉบับบทแรกๆ ก็ตกถึงมือ ชื่อบทแรกที่ตั้งมาคือ ‘ถ้าอยากเป็นเจ้าหญิง ก็ต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิง’ อื้อหือ ตีหัวเข้าบ้านขนาดนี้ อ่านแล้วถึงกับต้องส่งข้อความไปถามว่าจะเขียนอันนี้นี่ปรึกษาใคร (หมายถึงที่บ้าน) หรือยัง...

    เรื่องราวก็ดำเนินมาเรื่อยๆ มีต้นฉบับส่งมาเรื่อยๆ พร้อมคำอวดอ้างว่าเป็นการเขียนที่ลื่นไหล ทำได้ด้วยสัญชาตญาณ และปราศจากความเครียดใดๆ (ก็เขียนด้วยอินเนอร์ตัวเองขนาดนี้)

    เราโตมาแบบไม่เคยกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นติ่งอะไรจริงจังสักอย่าง บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนฉาบฉวยที่ชอบอะไรผิวเผิน ไม่เคยถึงขั้นเก็บมาเป็นแรงบันดาลใจอะไรในชีวิต เพราะนึกไม่ออกว่าสิ่งที่จะเป็นขนาดนั้นได้ ต้องเป็นเรื่องจริงจังและยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่พอพี่เพลียพูดถึงความรักที่มีต่อวอลต์ ดิสนีย์จนถึงขั้นสถาปนาตัวเองว่าเป็นติ่งดิสนีย์ได้ ก็พบว่าจริงๆ แล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องจริงจังหรือยิ่งใหญ่หรอกที่ควรทำหน้าที่นั้น เรื่องราวในจินตนาการชวนฝันก็ทำอย่างนั้นได้เช่นกัน


    BUNBOOKS


  • FOREWARD


    หลังออกหนังสือเล่มแรก เรียนหมอหนักมาก ไปเมื่อปี2558 ซึ่งเป็นจังหวะที่เราเพิ่งเรียนจบพอดี สิ่งที่คิดไว้ว่าจะทำต่อก็คือเขียนหนังสือเล่มถัดไปทันที เพราะเข้าใจไปเองว่าเรียนจบแล้ว ตอนทำงานคงจะมีเวลามากขึ้น แต่ที่ไหนได้... ที่เคยเข้าใจว่าเรียนหมอหนักมาก เป็นหมอจริงๆ มันหนักมากกว่าอีกหลายเท่า

    การเขียนหนังสือก็เลยถูกเลื่อนออกไปเรื่อยๆ เพราะกว่าจะปรับตัวให้เข้ากับช่วงชีวิตของการทำงานนั้นก็ยากและนานพอสมควร

    รู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปสองปี เราพูดได้เต็มปากว่าช่วงเวลาสองปีของการทำงานนั้น ช่างแตกต่างกับชีวิตวัยเรียนอย่างสิ้นเชิง เพราะเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่รอดได้ด้วยตัวเอง ต้องทำงานหาเงินด้วยตัวเอง ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง และแน่นอน เมื่อเราออกมาสู่โลกที่กว้างขึ้น เรื่องราวต่างๆ ก็ดาหน้าถาโถมเข้ามาหาเราได้ง่ายขึ้น

    เมื่อเลี่ยงการเจอปัญหาไม่ได้ ทางเลือกเลยเหลือแค่จะหนีหรือยอมรับว่าเกิดปัญหาเพื่อหาทางเรียนรู้จากมัน แต่สำหรับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เราคงต้องเลือกอย่างหลัง และการแก้ปัญหาชีวิตของแต่ละคนก็อาจจะมีเครื่องมือหรือตัวช่วยในการแก้ปัญหาแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นคำแนะนำจากพ่อแม่ คนที่มีประสบการณ์ชีวิตที่มากกว่า เพื่อนสนิท หรือคนใกล้ตัว และหลายครั้งสิ่งที่เรารักและศรัทธาก็กลายเป็นพลังงานชั้นดีที่จะทำให้เรามีแรงแก้ปัญหาชีวิตต่อไปได้ 

    สำหรับเรา ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับวอลต์ ดิสนีย์คือแหล่งพลังงานเหล่านั้น 

    เพราะตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหญิง เจ้าชาย สิงสาราสัตว์ หรือแม้แต่ข้าวของที่โลดแล่นอยู่ในการ์ตูนของวอลต์ ดิสนีย์ ล้วนมีส่วนทำให้เราโตมาเป็นเราอย่างทุกวันนี้

    พอบอกไปแบบนั้น ก็ดูเหมือนชีวิตเราจะกลายเป็นเรื่องแฟนตาซีสดใสสวยงามขึ้นมา แต่จริงๆ แล้วในความแฟนตาซีที่ว่านั้นมันมีความจริงของโลกใบนี้ปนๆ อยู่เช่นกัน

    เราแอบหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้ใครหลายคนผ่านเรื่องราว (ที่ในเวลานี้เห็นว่า) เลวร้ายไปได้ ขอให้ตัวหนังสือของเรากลายเป็นพลังและความกล้าในวันที่ต้องเผชิญกับปัญหา เพื่อที่จะแก้ไข เรียนรู้ และจดจำมันไว้ในฐานะอีกตอนหนึ่งของนิทานชีวิตเรื่องยาวเรื่องนี้

    กาลครั้งหนึ่ง ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...


    พี่เพลีย



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in