2 สิงหาคม 2563
ไม่รู้เวลาเท่าไหร่ ไม่รู้ที่นี่คือที่ไหน เพียงแต่บันไดที่ทอดยาวขึ้นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพียงแค่เดินขึ้นไปในความมืดมิด ค่อยๆ เดินขึ้นไปช้าๆ ข้างบนตรงปลายสุดทางนั้นมี "ประตูสีแดง"
..................................................................................
ปกติคฤหาสน์ของเราจะเปิดรับแขกผู้มาเยี่ยมเยือนเสมอ เพียงแค่ส่งบัตรเชิญออกไป ถ้าเราอยากให้พวกเขามา พวกเขาก็ต้องมา เรายินดีและเต็มใจที่จะต้อนรับแขกของเราเสมอ
การมาเป็นแขกของเราไม่มีอะไรมาก เราก็แค่จะเดินพาชมคฤหาสน์ของเรารอบๆ ทานอาหารมื้ออร่อยๆ ด้วยกัน นอนบนเตียงนุ่มๆ อุ่นๆ มีบริการนวดผ่อนคลาย และลาจากกันด้วยของกำนัลสุดพิเศษ
วันนี้คฤหาสน์ของเรามีโอกาสต้อนรับ Mr. and Mrs. H (นามสมมติ) คู่สามีภรรยาสุดน่ารักที่เดินทางไกลมาจากตัวเมืองใหญ่สู่คฤหาสน์อันห่างไกลและเงียบสงบของเรา เราต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้มอย่างจริงใจและพาพวกเขาเข้าสู่คฤหาสน์ของเรา เชิญให้นั่งพักและจิบน้ำชาผ่อนคลายซักครู่ พวกเขา 2 คนดูเป็นคนเงียบๆ เพราะไม่ว่าเราจะพูดอะไร พวกเขาก็มักจะเงียบๆ หน้าตาซีดเซียวเพราะอาจจะเดินทางมาไกล ช่างน่าสงสารจริงๆ เราเลยสั่งให้พ่อบ้านของเราไปหยิบขวดไวน์ที่คฤหาสน์ของเราใช้เวลาบ่มมาหลายสิบปีมาให้พวกเขาลองชิม ตอนแรกพวกเขาก็ไม่ยอมดื่มซึ่งอาจเพราะว่าเกรงใจ เราเลยลุกขึ้น เดินไปค่อยๆ หยิบแก้วไวน์ยื่นไปที่ปากของ Mrs. H เชิญชวนให้เธอดื่ม แต่เธอเบือนหน้าหนีไป เราเลยเบี่ยงตัวไปยื่นให้ Mr. H แทน ซึ่งเขาก็ไม่ยอมดื่มเช่นกัน ช่างเป็นคนขี้เกรงใจอะไรขนาดนั้น เราเลยยกแก้วขึ้นมาจิบเอง ไวน์ที่ใช้เวลาบ่มมานานขนาดนี้ ของดีหายาก มีโอกาสได้ดื่มแต่ไม่ยอมดื่ม ไม่รู้จะขี้เกรงใจอะไรกันนักหนา
นั่งพักกันได้สักพักก็ถึงเวลาทัวร์คฤหาสน์ของเรา เดินดูตามห้องต่างๆ ส่วนต่างๆ ก่อนการพักผ่อน เราเปิดประตูบานใหญ่เพื่อนำสู่จุดต่างๆ ในบ้าน...Mr. and Mrs. H เดินตามมาพร้อมพ่อบ้านและสาวใช้ของเราที่เดินปิดท้าย ความจริงสีหน้าของ Mr. and Mrs. H ยังดูซีดเซียวอยู่เลย แต่มันก็ไม่มีเวลาจริงๆ เพราะโปรแกรมทัวร์บ้านของเรามีแค่ช่วงเวลาวันนี้เท่านั้น เพราะพรุ่งนี้ก็ต้องลาจากกันแล้ว
ห้องแรกที่เราจะไป เราคิดว่าพอเหนื่อยจากการเดินทางก็อาจอยากใช้เวลาผ่อนคลาย เราจึงพามาห้องเล่นเกมส์ของเรา วิธีเล่นก็ง่ายๆ บนพื้นจะปูด้วยตารางสี่เหลี่ยมขาว - ดำ ที่เวลาเหยียบแล้วเอาเท้าออก มันก็เด้งขึ้นก่อนกลับคืนสู่ปกติ บางทีเราก็เปิดเพลงในห้องนี้ และเดินไปตามแผ่นปูพื้นต่างๆ ตามที่แสดงในหน้าจอด้วย มันดูเป็นอะไรที่น่าสนุกและผ่อนคลายมากๆ
เราหันไปมองและยิ้มอย่างร่าเริงให้ Mr. and Mrs. H แบบใครจะเริ่มเล่นก่อนดี แต่เห็นสีหน้าซีดๆ นั้น เราก็สงสาร งั้นเราจะสาธิตให้ดูก่อนแล้วกันว่าเล่นยังไง
เราเดินเข้าไปในห้อง และกระโดดไปตามแผ่นปูพื้น โดดลงไปบนแผ่นนึงแล้วโดดไปอีกแผ่นนึง แผ่นปูพื้นที่โดนเราเหยียบและเอาเท้าออกก็เด้งขึ้น ปรากฏร่างคนที่อยู่ข้างใต้ เป็นเด็กวัยรุ่นหลับตา แต่หัวเหมือนดูดึงไปด้านหลังเล็กน้อย ทำให้ดูเหมือนเชิดหน้าอยู่ เราก็โดดไปตามแผ่นปูพื้นแต่ละแผ่น ก็ปรากฏร่างคนที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่เหมือนกันคือหัวเหมือนถูกดึงไปด้านหลังทำให้ดูเหมือนเชิดหน้าขึ้น...เราโดดไปจนสุดมุมของห้องอีกด้านหนึ่งแล้วหันมายิ้มให้ Mr. and Mrs. H และคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่ง
คนพวกนี้คือคนที่เคยเชิดหน้าให้เรา แบบเดินผ่าน มองแล้วเชิดหน้าขึ้น แบบหยิ่งไม่สนใจ ซึ่งน่ารำคาญมาก หลายครั้งหลายหน ไม่ได้รู้จักกัน ปกติเราก็มีเรื่องเครียด ทุกข์ใจ คิดหนัก คิดมากอยู่แล้ว ยังมาเจอเรื่องน่ารำคาญ ขัดตาแบบนี้ แม้ตอนผ่านเหมือนไม่สนใจแต่ไม่ได้ลืม ไม่รู้เป็นบ้าไร หลายคนอาจคิดว่าถ้าเราพูดไรแบบนี้ คือเราบ้า แต่ไม่ทำไรเฮี้ยๆ กับเราก่อน เราจะต้องเก็บมาด่าทำไม และคนพวกนี้ทำเฮี้ยไรกับคนอื่นแบบนี้ ก็ยังอยู่ดีมีสุข ไม่ได้ทุกข์ร้อนไร อยากเชิดมากก็ได้ ก็มาเชิดหัวเชิดหน้าไว้ตลอดไว้ใต้เท้าเรานี่แหละ ที่เราจะได้เหยียบหัวไปเรื่อยๆ เวลาอยากแก้เบื่อ...เอาล่ะ Mr. and Mrs. H ใครอยากลองเป็นคนต่อไปคะ
Mr. and Mrs. H ยืนนิ่งอยู่แบบนั้นอย่างไม่มีการเคลื่อนไหว คุณพ่อบ้านที่แสนน่ารักของเราก็เลยช่วยด้วยการเอามีดไปจ่อคอของ Mrs. H ส่วนสาวใช้ผู้อ่อนโยนของเราก็ผลักให้ Mr. H เดินออกไปด้านหนัา ก็แค่กระโดดเล่นไปมาบนแผ่นกระเบื้องเอง ก็ไม่รู้จะโยกโย้ทำตัวน่ารำคาญและถ่วงเวลาทำไม นี่เห็นแบบหน้าซีดๆ ดูเศร้าๆ ก็เลยอยากให้รื่นเริงด้วยเกมส์สนุกๆ ขึ้นมาเท่านั้น
Mr. H กระโดดไปตามแผ่นกระเบื้องต่างๆ อย่างเก้ๆ กังๆ พอกระโดดมาถึงตรงที่เรายืนก็มองอย่างโกรธอาฆาต แต่เราก็แค่ยิ้มให้เท่านั้น อาจเพราะเหนื่อยและโดนบังคับ แต่แค่อยากให้สนุกเอง คิดดูสิ จะไปหาอะไรแบบนี้ได้จากบ้านหลังไหนอีก ไม่น่าขี้โมโหเลยจริงๆ
หลัง Mr. H กระโดดมาถึงฝั่งที่เรายืนแล้ว พ่อบ้านก็ผลักให้ Mrs. H กระโดดบ้าง Mrs. H ตอนแรกเหมือนกลัว แต่อาจเพราะ Mr. H ยืนอยู่ตรงนั้น ก็เลยเกิดความมุ่งมั่นแน่วแน่ขึ้นมาบ้าง กระโดดมาเรื่อยๆ พร้อมๆ กับพ่อบ้านและสาวใช้ของเรา...และ Mrs. H ก็เหมือน Mr. H ที่พอกระโดดมาถึงที่เรายืนอยู่ก็มองอย่างโกรธ อาฆาต แต่เราก็ไม่สนใจอยู่ดี เพราะยังไงก็ออกไปจากที่นี่ไม่ได้จนกว่าการทัวร์คฤหาสน์ของเราจะจบลง
ส่วนที่ 2 ที่เราจะไปคือโดมกระจกขนาดใหญ่ที่เราปลูกผัก - ดอกไม้ - ต้นไม้ไว้เยอะมาก สำหรับการพักผ่อน เราเดินนำคนอื่นๆ ไปตามทางเรื่อยๆ ชี้ชวนให้ดูต้นไม้ ดอกไม้รอบๆ มีผีเสื้อตัวนึงบินผ่านมา เราเลยยื่นมือไปให้มันเกาะ มันก็ลงมาเกาะ เรายิ้มให้มันก่อนปล่อยมันบินต่อไปทิ้งร่องรอยหยดน้ำสีแดงเล็กๆ แทบมองไม่เห็นไว้ที่นิ้วของเรา
เราเดินเข้าไปเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งส่งให้ Mrs. H ตอนแรกนางดูเหมือนจะไม่รับแต่สุดท้ายก็รับดอกไม้ไป เรายิ้มให้เล็กน้อยก่อนย่อตัวลงปัดดินบริเวณนั้นออก จนปรากฏสิ่งที่ลักษณะคล้ายหูคนสีเนื้อๆ โผล่พ้นดินออกมา เราปัดดินออกไปเรื่อยๆ จนปรากฏหัวของคนคนนึงที่มีต้นไม้เล็กๆ งอกออกมาจากหู Mrs. H หวีดร้องเหมือนตกใจเล็กน้อยอยู่ข้างหลัง เราก็ลุกขึ้นปัดดินที่มือออก แล้วหันมาอธิบายให้ Mr. and Mrs. H ฟังว่า
คนบางคนก็ชั่วโดยสันดานแล้วไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบสำหรับการกระทำเฮี้ยๆ ที่สร้างความขุ่นเคืองใจให้คนอื่นจริงๆ มีครั้งหนึ่งเราเดินขึ้นรถโดยสารในเมืองหลวง เจอผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งมองแบบยิ้มเยาะ แม้ใส่หน้ากากปิดปาก แต่สายตาที่เห็นมันมองออก คนเราแสดงความรู้สึกผ่านสายตาได้ ซึ่งถึงไม่รู้จักเรา แต่ก็อาจมาจากอะไรอื่นๆ อย่างการนินทา เพราะโลกใบนี้ถ้ากว้างก็คือกว้าง แคบก็คือแคบ หรือไม่ถ้าไม่รู้จักเราเลยก็คือพวกโรคจิตนี่แหละ ไม่ได้มีไรเกี่ยวข้องกันแล้วมาทำหน้าทำตาแบบนั้น ผู้ชายคนนี้นั่งคู่กับเพื่อน และพูดภาษาอังกฤษกัน เราที่นั่งด้านหลังเยื้องไปอีกฝั่งก็ไม่ได้สนใจไร จนเรามีปัญหากับกระเป๋ารถเมล์เรื่องหน้ากาก ซึ่งบนรถก็มีคนอื่นๆ อีกแต่ไม่เผือก ยกเว้น 2 คนนี้ซึ่งจากการฟังที่พูดภาษาอังกฤษ ถ้าไม่ใช่เรียนอินเตอร์ก็ต้องเรียนต่างประเทศ ตอนลงจากรถเมล์ ผู้ชายที่เป็นเพื่อนก็หันมามองเราด้วยสายตาไม่ได้ดีไร เราเลยเอ่ยลอยๆ แบบมองทำไม ผู้ชายคนนี้ก็ตอบกลับมา และเกิดการต่อข้อความกันขึ้น จนลงจากรถเมล์ ผู้ชายคนนั้นก็บอกให้เราไปหาหมอ ผู้ชายที่มองเราอย่างเยาะๆ ตอนเราขึ้นรถเมล์ก็หัวเราะขึ้นมา ซึ่งไม่แน่จริง เพราะตอนที่ผู้ชาย 2 คนนี้จะลงรถเมล์ เงียบไปนิด จนมาพูดว่าให้เราไปหาหมอคือลงรถไปแล้ว ซึ่งเราคงไม่ยอมเสียเงินค่ารถเมล์แล้วลงไปด่า คือคนอื่นอาจว่าเราบ้านะ แต่ถ้าไม่เริ่มทำสันดานเฮี้ยๆ แบบนี้ก่อน เราก็ไม่สนใจ ก็ไม่ได้รู้จักหรือเจอกันมาก่อน และผู้ชายคนที่มองเราแบบสายตาน่าเอาเท้ายันหน้าคือเป็นลูกครึ่ง ส่วนผู้ชายที่เหมือนยิ้มเยาะไม่แน่ใจผู้ชายแท้มั้ย ผอม ขาว ตี๋ ซึ่งจากการมอง ทั้ง 2 คนน่าจะเป็นพวกมั่นใจในตัวเองสูง ไม่แคร์และชอบเหยียดคนอื่น ก็แบบการเลี้ยงลูก บางทีลูกมีนิสัยไง จะไปโทษการเลี้ยงดูของพ่อแม่ไม่ได้อย่างเดียว แต่ก็คนโดนเลี้ยงแบบโปรยด้วยเงินทั้งที่มีโอกาสในชีวิตดีกว่าหลายๆ คน ที่ถ้าไม่เรียนอินเตอร์ก็เรียนเมืองนอกมา และคนพวกนี้ถ้าไม่ใช่สังคมเดียวกัน เราไปไรกับเขาทั้งที่เขาเฮี้ยกับเรา ก็แค่บอกว่าบ้า แล้วไม่สนใจ...และนี่แหละคือหัวของผู้ชายลูกครึ่งคนนั้นที่เราเอามาฝังไว้ใต้ดินไว้ปลูกต้นไม้....รู้มั้ยที่เรามายืนอยู่ตรงนี้...มันอาจไม่ใช่อะไรที่เกิดขึ้นจริง...แต่ความเกลียดมันคือความจริง...สันดานแบบนี้ต่อให้แช่ง ว่าให้เกิดเรื่องร้ายๆ อย่างโดนหักหลัง อกหักจากคนที่รักมากๆ ที่สุด และขอให้เป็นบ้าจนตาย มันก็ไม่เกิดขึ้นจริงๆ เหมือนกัน....หัวของผู้ชายคนนี้ เราเอาดินใส่ในหูและใส่เมล็ดพันธุ์พืชลงไปให้ต้นไม้มันงอกขึ้นมาจากหู....ส่วนตรงนั้น....คือหัวของผู้ชายคนนั้นที่มองเราด้วยสายตาเยาะๆ...ก็เลยเอาดินใส่ปากให้อ้าออกตลอดเวลาแล้วใส่เมล็ดพันธุ์ลงไปให้ต้นไม้ค่อยๆ งอกออกจากปาก
พูดจบ...ฉันก็เดินนำ Mr. and Mrs. H ต่อไปยังส่วนด้านนอกของโดมกระจก....ตรงนี้เป็นพื้นที่ออกกำลังกาย....มีจักรยานที่ปั่นคู่กันไปเรื่อยๆ ตามทางหลายคู่แต่เว้นช่วงห่างจากกันพอสมควร ดูสงบ...มีบ่อน้ำอยู่ตรงกลาง.....ความจริง Mr. and Mrs. H อาจจะอยากปั่นจักรยานคู่บ้างก็ได้ แต่เราคงไม่มีเวลาอะไรขนาดนั้น เพราะก็ใกล้เวลาอาหารเย็นแล้วด้วย
หลายทีคงว่าเราเห็นแก่ตัว ถ้าเรามาคนเดียวก็คงปั่นได้แต่เลนเดียว แต่หลายคนปั่นคู่ ปั่นเป็นหมู่คณะ ขวางทางคนอื่น แต่มาบอกว่าคนอื่นเห็นแก่ตัว ก็เลยน่าจะปั่นคู่กันตลอดไปให้สาสมใจไปจนตาย และถ้าเกิดอยากเปลี่ยนไปปั่นคนเดียว หรือปั่นตามในเลนเดียว...มื้อต่อไป...เราคงได้กินหัวใจคนอบซอส...จัดให้ตามความต้องการแล้วแต่ก็จะไม่เอา...เรื่องมากจริงๆ...น่าเสียใจจริงๆ ที่วันนี้อาหารต้อนรับ Mr. and Mrs. H ไม่ได้มีหัวใจคนอบซอสในเมนูเพราะไม่มีใครทำผิดกฏที่เราตั้งเอาไว้
เราไม่ได้สนใจสีหน้า Mr. and Mrs. H เท่าไหร่ว่าจะแสดงสีหน้าอย่างไร แต่ถ้าคนตายมันไม่ใช่พวกเขาก็ไม่มีอะไรที่น่าสนใจหรือต้องกังวล
เราเดินนำ Mr. and Mrs. H ต่อไปยังที่มุมๆ นึงของสวนออกกำลังกาย เห็นผู้ชายคนนึงปั่นจักรยานอยู่กับที่ แต่หันเฉพาะหัวไปด้านข้างแล้วหันกลับมาหน้าตรงแล้วหันกลับไปด้านข้างใหม่สลับกันแบบนี้เรื่อยๆ ไม่หยุด...เราเลยอธิบาย Mr. and Mrs. H แบบยังมองผู้ชายคนนั้นอยู่....
บางทีเราก็อาจคิดมากไปก็ได้ แต่คนเรามีปมไรในใจแตกต่างกัน จะว่าเราบ้าก็ได้ แต่บางทีคนมองๆ ไรละแวกที่เรายืนอยู่ เราก็เข้าใจว่าเขามองไรละแวกที่เรายืนอยู่ ก็ไม่ได้สนใจ เพราะใครๆ ก็มีสิทธิ์มองอะไรได้ทั่วไป แต่การกระทำหลังจากนั้นทำให้เราเข้าใจว่าเราไปคิดว่าเขามองเราแบบเราคิดเข้าข้างตัวเอง ซึ่งทำให้เราคิดมาก และไม่พอใจ....คนนี้ก็เลยต้องมาหันหน้าสลับกันไปแบบนี้เรื่อยๆ อยู่ตรงนี้....เราหันไปมอง Mr. and Mrs. H...
อาจจะว่าเราเป็นโรคจิตก็ได้ แต่การที่คนจะเป็นโรคจิตก็เพราะเขามีปมมีปัญหาไรอยู่ในใจมาก่อนและเกิดจากคนบางคนรอบกายเขา ที่สร้างบาดแผลให้เราแล้วเดินออกไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องสนใจว่าใครเป็นยังไง แต่เราเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร ไม่งั้นสิ่งที่เห็นตรงนี้คงไม่เกิดขึ้น...เราหันไปยิ้มให้พ่อบ้านที่ช่วยจัดการอะไรหลายๆ อย่างให้เรียบร้อย....พ่อบ้านโค้งให้เราแทนการตอบรับคำขอบคุณ
เราเดินนำ Mr. and Mrs. H กลับเข้าไปในตัวคฤหาสน์ เดินไปที่ห้องสมุดที่มีชั้นหนังสือมากมาย เราเดินตรงไปที่โซฟาหนึ่ง แล้วเชิญให้ Mr. and Mrs. H เลือกที่นั่งพักได้ตามความพอใจและอนุญาตให้เลือกหนังสือมานั่งอ่านได้ แต่ Mr. and Mrs. H ก็แค่นั่งลงแต่ไม่ลุกขึ้นไปหาหนังสือมาอ่านแต่อย่างไร พ่อบ้านของเราเดินมาเสิร์ฟน้ำชาให้เราและแขก เรามองดู Mr. and Mrs. H นิ่งๆ อย่างครุ่นคิด และหยิบหนังสือบนโต๊ะข้างเรามานั่งเปิดอ่านไปเรื่อยๆ
ผ่านไปประมาณครี่งชั่วโมง ก็ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็น เราเลยวางหนังสือลง แต่พอมอง Mr. and Mrs. H พวกเขา 2 คนกำลังจ้องมองมาที่เราเขม็ง แต่เราเลือกที่จะไม่สนใจ แขกหลายๆ คนที่มาพักก็เอาใจยาก พวกเขาอาจมีความต้องการส่วนตัว ซึ่งเราแม้อาจพยายามดูแลอย่างดีแล้วแต่ก็อาจมีไรที่ทำให้ไม่พอใจก็ได้ ซึ่งเราคงไปดูแลเอาใจใส่ไม่ได้ครอบคลุมทุกอย่าง
เราเดินนำ Mr. and Mrs. H ไปตามชั้นหนังสือเพื่อไปสู่ประตูอีกบานที่อยู่อีกด้านของทางที่เราเข้ามาเพื่อเดินไปสู่ห้องทานอาหาร ตอนใกล้จะเดินถึงประตูทางออก ก็ผ่านชั้นหนังสือหนึ่งที่มีรูปหล่อที่เหมือนคนพยายามตะกายออกจากชั้นหนังสือ เป็นผู้หญิงมีอายุที่มีแขน 2 ข้างโผล่ออกมาในสภาพไขว้คว้าอากาศเหมือนกำลังดิ้นรนหาทางออกจากชั้นหนังสือ...เราเดินไปยืนมองรูปหล่อนี้ทางด้านหน้า
นี่คือผู้หญิงที่ทำร้ายใจเราที่สุดคนหนึ่ง และการทำร้ายใจครั้งนี้ก็ไม่มีใครเข้าข้างและเข้าใจเราสักคน นอกจากคำว่า "บ้า"...ผู้หญิงคนนี้ชอบโกหก ตอแหล ดราม่า ใส่ร้ายใส่ความคนอื่น ทำร้ายคนอื่นและไม่เคยขอโทษหรือยอมรับ ไม่เคยยอมชดใช้สิ่งเลวๆ ที่เคยทำไว้กับคนอื่น การปัดความผิดตัวเองก็คือการโยนคำว่า "บ้า" ใส่คนที่ตัวเองเคยทำเลวด้วย
เหตุผลที่ผู้หญิงคนนี้ต้องมาอยู่ในนี้อย่างน่าสะใจก็คือการเอาหนังสือของเราที่รักมากไปทิ้งหรืิอบริจาคโดยไม่บอกเจ้าของก่อนซึ่งก็คือเรา และดันมีหน้าไปบอกคนอื่น ดราม่าว่าไม่มีคนช่วยยก คนอื่นซึ่งก็คือคนแถวบ้านก็คงสงสารเห็นใจ ทั้งๆ ที่วันนั้นไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากผู้หญิงแก่คนนี้ เพราะถ้าเราอยู่ ไม่มีวันที่ผู้หญิงคนนี้จะพรากหนังสือเหล่านี้ไปจากเราได้ และพอเราถามว่าไปบริจาคที่ไหนก็ไม่ยอมบอก บอกว่าปลวกแทะและไม่ใช่หนังสือของเรา คือป้าซื้อ และโทรขอป้าแล้ว แต่ป้าเขาเอามาไว้ที่บ้านเรามาเป็น 10 ปีเพื่อให้หลานอ่าน และเรื่องปลวกแทะ หนังสือเก่าหลายเล่มในตู้นั้น เราเป็นคนเดียวที่อ่าน และถ้ามีรอยแทะของปลวกคือมีมานานแล้ว อาจมีมาก่อนที่มาอยู่ในตู้นี้หรือมาจากบ้านเก่าก็ได้ เพราะหนังสือเก่าอีกหลายเล่มไม่มีรอยปลวกแทะ แล้วจะมารู้ดีไปกว่าเราได้ไง นอกจากนี้หนังสือใหม่ๆ หรือหนังสือของเราที่เราซื้อเองก็หายไป เราเสียใจมากตอนนั้น อดข้าวไป 4 วัน เอาบุหรี่จี้แขนตัวเองระบายความเจ็บปวดของเราในใจ แต่สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ทำคือ ไม่ยอมรับและขอโทษ หาว่าคนอื่นเขามุ่งไปข้างหน้าแต่เราจะไปขวาง เป็นผู้หญิงสันดานเลวที่ตี 2 หน้าเก่งและสนใจแต่ตัวเอง ความต้องการตัวเอง ไม่สนใครจะเป็นไงทั้งนั้น และที่เราเอาบุหรี่จี้แขนตัวเองเพราะการกระทำเลวๆ ของผู้หญิงคนนี้ กลับหาว่าเราไปมั่วสุมกับเพื่อน ติดยา ไม่ยอมรับว่าเพราะตัวเอง ทำไรไม่เคยผิด ไม่รวมของอื่นๆ ที่หายไป อย่างอัลบั้มรูปเก่าๆ ของเราตอนเด็ก ที่เราฟ้องป้า ก็กระชากหัวเราจากหน้าบ้านไปห้องเก็บของ เปิดกล่องที่มีอัลบั้มรูปให้ดูว่าอยู่ที่นี่ แต่ไม่ใช่ เพราะตอนหลังเราเอาอัลบั้มรูปในกล่องนั้นมาดูเป็นรูปเก่าๆ ของพ่อและรูปอื่นๆ ที่ไม่ใช่อัลบั้มรูปที่เราตามหา รวมถึงพลาสปอร์ตและของอื่นๆ ที่ไม่รู้มายุ่งกับของของคนอื่นทำไม แล้วยังโกหกตอแหล เราไปถามก็เอามีดอีโต้เอาไขควงมาขู่เรา เวรกรรมไม่รู้มีจริงไม่จริง ชาตินี้เราเกิดมาเป็นเจ้ากรรมนายเวรกัน แต่ชาติหน้าหรือชาติต่อไป ถ้ามีจริง อะไรที่เขาทำไว้กับเรา ไม่ต้องชดใช้ให้เรา แต่ไปชดใช้ให้คนอื่นให้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ชาตินี้ทำอะไรไว้กับเรา คือถ้าเราพูดแบบนี้ต่อหน้าเขาหรือใคร ก็คงเหมือนเรา "บ้า" แต่คนที่ทำกับเราก็ไม่ต้องสนใจ อยู่ดีมีสุข ไม่ต้องยอมรับความผิดตัวเองว่าเคยทำอะไรกับใครไว้ และปัดความผิดตัวเองด้วยการโยนคำว่า "บ้า" ใส่คนอื่น แล้ว "จบ"
ผู้หญิงคนนี้เคยไปดราม่ากับคนในหมู่บ้าน แบบเราไม่ให้เงิน คนในหมู่บ้านก็มาคุยกับเรา แบบอกตัญญู คือเรื่องในบ้านคนอื่น ไม่รู้จริง ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ดีก็ได้ พูดว่าโดนคนอื่นทำไม่ดีใส่ ก็ช่วยพูดเรื่องที่ทำไม่ดีกับคนอื่นไว้ด้วย และบอกตรงๆ แม้ตอนนี้เราอาจไม่มีงานทำ ไม่ได้มีเงินมากมาย มีแต่บ้านที่อยู่อาศัย ต่อให้เราตายไป เงินที่เหลือในบัญชีก็ไม่ให้เขา แต่เขาคงไม่ต้องการ เพราะลอยหน้าลอยตาอยู่แบบนี้เพราะเงินป้าที่ช่วยเหลือแหละ ไม่รู้ใครจะตายก่อน แต่ถ้าเขาตายก่อน ไม่ว่าจัดงานศพกี่วัน เราก็ไม่ไป แต่ถ้าเราตายก่อนก็คงเก็บเงินเป็นค่าทำศพตัวเองนั่นแหละ ไม่ต้องมีใครมา น้องสาวเรามาก็มา สวดและเผา ถือว่าหมดเวรหมดกรรมกันไป
บางทีคนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมต่อกันและกัน หลายเรื่องที่ตอแหล อย่างตอนนั้นตอนที่พ่อเราตายใหม่ๆ ก็มีเรื่องกับเรา ตบตี พอเราหนีไปบ้านย่าซึ่งไม่ใช่ย่าแท้ๆ ย่าโทรมาหาเขา อีผู้หญิงคนนี้ก็แสร้งบอกว่าป่วย ย่าก็มาว่าเราแบบแม่เขาป่วย ซึ่งตอแหลโกหกชัดๆ มีแรงตบตีเราได้ขนาดนั้น และไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เขาทำกับเรา พอกลับมาบ้านก็มาบอกเราแบบไม่มีใครเชื่อที่เราพูดหรอก...คนเราจะเลวโดยสันดานแต่เสแสร้งแนบเนียนกับการกระทำที่ดีดีต่อหน้าคนอื่น และผลักเราว่า "บ้า"....แต่เราจะเกลียดเขาไปก็แค่นั้น...แม้สิ่งที่อยู่ตรงนี้แค่จินตนาการ..แต่การที่ผู้หญิงคนนี้ต้องถูกฝังในชั้นหนังสือในท่าตะเกียกตะกายอยากออกไปจากจุดนี้แต่ทำไม่ได้ ก็น่าสะใจเแม้เพียงเล็กน้อยเหมือนกัน....เอาล่ะ Mr. and Mrs. H เราอาจพล่ามมาเยอะ จนน่ารำคาญ เชิญที่ห้องอาหารดีกว่าค่ะ....
เราเดินนำ Mr. and Mrs. H ไปที่ห้องอาหาร นั่งที่หัวโต๊ะและเชิญ Mr. and Mrs. H นั่ง พ่อบ้านเราเสิร์ฟน้ำและของทานเล่นระหว่างรออาหารจานหลัก เรามองดู Mr. and Mrs. H ที่นั่งหน้าซีด เรามองปลอกคอที่ใส่ไว้ที่คอของ Mr. and Mrs. H รวมถึงโซ่ข้อมือ - ข้อเท้าที่อยู่ใต้โต๊ะแต่ก็ใส่มาตั้งแต่ก่อนมาถึงคฤหาสน์เราแล้วแหละ เราหันไปมองพ่อบ้านและสาวใช้ให้จัดการเอาโซ่ที่พันข้อมือพันไว้ที่เก้าอี้ และเอาลูกตุ้มมาพันกับโซ่ที่ข้อเท้าเอาไว้ เพื่อความเรียบร้อย เราอยากให้อะไรอยู่กับที่เท่านั้น
รอสักพักอาหารจานหลักก็มาเสิร์ฟ เป็นอาหารจานใหญ่จริงๆ Mr. and Mrs. H มองอาหารจานนั้นอย่างตื่นตะลึงและทำท่าจะคลุ้มคลั่งขึ้นมา จนพ่อบ้านและสาวใช้ต้องเข้ามากดบ่าเอาไว้
อาหารมื้อสุดพิเศษของเราวันนี้เป็นเด็กผู้หญิงลูกของ Mr. and Mrs. H นั่นเอง โดนผ่าอก แต่เครื่องในโดยเฉพาะหัวใจยังอยู่....เป็นไง...อาหารสุดพิเศษที่เราเตรียมไว้ต้อนรับ Mr. and Mrs. H การว่าคนอื่นว่า "บ้า" โดยที่เขาไม่ได้ไปทำอะไรให้ รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวด ทุกข์ใจและเศร้าใจหรือยัง ว่าการไปว่าคนอื่นเขา "บ้า" สักวันมันก็ถึงคราวที่ตัวเองต้องรู้สึกและรู้ซึ้งถึงความเป็น "บ้า" ด้วยตัวเองบ้าง
เราปล่อยให้ Mr. and Mrs. H คลุ้งคลั่งเสียใจไปเพราะทำไรไม่ได้ แหกปากไปก็พูดไรไม่ได้ เพราะลิ้นโดนตัดออกไปตั้งนานแล้ว แหกปากให้ตายก็ได้แค่อ้าปากและเปล่งเสียงอ้อแอ้น่ารำคาญเท่านั้น เรายกช้อนส้อมตัดหัวใจเด็กออกมาชิม Mr. and Mrs. H หันมองเราด้วยสายตาเครียดแค้นเสียใจอาฆาต ดั่งจะอยากเข้ามาฆ่าเราให้ตาย แต่พ่อบ้านและสาวใช้ของเรากดตัวไว้ ไม่รวมถึงโซ่ที่พันไว้และลูกตุ้มที่ถ่วงขาไว้อีก Mr. H เหมือนจะพยายามเฮือกสุดท้ายด้วยการพ่นน้ำลายใส่หน้าเรา พ่อบ้านเรารีบตบเข้าไปที่หน้า Mr. H ทันที เรายกผ้าขึ้นมาเช็ดหน้า อาหารมื้อนี้ดูกร่อยๆ จริงๆ ถ้าหัวใจคือชิ้นส่วนสุดโปรดของเรา ยังไงก็ต้องขอกินให้หมดก่อนแล้วกัน เรานั่งทานหัวใจไปเรื่อยๆ พยายามไม่สนใจ Mr. and Mrs. H ที่มาทำลายการทานอาหารของเรา จนทานหัวใจหมด Mrs. H ก็เปลี่ยนมาร้องไห้ฟูมฟาย เราอยากเดินเข้าไปปลอบ Mrs. H เพราะยังไงเราก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่มันก็อาจดูยุ่งยากน่ารำคาญเกินไป เรายกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม ไวน์จากขวดเดียวที่ไว้ใช้ต้อนรับ Mr. and Mrs. H ตอนที่มาถึง อ้อ...ก็ผสมเลือดของเด็กน้อยผู้น่าสงสารลงไปด้วย...เพิ่มความหวานอร่อย...บอกแล้วว่าของดี...
เราเห็น Mr. and Mrs. H มาร้องไห้ฟูมฟายอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่มีอารมณ์ในการกินเท่าไหร่ เราก็เลยบอกให้คนรับใช้เราอีก 2 - 3 คนยกศพเด็กออกไป Mr. and Mrs. H เหมือนจะวิ่งไล่ตามออกไปแต่ทำไม่ได้ เราเลยบอก Mr. and Mrs. H ไปว่า เราแค่ให้เอาไปฝังไว้ก่อนที่สุสานหลังคฤหาสน์เราเท่านั้น อยากใกล้ชิดลูกเมื่อกี้ก็ได้ใกล้ชิดไปแล้วไง ตอนนี้ถ้า Mr. and Mrs. H จะฆ่าเราได้คงฆ่าไปแล้วจริงๆ เราก็เห็นใจนะ พอๆ กับหงุดหงิด เลยบอกให้พ่อบ้านและสาวใช้พา Mr. and Mrs. H ไปพักผ่อนด้วยการนวดผ่อนคลาย แล้วเราก็เดินออกจาห้องอาหารไป ซึ่งการนวดผ่อนคลายก็ไม่มีอะไรมาก คือการนวดผ่อนคลายแบบเลาะกระดูกสันหลังออกนั่นเอง ช้าๆ และทรมาณหน่อยๆ ก่อนโยนเข้าเตาเผาไปทั้งพ่อแม่ลูก นี่แหละของกำนัลสุดพิเศษของเรา ที่ในที่สุดพ่อแม่ลูกก็ได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง Happy family และ Happy Ending...
เราออกจากห้องอาหารมาก็ขอของว่างและเครื่องดื่มไปทานเล่นบนห้องจากสาวใช้ เมื่อกี้ยังไม่อิ่ม แต่ไม่อยากดูเรื่องดราม่ามากมาย ทานอะไรไม่ค่อยลง เราเดินขึ้นบันไดไปบนห้องนอน แล้วไปหยุดดูที่รูปหล่อหัวใจที่แปะไว้บนผนังหัวเตียง เป็นหัวใจคนจริงๆ และหล่อขึ้นมาจากหัวใจคนจริงๆ
พ่อบ้านมาหยุดยืนข้างหลังเรา พร้อมของว่าง....เราไม่ได้หันไปมอง ยังจ้องอยู่ที่หัวใจดวงนั้น...นานแล้วนะครับ....พ่อบ้านพูดขึ้น...ใช่..นานแล้ว...หลายสิบปีก่อน....คนเราจะมาตายก็มาตายไปตามอายุขัยแหละ เราอาจเอาตัวเขามาไม่ได้ แต่เราเอาหัวใจเขามาได้....นึกถึงเรื่อง Joanna of Castile ที่มีเรื่องเล่าว่าเปิดดูและลูบศพสามีทุกวัน...ส่วนเราก็คงยืนมองและลูบรูปหล่อหัวใจที่อยู่เหนือหัวเตียงเราทุกวัน...
หลายๆ อย่างในชีวิตที่ดูเจ็บปวด...ก็อาจต้องหาวิธีลบเลือนความเจ็บปวดนั้น...เราเดินไปห้องอีกห้องที่อยู่ติดกัน...นอนลงบนแผ่นไม้ใหญ่แผ่นหนึ่ง...แล้วกางแขนออก...พ่อบ้านเอาตะปูใหญ่มา 4 ตัว ตอกลงบนมือและเท้าทั้ง 2 ข้าง...เจ็บปวดทรมาณนะ...แต่เรามักใช้ความเจ็บภายนอกเพื่อลบล้างความเจ็บภายในเสมอ...ยิ่งเจ็บข้างในมากๆ ก็ยิ่งต้องทรมาณร่างกายภายนอกมากขึ้นไปอีก...
หลังจากตอกตะปูที่มือและเท้าตัวเองเสร็จ...เราก็ไปที่โหลใหญ่อันนึงที่มีน้ำอยู่ภายใน...หลายๆ ทีที่เราก็เครียดมากๆ ปวดหัวหรือมีเสียงและความคิดที่ทำร้ายเรา และไม่มีใครจะเข้าใจหรือรับรู้ พ่อบ้านช่วยนำเข็มแทงเข้าไปที่หนังหัวเรารอบๆ เราใส่หน้ากากแบบ Snorkel แล้วลงไปใต้น้ำในโหล หลับตาและปล่อยใจให้สบาย ไม่คิดอะไรมาก อยากปลดปล่อยเรื่องทุกข์เครียดทั้งหมดทิ้งไป ล่องลอยอยู่ในโหลนี้เรื่อยๆ
"คนเราต่อให้เกลียดใครมากๆ แต่ถ้าเราไม่ได้มีความสำคัญสำหรับเขา
เกลียดเขาไปให้ตาย คนที่เราเกลียดก็ไม่สนใจ และหลายทีก็ว่าเรา "บ้า"
คนเราหลายๆ คนเกิดมาเพื่อทำร้ายกันและกันเสมอ
ให้ชดใช้เวรกรรมและผูกเวรผูกกรรมกัน ไม่มีคำว่า "ปล่อยวาง"
มีแต่ความแค้นและเกลียด แต่บางทีเวรกรรมอาจมีแค่กับเราก็ได้ (มั้ง)
เพราะใครใครก็เห็นอยู่ดีมีสุขกันปกติ"
เรานอนหลับลงบนที่นอนอย่างสงบ และคงผ่านไปอีกคืนหนึ่ง ในฝันที่เราเดินออกจาก "ประตูสีแดง" เดินลงบันไดที่ทอดยาวสู่ความมืดมิดด้านล่าง และตื่นขึ้นมากับความจริงของเราที่ต้องใช้ชีวิตต่อไปอีกวันหนึ่ง กับความเจ็บปวดและความมืดมิดในชีวิตของเราที่ยังคงดำเนินต่อไป
"คนเราหลายคนอาจมองคนที่ทำร้ายเรามากกว่าคนที่ดีกับเรา
อาจเพราะมันสร้างความเกลียด ความแค้นที่ติดตรึงใจมากกว่า
ตัวเราถูกไฟเกลียดเผาจนมอดไหม้ แต่คนที่สร้างความเกลียดให้เรากลับไม่เป็นไร
อาจมีความสุข หัวเราะเยาะที่เราบ้าเพราะความโกรธ
แต่ในช่วงเวลานั้น ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกัน
กับการที่เราสูญเสียคนที่ดีดีกับเราไปด้วยเช่นกัน
เพราะเราจะเอาอคติและประสบการณ์ที่เจ็บปวด
ไปทำร้ายคนที่ดีดีกับเรา"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in