ภรรยาถามผ่านสัญญาณโทรศัพท์ ขณะที่ผมนั่งอ่าน"มูราคามิ" ในที่ทำงานรอกลับบ้าน ผมคงไม่สามารถระบุเป็นนาที วินาทีได้ในเรื่องที่เธอถาม และมั่นใจว่าเธอไม่จดจำหรือสนใจเท่าไหร่หรอกว่าผมจะกลับกี่โมง
ผมคิดเสมอว่าการถามของเธอแบบนี้มันแปลว่า "มึงกลับเดี๋ยวนี้"
หลายครั้งหลายคราที่ผมบอกว่าจะกลับกี่โมงแล้วเมื่อเวลากลับจริง ตรงตามที่พูด ช้ากว่าที่บอก หรือเร็วกว่าที่แจ้ง ก็ไม่เห็นว่าชีวิตผมจะดีหรือแย่ลง
ประเด็นสำคัญจริง ๆ คือ "ผมกลับหรือเปล่า"ต่างหาก...
-๒-
ผมนั่งอ่าน"สดับลมขับขาน"มาได้เกินกึ่งนึงแล้ว รับรสชาดความอ้างว้างมาหน่อย ๆ หลายอย่างในเรื่องถูกตอกย้ำให้เราร้าวลึก เรื่องราวของการพัดพรากและห่างหาย ฉุดเรื่องอดีตที่พัดผ่านไปของเราขึ้นมาชำแระ กระป๋องเบียร์และควันบุหรี่ถูกเขียนซ้ำให้เราผูกพัน
ความโดดเดี่ยวของเนื้อเรื่องชวนเราให้อยากอยู่คนเดียว
เมื่อภรรยาโทรมาถามว่าจะ"กลับตอนไหน"จึงสร้างความขุ่นข้องให้ผมความรู้สึกของความโดดเดี่ยวก่อกำเนิดทั้ง ๆ ที่มีเธอข้าง ๆ กาย
ทำไม?
"ไม่อยากกลับเลย" ผมบ่นด้วยความรำคาญ
-๓-
"สเป็กของเตงเป็นแบบนี้หรือเปล่า?"
ภรรยาผมถามพลางชี้ไปที่สาวเชียร์เบียร์ชุดเหลืองตัวเล็กเดินไปเดินมาให้บริการผู้คน ท่ามกลางเสียงเพลง"Better Man" ร๊อบบี้ วิลเลี่ยมถูกขับขานให้ลูกค้าฟัง ในร้านอาหารที่พลุกพล่านกลางเมือง
ผมกลับมาถึงบ้านพบว่าลูกทั้งสองนอนหลับไปเรียบร้อยแล้วจึงชวนภรรยาออกมาหาอะไรกินกัน
เราไม่ได้มากันสองคนแบบนี้นานมากแล้วนานจนทำเราเขินเมื่อเผลอจ้องตากันแบบไม่ตั้งใจ ตอนสั่งยำหอยนางรมณ์
"ก็คล้าย ๆ แบบนั้น"ผมตอบเรื่องที่เธอถาม
"สเป็กเตง ตัวเล็ก ขาว น่ารักเนอะ"
"แล้วของเตงละ"ผมถามกลับ
"เธอพยักปากจู๋ไปที่ชายขาวสูงที่ยืนหน้าเวที"
"ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่สเป็กตัวเอง แต่ทำไมตัวเองเลือกเค้าละ?"
เราต่างถามกัน ก่อนหัวเราะกลบไปแล้วเปิดเปลือยความคิดพูดคุยในอารมณ์ที่ไม่ได้ส่งมอบให้กันมานานแล้ว
-๔-รู้ตัวอีกที เราสองคนพบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในผับ ผู้คนเต้นสนุกสนานเคลือบกลิ่นความเมา จากการสังเกตคนที่มาที่นี่พบว่าคนบางคนมาหาใครสักคนคนบางคนมารอใครสักคนคนบางคนมากับใครสักคนคนบางคนมาค้นหาผู่อื่นและคนบางคนมาค้นหาตัวเอง
เราสองคนนั่งใกล้ลำโพง หมดเบียร์ไปหลายขวดแล้วเสียง ตึก ๆ ๆ บองเบสตามจังหวะกระแทก ปลอกเปลือก เปลือยหัวใจเราทั้งคู่
ในมือผมยังถือหนังสือเล่มเล็ก พยายามอ่านสวนทานความมึนเมากลางแสงไฟและเสียงดนตรี ส่วนเธอไม่ได้เต้นสนุกสนานเช่นนี้ตั้งนานแล้ว
ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีเธอส่ายโยกเย้าในอ้อมแขน เธอกระโดดตามจังหวะดนตรี ส่วนผมโต้คลื่นหมุุนวนของตัวอักษร
ผมดุนจมูกไปที่หลังหู ไหล่ และหน้าผาก เธอบ่อยครั้ง สูดกลิ่นของเราอย่างคิดถึง
ทำไมก่อนหน้านี้เรารู้สึกโดดเดี่ยวทั้ง ๆ ที่มีเธออยู่ข้าง ๆ กาย?
"เรามีเรา แบบที่เป็นเรา มานานเกินไป"
ผมมีเธอในแบบเดียวกันที่ มีมือ มีแขน
เรากลายเป็นอวัยวะของกันและกันโดยไม่รู้ตัว มีประโยชน์แก่กัน แต่ไม่ค่อยให้ความสำคัญซึ่งกันและกันมากนัก
เหมือนใช้จมูกหายใจแต่ก็มักลืมว่าใช้มันอยู่จนกระทั่งวันที่เป็นหวัด คัดจมูกหรือหมดลมหายใจถึงจะระรึกได้ว่า เรายังมีกันและสำคัญแก่กันมากแค่ไหน
-๕-
ความโดดเดี่ยวที่อยู่ในใจก่อนหน้านี้ ทั้งที่มากจากนิยายในมือ หรือมาจากความมืดบอดใด ๆ ก็ตาม ถูกตบกระเด็นหายไปด้วยภาพของเธอที่สนุกสนานอย่างโหยหิว
"บางทีเราไม่ได้เหงาหรือโดดเดี่ยวอะไรหรอก แค่รู้สึกไปเองตะหาก เห็นคนอื่นเป็นก็อยากเป็นบ้าง หลอกตัวเองว่าเจ็บปวด ปล่อยหัวใจให้เจ็บป่วยกับความคิดมากกว่าอาการเจ็บปวดจริง ๆ เสียอีก"
เรากอดกลมกลึงกันเป็นระยะ สูดดมความเริงร่า ดุจวัยรุ่น หลงระเริงในคืนที่ไม่มีความรับผิดชอบให้แบก ปลดเปลื้องทุกความกังวลและความสั่นโยกของชีวิต
"ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่สเป็กตัวเอง แต่ทำไมตัวเองเลือกเค้าละ?"
คำถามที่เราพึ่งหัวเราะกลบหายไปในบทสนทนามากมาย ผมนั่งคิดในขณะที่ปล่อยเธอไร้ความคิด
คำตอบที่ได้คือเราไม่ได้ออกตามหาคนที่อยู่ในสเป็กเราหรอก
เราตั้งสเป็กไว้เพื่อออกค้นหาคนที่จะมาทำลายสเป็กเราต่างหาก
หญิงสาวผู้ที่ไม่ได้เป็นสเป็กของผมเลยทั้งหน้าตาและนิสัย กำลังร่ายรำอยู่ต่อหน้าผม
เธอคือคนที่ทำลายคนในฝันแล้วซอดแทรกเข้ามาเป็นคนในความจริง โดยใช้ทุกอย่างที่เธอเป็น และขับไล่ความโดดเดี่ยวของผมกระเจิงหาย อย่างไร้ปราณี
-๖-
ลาก่อนความโดดเดี่ยว
ผมปล่อยให้เธอสนุกในอ้อมกอดของดนตรีและแสงวูบไหว
และก้มหน้าจ้องมองหนังสือในมือตัวเอง
"มูราคามิ"เหรอ?
เขาว่ากันว่าอ่านมูราคามิแล้วจะ"เหงา"
อยากสารภาพว่า
ผมอ่านที่ไรแม่ง "เมา"ทุกที
เฮ้อ!!!
ลิง5.3.16
15.30
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in