เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Where Our Hearts BelongTippuri~ii*
Chapter 1
  • Chapter 1         


    เวสต์เชสเตอร์ยามค่ำคืนถูกโอบล้อมไว้ในแสงสีและเสียงดนตรี

     

     



    ชาร์ลส์ เซเวียร์ละเลียดจิบมาร์ตินีจากแก้วในมือของตนพลางมองสำรวจไปรอบตัว…บาร์ที่เขาเลือกเข้ามานั้นค่อนข้างเงียบเหงาเมื่อเทียบกับสถานเริงรมย์แห่งอื่นของย่านนี้ มีเพียงเสียงพูดคุยและแก้วกระทบกัน เพลงจังหวะเศร้าดังแผ่วในบรรยากาศมืดสลัว…เน้นย้ำให้ความรู้สึกเหนื่อยในใจของชายหนุ่มหมุนคว้างขึ้นมาอีกครั้ง

     

     

     

     

    ชาร์ลส์รู้ดีตั้งแต่วินาทีที่ตัดสินใจเลือกสมัครเข้ามหาวิทยาลัยดุริยางคศิลป์แล้วว่าอนาคตในการหางานของเขาจะมีแต่ความไม่แน่นอน…หากชายหนุ่มก็เลือกจะทำสิ่งที่ตนรัก ชาร์ลส์ได้ปริญญาในสาขาเปียโนสมความตั้งใจ…หากตอนนี้ ใบปริญญาที่ว่าดูจะไม่ดีพอในแวดวงดนตรีที่ตำแหน่งว่างมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยแบบนี้

     

     

     

     

     

    ดวงตาสีน้ำเงินทอดมองกระเป๋าเป้ใบย่อมข้างตัวอย่างท้อใจ ชายหนุ่มเข้ามาหางานในเวสต์เชสเตอร์ และวันเวลาก็ผ่านไปพร้อมกับความล้มเหลวและเงินติดตัว…ชาร์ลส์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคืนนี้เขาจะหาห้องราคาถูกให้ตัวเองได้มีที่นอนหรือไม่

     

     

     

     

     

    เพลงเศร้าเพลงเก่าจบลง…หากเพลงที่ดังต่อมาก็ยังคงมีเนื้อหาไม่ต่างกัน ชายหนุ่มโคลงศีรษะกับท่วงทำนองที่ไม่ช่วยให้จิตใจของรู้สึกดีขึ้นก่อนจะกระดกมาร์ตินีจนหมดแก้ว มือเรียวโบกไหวเพื่อสั่งเพิ่มอีกรอบ…รู้ดีว่ากำลังใช้เงินกับเรื่องที่ไม่ควร เพียงแต่ตอนนี้ชาร์ลส์นึกอยากให้ตัวเองเมาพอที่จะไม่แคร์ว่าห้องที่ตนหาได้คืนนี้จะสับปะรังเคแค่ไหน

     

     

     

     

     

    ในเวลาชั่วครู่ บาร์เทนเดอร์ก็วางมาร์ตินีแก้วใหม่ลงตรงหน้าชาร์ลส์…ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นตามเสียงกระดิ่งตรงหน้าประตูแล้วร้องทักคนมาใหม่อย่างเป็นกันเอง

     

     

     

     

     

     

    “วันนี้เลิกเลทรึไง? อย่างเดิมใช่มั้ย?”

     

     

     

     

     

    ร่างสูงที่ก้าวเข้ามาพยักหน้าเป็นคำตอบให้ทั้งสองคำถามก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ตรงเคาท์เตอร์บาร์ห่างออกไปสองที่นั่ง…ชาร์ลส์ลอบมองอีกฝ่ายที่กำลังง่วนกับการคลายผ้าพันคอที่พันไว้ ก่อนสายตาจะต้องนิ่งค้างเมื่อตอนที่มือใหญ่ถอดหมวกที่สวมไว้ออก…เผยให้เห็นกรอบหน้าคมคายกับดวงตาสีเทาเย็นชาที่โดนล้อมไว้ด้วยเส้นผมสีน้ำตาลไหม้

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     ดูดีจนคนมองลืมหายใจ…คงจะเป็นแบบนี้นี่เอง

     

     

     

     

     

     

    เป้าสายตาของเขายังคงไม่รู้ตัวว่ากำลังแอบโดนจ้อง…ร่างสูงเท้าแขนหมิ่นๆ บนเคาท์เตอร์อย่างสบายอารมณ์ สายตาล่องลอยไปเรื่อยเปื่อย นิ้วเรียวเคาะเบาๆ ตามจังหวะของเพลง เสียงทุ้มกล่าวขอบคุณเสียงเบาเมื่อเครื่องดื่มของตนโดนวางลงตรงหน้า

     

     

     

     

     

    “วันนี้งานหนักล่ะสิท่า…มาซะดึกเชียว” บาร์เทนเดอร์ชวนคุย “เลิกเลทแบบนี้ใครเป็นคนดูพวกเด็กๆ ล่ะ?”

     

     

     

     

     

    “แค่ประชุมปิดเล่มได้ช้าไปหน่อยเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มผมน้ำตาลตอบสั้นๆ แล้วยกแก้วขึ้นจิบน้ำสีอำพันเข้มเป็นการตัดบทสนทนา…ไม่ยอมตอบคำถามอีกข้อ บาร์เทนเดอร์ที่รู้นิสัยอีกฝ่ายดีจึงยิ้มให้แล้วผละออกไปรับออร์เดอร์ใหม่…ทิ้งให้เจ้าตัวได้ละเลียดเครื่องดื่มของตนในความเป็นส่วนตัว

     

     

     

     

     

    ถึงบทสนทนาระหว่างทั้งสองจะไม่ได้ดังมากมาย…แต่มันก็ไม่พ้นที่จะลอยมาเข้าหูคนที่นั่งอยู่ในระยะใกล้อย่างชาร์ลส์ คำตอบของชายหนุ่มผมน้ำตาลที่ได้ยินทำให้เขารำพึงออกมาอย่างกระจ่างใจ

     

     

     

     

     

    “ว่าแล้วเชียว…ดูดีแบบนี้ต้องเป็นนายแบบแหงๆ…”

     

     

     

     

     

    ด้วยสติที่เจือจางเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์…ประโยคที่เจ้าตัวคิดว่าตัวเองแค่เปรยออกมาเบาๆ จึงกลายเป็นความดังระดับปกติที่ลอยกลับไปให้อีกฝ่ายได้ยิน เสียงทุ้มหัวเราะหึออกมาเบาๆ ก่อนจะหันไปทางต้นเสียง…มือใหญ่ยกแก้วขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงรับคำ

     

     

     

     

     

    “ขอบใจ…แต่ฉันไม่ใช่นายแบบหรอกนะ”

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์กระพริบตาปริบๆ…ความอายแทรกตัวขึ้นมาในสติที่เบลอๆ แต่ก็ยังไม่วายที่จะพูดกับอีกฝ่ายต่อ

     

     

     

     

     

    “แต่นายบอกว่าต้องประชุมปิดเล่มนี่”

     

     

     

     

     

    คำแย้งทำให้คนฟังยิ้มกว้างกว่าเก่าอีกนิด พูดกล่าวหาเสียงเย้า “นายแอบฟังฉัน”

     

     

     

     

     

    ฤทธิ์มาร์ตินีทำให้ชาร์ลส์สะอึกเล็กๆ แต่เขาก็บังคับให้ตัวเองสั่นหน้าพึ่บพั่บ “ฉันเปล่าแอบฟัง…อึก…นายพูดดังเอง”

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมน้ำตาลหัวเราะกับคำแก้ตัวมึนๆ นั้นแล้วหยิบแก้วเครื่องดื่มของตนขึ้นก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆ คนแปลกหน้า “…ฉันทำงานนิตยสาร แต่ไม่ได้เป็นนายแบบ โอเคมั้ย?”

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์พยักหน้ารับ…นึกอยากเตะตัวเองที่สร้างความประทับใจแรกพบได้น่าอายสิ้นดี ตัวเขาเวลามึนนิดๆ แบบนี้นั้นแย่กว่าตอนเมาเต็มขั้นเสียอีก…เพราะในเวลาแบบนี้ เขาจะพูดจาแบบไม่คิดกลั่นกรองสักนิด…ถึงคำพูดจะไม่ได้หยาบคาย แต่มันก็สร้างความอับอายให้เขาไม่น้อยเลยทีเดียว

     

     

     

     

     

     

     

     ให้ตายเถอะ…คนตรงหน้าจะคิดว่าเขาเป็นคนยังไงล่ะเนี่ย

     

     

     

     

     

     

     ช่วงที่ชาร์ลส์เงียบไปทำให้อีกฝ่ายได้มีเวลาสังเกตเขาชัดๆ…และสุดท้ายเสียงทุ้มก็ถามออกมา

     

     

     

     

     

    “ฉันว่าฉันไม่เคยเห็นนายเลย…นายไม่ได้เป็นคนแถวนี้ใช่มั้ย?”

     

     

     

     

     

     

    “ไม่…ฉันเพิ่งมานี่ได้สัปดาห์กว่าๆ เอง” ชาร์ลส์ตอบ เอาเท้าเขี่ยๆ เป้ที่วางอยู่ตรงพื้นข้างๆ เก้าอี้เบาๆ “…ยังไม่มีทั้งงานแล้วก็ที่อยู่ด้วย”

     

     

     

     

     

    “อืม…” คู่สนทนาพยักหน้าพลางจิบเครื่องดื่ม “หางานอะไรอยู่ล่ะ?”

     

     

     

     

     

    ปกติ…ชาร์ลส์ไม่ชอบเวลาคนแปลกหน้ามาถามซักไซ้นั่นนี่ แต่ตอนนี้เขากำลังอยู่ในอารมณ์ที่ต้องการพูดคุยกับใครสักคน ชายหนุ่มจึงตอบโดยดี

     

     

     

     

     

    “อะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับเปียโน…ฉันจบด้านนี้มาน่ะ”

     

     

     

     

     

     

    “…ก็พอเดาได้อยู่นะ” เสียงทุ้มพูด นัยน์ตาสีเทาเลื่อนไปจับที่นิ้วเรียวสวยของคนข้างตัว

     

     

     

     

     

    ไม่รู้ทำไม…แต่ชาร์ลส์รู้สึกว่าหน้าของเขาร้อนวาบขึ้นมา และอาการที่ว่าก็ไม่ได้มาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์เสียด้วย

     

     

     

     

     

     

    “เอ่อ…แล้วนายล่ะ?” ชายหนุ่มรีบเหวี่ยงหัวข้อสนทนาขึ้นมาเพื่อเบี่ยงให้สายตาคมกริบชวนใจละลายนั่นผละไปจากเขา “นายทำนิตยสารเกี่ยวกับอะไรเหรอ?”

     

     

     

     

     

    “ก็ไม่ใช่นิตยสารเด่นดังอะไรมากหรอก” เสียงทุ้มพูดสบายๆ “แค่เอานิยายหลายๆ เรื่องมาลงอะไรแบบนี้น่ะ…ออกแนวนิตยสารอินดี้ทำมือด้วยซ้ำ”

     

     

     

     

     

     

    “งั้นนายก็เป็นนักเขียนน่ะสิ” ชาร์ลส์ตาโต

     

     

     

     

     

     

    “มันไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนักหรอก…แค่เขียนเรื่องนั่นนี่ที่ฉันคิดเองเท่านั้นแหละ” ร่างสูงยักไหล่

     

     

     

     

     

     

    “เจ๋งจะตาย…เขาบอกว่าอะไรพวกนี้มันต้องใช้จินตนาการกับสมาธิมากเลยไม่ใช่รึไง” เสียงใสแย้ง “แล้วอย่างน้อยนายก็มีงานทำนะ”

     

     

     

     

     

     

    เมื่อพูดถึงตรงนี้…ความจริงที่เขากำลังเผชิญก็แล่นกลับเข้ามาในสมอง ชาร์ลส์ถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยออกมาก่อนจะกระดกมาร์ตินีรวดเดียวหมดแก้ว อีกฝ่ายมองท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างปุบปับนั้นแล้วถาม

     

     

     

     

     

     

    “มีอะไรรึเปล่า?”

     

     

     

     

     

     

    “ฉันแค่เพิ่งคิดได้น่ะ” ชาร์ลส์ชี้แจงล้าๆ “ว่าฉันยังหนีไม่พ้นสถานการณ์หางานไม่ได้ แถมคืนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะนอนไหน…บ้าชะมัด”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    แต่ก็นะ…บ่นไปก็ไม่ช่วยให้ปัญหาหายไปสักหน่อย

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ถอนหายใจกับข้อเท็จจริงนี้…อย่างน้อยๆ คืนนี้เขาก็ต้องหาโรงแรมถูกๆ ให้ได้สักที่ มือเรียววางแก้วพร้อมธนบัตรลงบนเคาท์เตอร์ ก่อนจะหันมายิ้มให้คู่สนทนา

     

     

     

     

     

    “ดีใจที่ได้คุยกับนายนะ…ฉันว่าฉันรู้สึกโอเคขึ้นมานิดเพราะนายนี่แหละ ขอบใจนะ”

     

     

     

     

    ชาร์ลส์คาดหวังว่าเขาจะได้รับฟังคำตอบรับว่าไม่เป็นไรไม่ก็คำขอบคุณในทำนองเดียวกันจากอีกฝ่าย…หรืออย่างน้อยๆ ก็เป็นอะไรอย่างอื่นนอกจากประโยคที่ตามมา

     

     

     

     

     

    “นายทำอาหารเป็นมั้ย?”

     

     

     

     

     

    คำถามที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ชาร์ลส์งงไปชั่วขณะ แต่ก็ตอบไปตามจริง

     

     

     

     

     

    “ทำได้สิ…แต่ก็แค่ระดับพอกินได้นะ ทำไมเหรอ?”

     

     

     

     

     

    คำถามของเขาไม่ได้รับคำตอบ…แถมยังมีคำถามใหม่ตามมาเสียด้วย

     

     

     

     

     

    “ทนเด็กได้มั้ย?…เด็กแบบเด็กประถมกับเด็กอนุบาลอย่างนั้นน่ะ”

     

     

     

     

     

    “ถ้าไม่ดื้อมากก็โอเคแหละ…” เสียงใสเผลอตอบก่อนจะหยุดกลางคัน “เฮ้! นายจะตอบฉันได้รึยังว่านายถามอะไรพวกนี้ไปทำไม?”

     

     

     

     

     

    “ถ้านายทำอาหารกับทนเด็กได้…ฉันมีงานให้นายทำ”

     

     

     

     

     

    ประโยคนั้นหยุดคำเถียงทั้งหมดที่เขามีลงได้อย่างชะงัด “นายว่าไงนะ?”

     

     

     

     

     

    ชายหนุ่มผมน้ำตาลทวนคำเดิมอีกครั้ง ก่อนจะพูดเสริม “นายเล่นเปียโนได้ด้วยนี่…ถ้านายโอเคกับเงื่อนไขทั้งหมดที่ฉันบอกไป นายได้งานนี้แน่ๆ”

     

     

     

     

     

    “มันก็ไม่มีปัญหาหรอก…เรื่องทำอาหารกับทนเด็กน่ะ” ชาร์ลส์พูดอย่างสับสน “แต่นี่มันเกี่ยวอะไรกับเปียโน…แถมงานอะไรที่ไหนฉันยังไม่รู้เลยนะ ไหนจะเรื่องค่าจ้างอีก…”

     

     

     

     

     

    “ถ้านายรับงาน…มีที่อยู่ให้ฟรี อาหารก็ที่นายทำนั่นแหละ” เสียงทุ้มกล่าวตอบให้ทันใจ

     

     

     

     

     

    คนฟังนิ่งไปกับข้อเสนอที่ดูดี แต่ก็ยังไม่ไว้ใจสถานการณ์นัก

     

     

     

     

     

    “นายยังไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรฉันเลยนะ…” ชาร์ลส์พูดเสียงจับผิด ก่อนจะเสริมสิ่งที่เขาเพิ่งนึกได้ “…แล้วอีกอย่าง นายเป็นใครชื่ออะไรฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำ!”

     

     

     

     

     

    “โอเค…โอเค” ชายหนุ่มผมน้ำตาลถอนหายใจราวกับว่ากำลังต้องอธิบายอะไรน่าเบื่อ ก่อนจะยื่นมือออกมา “…อีริค”

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ยอมเอื้อมไปจับมืออีกฝ่ายตามมารยาท…คิดในใจว่าการเพิ่งมาแนะนำตัวกันหลังจากคุยมายาวเหยียดแบบนี้มันตลกสิ้นดี “ฉันชาร์ลส์”

     

     

     

     

     

    อีริคพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะหันไปจิบเครื่องดื่มของตนต่อ…การกระทำนิ่งเฉยที่ทำให้ชาร์ลส์ต้องเป็นคนเตือนถึงเรื่องที่พูดค้างกันไว้อยู่ออกมา

     

     

     

     

     

    “แล้วตกลงมันมีงานจริงๆ…หรือนายแค่ล้อฉันเล่นเรื่องงานอะไรนี่รึเปล่า?”

     

     

     

     

     

    “ไม่…ฉันซีเรียส” อีริคยืนยันเสียงเรียบ

     

     

     

     

     

     

    “ถ้างั้น…” ชาร์ลส์พูดช้าๆ “มันเป็นงานอะไรล่ะ? เพราะถ้ามันโอเค…ฉันก็อยากจะทำ”

     

     

     

     

     

     

    อีกฝ่ายจัดการน้ำสีอำพันอึกสุดท้ายในแก้วอย่างใจเย็น…ก่อนจะหันมาตอบ

     

     

     

     

     

     

    “ก็มาเป็นคนดูแลเด็กที่บ้านฉัน…โอเคมั้ยล่ะ?”

     

     

     

     

    tbc.

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in