ผมจำชื่อจริงเธอไม่ได้ แต่จำรอยยิ้มเอกลักษณ์นั้นได้ มันค้างคาควบคู่กับจดหมายฉบับแรกที่เธอส่งมาให้ตอนเธอย้ายโรงเรียนไปหลังจบ ม.๔ นั่นเป็นจดหมายบอกความในใจฉบับแรกที่ผมได้รับ –หรือถ้าไม่ใช่ก็น่าใกล้เคียงที่สุด- ฟังดูเหมือนผมมีเสน่ห์ แต่ที่จริงเป็นผมต่างหากที่เขียนไปหาเธอก่อน…
เธอชื่อเชอรี่ เป็นชื่อเล่นที่แปลกและล้ำมากสมัยนั้น ผมแช่แข็งรูปร่างหน้าตาเธอไว้ในความทรงจำด้วยภาพของ เด็กหญิงวัยรุ่นในชุดนักเรียนรีดเรียบ หุ่นสูง นั่งหลังตรง ผมหยักโศก ผิวสองสี ตาโต พูดเร็ว เสียงเบา จนทำให้คนที่ฟังต้องเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อให้ได้ยินเสียงเธอเวลาเธอพูด
เรามักนั่งเรียนใกล้ ๆ กัน (หมายถึงผมแอบไปนั่งใกล้เธอ) ตอนนั้นพวกเราจะใช้วิธีการเรียนแบบเดินเรียน ไม่รู้ว่าสมัยนี้มีหรือไม่ วิธีการคือเมื่อจบแต่ละคาบนักเรียนจะเป็นฝ่ายเดินไปห้องอื่นเพื่อเรียนวิชาต่อไป ผมชอบนั่งโต๊ะด้านหลังต่อจากเธอ ไม่กล้าเข้าไปนั่งด้วยกัน สำหรับเด็กชายวัย ๑๖ ปี การนั่งเรียนผู้หญิงเป็นเรื่องที่น่าอายและมีสิทธิถูกเพื่อนล้อได้เสมอ แล้วยิ่งเป็นผู้หญิงที่ชอบ ไม่ต้องพูดถึงความประหม่าที่จะเกิดเวลาที่ต้องนั่งด้วยกันเลย
ในเวลาเรียนหรือรอครูเข้ามาสอน หลายครั้งที่ผมจะสะกิดให้เธอหันมา แล้วถามคำถามปัญญาอ่อน ที่แม้แต่เด็กก็ตอบได้กับเธอ เรื่องเรียนบ้าง รายการทีวีบ้าง เพลงบ้าง ตามแต่จะนึกได้ ก็ใครจะสนล่ะ เพราะสิ่งที่ต้องการคือการพูดคุยกับเธอไม่ใช่เนื้อหาเสียหน่อย
“การแกล้งโง่ ก็มีข้อดีเหมือนกัน”
จำตอนที่คุณสัมผัสบางส่วนของคนที่คุณชอบครั้งแรกได้ไหม… ผมเคยจับไหล่ของเธอ จับแบบ… เอ่อ… จับอ่ะ จับนานเลย
วันนั้นเธอนั่งโต๊ะข้างหน้าเช่นเดิมคุยเล่นกับเพื่อน ส่วนผมก้มหน้าจดอะไรบางอย่างลงสมุด อาจเป็นโจทย์บางอย่าง หรืออาจเป็นการบ้านวิชาเรียนบางวิชา ผมเงยหน้าสะกิดถามปัญหานั้นแบบเคยตัว เธอหันมาแล้วบอกคำตอบ…
ผมไม่ได้ยินจึงเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ ๆ เธอ ก่อนเอียงหน้าสงสัย เธอก็พูดอีกครั้ง…
“ห๊ะ” ผมขมวดคิ้ว
เธอจึงเอาหลังพิงเก้าอี้แล้วดันจนพนักเอนมาติดกับโต๊ะผม ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ มันใกล้เกินกว่าทุกครั้งที่เราเคยใกล้กัน เธอพูดบางอย่าง แล้วยิ้ม ผมจำไม่ได้ ตาจ้องที่ปากของเธอ กลิ่นหอมอบอวล คิดว่าใบหน้าเราอยู่ใกล้กันเกินไป ใกล้จนกลัวว่าเธอจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงแทบระเบิด ตอนนั้นเหมือนเวลาหยุดอยู่กับที่ ผมยกมือขึ้นจับไหล่เธอ ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าทำไม
เธอหยุดพูด มองที่มือก่อนเหลือกมามองตากันอีกครั้ง เลิกคิ้วขึ้นแล้วยิ้ม เราสบตากันอยู่สักสองวินาที แต่รู้สึกว่ายาวนานจนสามารถเดินทางรอบจักรวาลได้สองรอบ เธอเอามือมาจับมือผมที่วางอยู่บนไหล่มาวางไว้บนโต๊ะ มือของเธออยู่เหนือมือผม วางไว้อย่างนั้นเป็นเวลาเจ็ดรอบจักรวาล ตายตาเธอยังมองมาที่นัยตาผม มือยังสัมผัสกัน สมองว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออก หูร้อนผ่าว ก่อนที่ผมสะดุ้งรู้สึกตัว จึงรีบดึงมือออก มันยังอุ่นและสั่น ทำอะไรไม่ถูกผมจึงลุกออกจากเก้าอี้ไป ไม่รู้ว่าจะไปไหน ไปทำไม ทำอะไร เบลอ ๆ ไปหมด แต่ช่างงดงามยิ่งนัก…
ถ้าเป็นยุคนี้คงต้องใช้คำว่า เบลอว่ารักแถบ สินะ
“เราจะได้ย้ายโรงเรียน ถ้าเราย้าย นายจะมีของขวัญให้เราไหม” เธอถามด้วยหน้าตาทะเล้นพร้อมเอียงคอนิด ๆ
ตอนนั้นผมก้มหน้าวาดรูปอยู่ เธอเข้ามานั่งเคียงข้างก่อนบอกข่าวเรื่องการย้าย ผมเงยมามองหน้าเธอช้า ๆ สบตากับเธอ เหมือนโลกหยุดอีกครั้ง ซึ่งก็คล้ายกับการสบตาครั้งที่ทำให้ผมตกหลุมรักเธอ แต่คราวนี้ต่างไป เธอยิ้มก่อนพูดตัดบท
“ล้อเล่น ไม่เอาหรอกของขวัญ”
“อยากได้อะไรล่ะ” ผมถามเธอก่อนก้มหน้าวาดรูปต่อ
“ไม่อยากได้อะไร แค่อยากมาบอกว่าจะได้ย้าย”
“งั้นวันที่จะไป เดี๋ยวจะไปส่งนะ”
ผมพูดแล้วหันหน้าไปมองเธอ เมื่อเธอฟังแล้วก็อมยิ้ม แล้วลุกเดินจากไปไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่แน่ใจว่านี่เรียกว่าอาการเขินของผู้หญิงหรือเปล่านะ แต่เมื่อคิดว่านี่เป็นการเขิน ผมก็อดอมยิ้มแล้วตามบ้างไม่ได้ สุดท้ายกลายเป็นผมที่หน้าแดงและเขินเสียเอง…
ผมนั่งมอ’ไซค์ ไปกับเพื่อน ในวันที่เธอจะเดินทางไป เมื่อถึง บขส. ซึ่งเป็นในนาทีเกือบท้าย ๆ ที่รถจะของเธอจะออก ผมไม่ได้มีกิจธุระสำคัญก่อนหน้านี้หรอกที่ทำให้ต้องมาช้า เป็นความงี่เง่าของผมเองที่ไม่กล้าไปก่อน ย้อนแย้งระดับ ๘.๓ ริกเตอร์ เพราะเหตุผลที่ทำเช่นนั้นคือ
“ไม่อยากไปเร็วเพราะกลัวว่าเธอจะรู้ว่าชอบ แต่เลือกไปในนาทีสุดท้ายเพื่อให้เธอรู้ว่าชอบ”
คิดในใจว่าตัวเองเป็น เต๋า สมชาย เดินบาดเจ็บไปส่งนางนุ๊ก สุทธิดา ในนาทีสุดท้าย ตามท้องเรื่อง “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว” (งงเด้ งงเด้) ในกระเป๋าเป้มีกล่องดนตรีที่เล่นเพลง Fur Elise ที่บรรจงคัดจังหวะที่ช้า ซึ้ง ที่สุดเท่าที่มนุษย์ชายอายุ ๑๖ จะทำได้
จำได้ดีตอนนั้นเมื่อผมกระหืดกระหอบวิ่ง พร้อมตะโกนเรียกเธอที่กำลังจะก้าวขึ้นรถ เธอหันมามอง ยิ้มแล้วลงมาหา ท่าทางเธอใจเย็น ค่อย ๆ เดินหยุดมาตรงหน้า เรามองหน้ากัน หัวใจผมเต้นแรง อาจมาจากการวิ่ง หรืออาจจะเป็นสิ่งที่คนเป็นกันเมื่อจ้องหน้าคนที่เราชอบ ตอนนั้นมีความคล้ายฉากที่ไข่ย้อยกับดากานดายืนมองหน้ากันและไข่ย้อยสารภาพรัก และดากานดาแสร้งทำหน้าว่าไม่รู้มาก่อน แล้วพูดว่า “มาบอกทำไมตอนนี้”
ซึ่งคงเป็นการดีถ้าผมพูดมันไปแล้วได้คำตอบแบบนี้
เพราะสำหรับผมในตอนนั้น ไม่รู้จะพูดอะไร ส่วนเธอก็รอที่จะฟัง เธอไม่ได้แสร้งหน้าว่าไม่รู้ แต่กลับกันสายตาเธอบอกว่าเธอรู้ และรออยู่ แต่ผมยืนอยู่ตรงนั้น นิ่งเสียจนเลยวินาทีที่ต้องพูดอะไรสักอย่าง เธอยิ้มให้เหมือนเดิม ก่อนจะตัดบทอีกครั้งว่า “ไปก่อนนะ”
“อืม…” แค่นั้นผมพูดแค่นั้น แล้วยืนดูแผ่นหลังของเธอค่อย ๆ เคลื่อนไป “เดี๋ยว…” ผมเรียกเธอ “เดินทางปลอดภัยนะ” ผมบอกเธอด้วยหัวใจที่สั่นไหว แต่ก็ไม่กล้าบอกอะไรมากว่านี้ ไม่กล้าแม้แต่จะเอาของขวัญที่เตรียมมาให้เธอด้วยซ้ำ
เธอหันมายิ้มแล้วเดินลับหายไปในรถทัวร์
เธอไปได้สักสองอาทิตย์ ก็เป็นผมที่เขียนจดหมายหาเธอ เล่าเรื่องราวทั่วไปและเขียนคำพูดที่ผมไม่ได้พูดกับเธอในวันที่เธอขึ้นรถ ก่อนพับอย่างสวยงาม หย่อนลงในกล่องไปรษณีย์สีแดง แต่ไม่ได้เรียกเธอว่า ‘แก’ เหมือนในหนังสือ จากนั่นก็นั่งรอจดหมายตอบกลับ
มันไม่ได้เร็วเหมือนสมัยนี้ ช่วงเวลาที่รอนั้นมันสับสน มันหวาดหวั่น ไม่มั่นใจว่าคำตอบที่ได้จะเป็นอะไร ดีหรือร้าย หรืออาจจะไม่มีอะไรตอบกลับ เป็นสถานะอ่านแล้วแต่ไร้คำตอบเหมือนอแปฯสมัยนี้ก็ได้ แต่แล้วไม่กี่วันต่อมาก็มีจดหมายของเธอมาส่งถึงบ้าน ผมเปิดอ่าน พบเนื้อความจดหมายในหน้าแรกเป็นการทักทายทั่วไป และในหน้าที่สองเป็นเนื้อเพลง ๆ หนึ่ง ทั้งสองหน้าไม่มีคำว่ารัก ไม่คำว่าชอบหรือคิดถึง แต่มันเป็นเนื้อความที่ทำให้แทบกระโดดลงจากบ้านแล้วว่านน้ำข้ามโขงไปแหกปากตะโกนที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อได้อ่านมัน… ยิ่งเนื้อเพลงท่อนท่อนสุดท้ายที่เธอเขียนมา
“เธอยังมีคนที่รักเธอ และเขาก็พร้อมจะไปพร้อมเธอ
รู้ตัวบ้างไหมว่าใครคอยเธอ ขอเพียงให้เธอมองมาสักที
แล้วเธอจะเจอแววตาที่ดี อบอุ่นและมีความหมาย
ฉันยังไม่เคยมีใครเหมือนกัน ต้องการผูกพันเพียงเธอทั้งใจ
หวังให้เธอได้ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง เธอทำได้ไหม”
ผม (เข้าข้างตัวเองว่า) มีแฟนแล้ว…
ผมจำชื่อจริงเธอไม่ได้ และเพื่อน ๆ ทุกคนที่ผมมีก็จำไม่ได้ และก็เป็นการยากที่จะค้นหาในระบบโลกเสมือนสังคมออนไลน์ ราวกับโชคชะตาต้องการให้ผมมีเธอเพียงแค่นั้น…
น่าแปลกนะ คนคนหนึ่งที่รู้จัก ได้ร่ำเรียนด้วยกัน ใกล้ชิด สบตา กระทั่งตกหลุมรัก จะมีสถานะเป็นบุคคลไร้ชื่อ กลายเป็นเพียงรางเลือนในทรงจำ เธอผ่านมาเพียงพบและทิ้งรอยยิ้มไว้ในห้วงคำนึง
ก็เจ็บปวดเหมือนกันเมื่อนึกย้อนไปว่าเราทำคนสำคัญหล่นหายโดยเราจำไม่ได้แม้แต่ชื่อของเธอ วิธีแก้ปัญหาที่พอจะทุเลาปมในใจนี้ได้มีเพียงอย่างเดียวละมั้ง คงต้องตั้งชื่อให้เธอใหม่ เป็นชื่อที่เมื่อผมคิดถึงเธอเมื่อไหร่ ผมจะมีความสุข งั้นผมขอตั้งชื่อเธอว่า “ความรัก”
แม้เราจะโต้ตอบจดหมายกันอยู่หลายฉบับ แต่ก็เป็นเพียงการพูดคุยเรื่องทั่วไป ไม่กล้าที่จะลงลึก หรือถามคำถามเช่น คิดถึงไหม อยากเจอกันไหม เป็นเพียงจดหมายที่เขียนให้กันเพื่อลืมมันไป เขียนเพื่อให้รู้ว่ายังเขียน
จากนั้นไม่นานเราก็สมัครใจทำกันและกันตกหล่น ปล่อยความรู้สึกของหัวใจที่สั่นไหวให้ค่อย ๆ หายไป ความสัมพันธ์ก็ค่อย ๆ ถูกกาลเวลาย่อยสลาย
จนสิบกว่าปีต่อมาก็ตกตะกอนเป็นความรู้สึก รวมกันอยู่ชั้นล่างสุดของความทรงจำ ผุดมาสว่างวาบเพียงเสี้ยววินาที แต่อบอุ่นนิรันดร์
ไม่ได้ถามว่าทำไมเธอถึงส่งเนื้อเพลงเพลงนั้นมาให้ในจดหมายฉบับแรกที่เขียนถึงผม แต่ในเนื้อเพลงบรรทัดสุดท้าย คล้ายเป็นคำถามที่ยังติดอยู่ ค้างอยู่ เป็นคำถามที่ผมไม่ได้ตอบเธอ
“หวังให้เธอได้ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง เธอทำได้ไหม” ซึ่งแปลกตรงที่ถ้าแยกเอาแค่ท่อนนี้ออกมา มันกลับสื่อความหมายของการจากลามากกว่าที่จะบอกรักกัน
ถ้ามีโอกาสที่ได้พบหน้าเธออีกครั้ง ผมก็อยากบอกเธอว่า การจะให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างของใครสักคนนั้นคงเป็นไปไม่ได้ รอยยิ้มนั้น สัมผัสนั้น ภาพแผ่นหลังที่ค่อย ๆ หายไปนั้น ยังคงอยู่เสมอ
และถึงแม้ผมจะลืมชื่อจริงของเธอไป แต่ผมก็ตั้งชื่อใหม่ให้เธอแล้ว
คิด ๆไปก็อยากจะทักทายด้วยชื่อใหม่นี้จังเลย… ทักว่าไงดีนะ
เอาเป็นว่า “สวัสดี ความรัก” … ก็แล้วกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in