-1-
"เฮ้ย กูขอเธอเป็นแฟนแล้วว่ะ"
คำพูดผมทำเอาเพื่อนชะงัก ก่อนเสียบอลให้ผมแล้วบังคับโรนัลโด้(เหยิน) แหกเข้าไปยิงนำในเกมส์วินนิ่ง อีเลฟเว่น ผมกดสตาร์ทผ่านรัว ๆ เพื่อเขี่ยบอลใหม่
"แล้วไงว่ะ"
"ไม่รู้ว่ะเขายังไม่ตอบ"
มือผมกับเพื่อนยังคงจับจอยเกมส์ ตาจ้องทีวีไม่กระพริบ เสียงพากษ์ภาษาญี่ปุ่นดำเนินต่อไป แต่ในหัวผมได้ล่องลอยออกจากเกมส์ที่อยู่ตรงหน้าเรียบร้อย
ผมค่อย ๆ เปิดหนังสือสังคมศึกษาระดับชั้นมอห้าอ่าน ปกสีม่วงเข้มเนื้อหาเน้นหนักไปที่เศรฐศาสตร์ วิชานี้เป็นวิชาปราบเซียน สอนโดยอาจารย์วุฒิชัย นักเรียนส่วนใหญ่จะจบที่เกรดสอง อีกไม่กี่วันจะสอบ ผมจึงต้องเคี่ยวกับมันมากเป็นพิเศษเพื่อเกรดสามหรือสี่ ผมเปล่าขยันเพื่อการเรียนอะไรมากมายหรอกนะครับ เพียงแต่สานต่อสิ่งที่เคยทำมาแค่นั้นเอง
เทอมที่แล้วผมแอบชอบเพื่อนคนนึงที่เรียนในชั้นเรียน สารภาพรักและอกหักแบบไม่คูล กลับบ้านโดนแม่ปลอบโยนด้วยการไล่ไปล้างจาน ชีวิตขี้แพ้บัดซบ แต่มนุษย์เรียนรู้จะก้าวย่างข้ามมันไป แม้จะไม่อยากลืมตาตื่นในบางเวลา แต่ก็จะโดนกระแสบางอย่างฉุดกระชากให้จำใจต้องเดินต่อไปข้างหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้
ความเปล่าเปลี่ยวกลับมาจูงมือเดินเป็นเพื่อนอีกครั้ง ความชมพูของสิ่งรอบข้างค่อย ๆ กลายเป็นสีดำ และวันนึงก็กลับเป็นสีเดิมที่พวกมันเคยเป็น
หนึ่งเทอมผ่านไป ชีวิตของผมกลับเป็นปกติตามที่มันควรจะเป็น แต่สิ่งที่ตกค้างหลงเหลือก็น่าจะเป็นการอ่านหนังสือมากขึ้น ดูแลตัวเองมากขึ้นแค่นั้นเอง จนกระทั่งวันนึงในวันที่แสนธรรมดาของเด็กธรรมดา
"เฮ้ยมึงยังอยากเล่นป่าวว่ะ กูยิงมึงพรุนแล้วนะเว้ย เย็นนี้มึงจะนอนตะแคงได้ไหมเนี่ย ไส้ไหลนะมึง ฮ่า"
"เอาเหอะ อยากชนะก็ชนะไปเถอะ วันหลังก็เล่นใหม่แค่นั้นเอง"ผมตอบคำถากถางของเพื่อนหลังมันออกนำผม 5 - 1 ในเกมส์ที่เราควบคุมมันอยู่
"ก่อนมาบ้านกู มึงไปไหนมาว่ะ"เพื่อนถามขึ้นอีกครั้ง ในมือกดสามเหลี่ยมค้างให้โกล์ออกมาตัดบอล
"เฮ้อ.อ."ผมถอนหายใจยาว "มึงว่าเขาจะชอบกูบ้างป่าวว่ะ"
"กูว่าเขาก็น่าจะมีอะไรบ้างละ ไม่งั้นก็คงไล่มึงไปนานแล้ว"
"เขาไล่กูนานแล้วแต่กูหน้าด้านเอง ตามอยู่นั่นแหละ หน้าด้านจนขอเขาเป็นแฟนวันนี้แหละ"
"อ้าวเหรอ กูเห็นมึงยิ้มแย้มคิดว่ามึงมองออกว่าเขาชอบมึง "
"อืม"ผมตอบแล้วกดเข้าเมนูวางแผนเพื่อเปลี่ยนตัว
"ห่า กูกะลังจะยิง เปลี่ยนตัวเฉยเลย"มันตบหัวผมแบบเกร็งมือสร้างเสียงกระทบแบบกรอบแน่น
"ว่าแต่กูได้ยินว่ามึงเที่ยวงานกาชาดนิ ไปกี่โมงละ"
"กูพึ่งมาจากงานนิแหละ""อ้าวเหรอ กลับเร็วจัง"
"กูเห็นเธอในงานว่ะ แต่กูไม่กล้าเข้าไปหา" ผมกดออกเมนูเข้าเกมส์ทันที แล้วเสียบสกัดบาติสตูต้าของเพื่อนก่อนมันจะกดง้างขายิง มันเอาตีนถีบเบา ๆ กับกลโกงของผม
"ทำไม ไม่ไปหาเธอละ"
ผมไม่ตอบ กดปุ่มวงกลมสาดบอลยาวออกไป
-2-
หนังสือถูกเปิดมาบทที่สาม ผมพักสูดหายใจแรง ก่อนนึกย้อนกลับไปวันที่รู้สึกว่าเห็นเธอครั้งแรก เธอคนที่ทำให้ผมอยากทุ่มเทให้ใครอีกสักครั้ง
วันนั้น ในห้องสมุดขณะที่เรียนวิชา บรรณารักษ์ เราอยู่กลุ่มเดียวกัน ผมฉีกปกหนังสือใหม่ออก ก่อนที่จะเย็บเล่ม ติดปกแข็ง เธอจะเอาปกที่ฉีกออกมานั้นไปตัดแต่งให้สวยงามเพื่อที่จะเอามาติดคืนตอนที่เราทำปกแข็งให้หนังสือแล้ว
เธอยื่นปกที่ตัดแต่งเสร็จแล้วให้ แต่ผมมัวประกอบปกให้เข้าที่ก่อนไม่ทันสังเกต จนเธอเอามือมาจับที่แขน ผมค่อย ๆ หันไป สบตาเธอความรู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่าเราไม่เคยเจอกันมาก่อนทั้ง ๆ ที่อยู่ห้องเดียวกันมาปีครึ่ง ความรู้สึกราวนิรันดร์ ยังกะใครมากดปุ่มพอสค้างไว้ที่ขยับได้มีเพียงหัวใจที่สั่นไหวอยู่
เธอจ้องตาผม ยิ้มอย่างเขินอาย ผมแปลไม่ออกว่ายิ้มอย่างนี้หมายความอย่างไร แล้วเราก็ช่วยกันทำปกหนังสือตลอดทั้งคาบเรียน
วันนั้นกลับบ้านด้วยอาการเสียศูนย์ ไปไม่เป็น ไปไม่ถูก ยืนล้างจานด้วยรอยยิ้ม จนไม่ทันสังเกตว่าแม่มาจากด้านหลัง
"เทอมก่อน ร้องไห้ไปล้างจานไป วันนี้มึงยิ้มไปล้างจานไป มึงหลงรักจานชฏาแถมผงชูรสเหรอ กูว่ามึงไปหาหมอบ้างก็ดีนะ" แม่ผมกล่าวชื่นชมก่อนเดินจากไป(ผมว่าแม่ผมรู้นะว่าผมเป็นอะไร)
คืนนั้นหลับไป พร้อมกับความตั้งมั่นที่ผุดขึ้นมาในใจของเด็กชายธรรมดา
"ต้องทำอะไรสักอย่าง"
-3-
จบเกมส์ผมโดนเพื่อนถล่มไป 6-2 เป็นสกอร์ที่ไม่น่าเชื่อเพราะผมเป็นต่อในเกมส์นี้อยู่เยอะ เรียกง่าย ๆ ว่าเซียนเลยแหละ
"จอยมึงไม่ดี"ผมแก้ตัวทันทีที่เสียงนกหวีดดัง
"ไม่ดีพ่อง กูพึ่งซื้อมาใหม่"
"กูไม่ชอบบราซิล"
"แล้วเลือกทำไม"
"กู..."เสียงตกเศร้า"เออ..."มันมองหน้าผม
"กูเข้าใจเพื่อน" น้ำเสียงมันเปลี่ยนอย่างอัตโนมัติว่าเราเปลี่ยนเรื่องคุยกันแล้ว
"ถ้ากูเป็นมึงกูก็คงสับสนว่ะ กูก็ไม่เคยมีแฟนก็ไม่รู้จะพูดอะไร แต่มึงอย่าคิดมาก เคยผ่านมันมาแล้วนิ"
"เออ กูเคยผ่านมาแล้ว อารมณ์แบบนี้ ผู้หญิงเขาไม่มีความสามารถในการปฏิเสธ และเด็กผู้ชายอย่างเราก็คิดไปเองเป็นสันดาน จะเจ็บอีกสักครั้งก็ไม่เป็นไรมั้ง"
"เอาน่า มึงไม่มีแฟนก็ยังมีกูนะโว้ย แต่ถ้ามึงมีแฟนกูไม่มั่นใจว่ามึงจะยังมีกูอยู่ป่าว"
"มีสิ กูว่ายังไงเพื่อนก็สำคัญที่สุด กูไม่รู้ว่าถ้ากูอยู่ห้องอื่นมันจะอบอุ่นเหมือนอยู่กับพวกมึงมั้ย"
"กูว่าเหมือนกันวะ กูก็เห็นห้องอื่นมีความสนุกเหมือนเรานะแหละ อาจจะคนละแบบ แต่ก็ไม่ต่างกันในเรื่องของความรู้สึก"
"เออว่ะ"
"ไปกินเต้าหู้ป่ะ" มันชวนเพื่อลดบรรยากาศอึมครึม
"รถอะโฮ่มึงนะเหรอ ขอผ่านว่ะ กูไม่อยากเปื้อนอีกเดี๋ยวแม่กูประทานพรอีก"
"กูซ่อมแล้วไอ้ห่า"
"ฮ่า ๆ กูกะว่าจะกลับไปอ่านสังคมฯซะหน่อยยังไม่ค่อยเข้าใจเลย อุตส่าห์ตั้งใจเรียนมาทั้งเทอมก็ขอเอาเกรดดี ๆ ปลอบใจหน่อยละกัน"
"แหม๋ ๆๆๆๆ ขยันเชียวนะมึง เออๆ ไปเถอะ เดี๋ยวกูซ้อมอีกสักเกมส์ก่อน อย่าคิดมากนะโว้ย"
"ขอบใจว่ะ"
"เออ อย่าลืมอีกอย่างนะ"
"อะไรว่ะ"
"6-2 ฮ่า" "สัส ชนะทีแม่งคุยยันลูกบวช""6-2 เลยนะโว้ย ฮ่า ๆ ๆ"
-4-
ผมเปิดถึง บทที่ห้า หน้าร้อยสามสิบสี่
บทนี้วันนี้ผมกับเธอติวกันเพราะรู้สึกว่ายากมาก อันที่จริงอาจารย์สอนไม่รู้เรื่องต่างหาก(คิดเอาเองตามประสาเด็ก) เราใช้ช่วงบ่ายอยู่ด้วยกัน เพื่อน ๆ ต่างก็เชียร์เลยไม่ค่อยมีคนมายุ่งกับเรามากนัก
ผมตามเทียวไล้เทียวขื่อตื้อเธอ จากความธรรมดาพัฒนามากขึ้น(ตามความรู้สึกผมเอง) เธอไม่ตอบรับแต่ก็ไม่เคยผลักไส ผมถือกระเป๋าให้ ไปซื้อน้ำซื้อขนมตามที่จะทำได้ เธอก็เขินเมื่อได้รับและหน้าแดงเมื่อเพื่อนแซว ตัวเราติดกันแทบจะตลอดเวลา (อันที่จริงผมตามเธอตลอด) กว่าสามเดือนที่คลุกคลีกัน สนุกทุกครั้งที่ไปโรงเรียน แทบร้องไห้ถ้าวันไหนหยุดยาวหรือเธอไม่มาเรียน
ชีวิตไม่ต้องคิดอะไรมาก ทุก ๆ วันมีอะไรให้ดีใจเสมอ เป็นความทรงจำที่ยาวนานในชีวิตวัยรุ่นผมคิดว่าเพลง"ขอบใจที่ทิ้งกัน"ถูกสร้างมาให้ผม มันดังมาก ๆ ช่วงนั้น
"เป็นแฟนเราได้ไหม" ผมถามแทรกท่ามกลางความเงียบหน้าตึกวิทย์ใต้ต้นหูกวางอันร่มรื่น เธอหยุดทุกการกระทำเหลือบตามองผม ขณะที่นิ้วยังจิ้มค้างบนหนังสือสังคมฯหน้าร้อยห้าสิบ
เธอยิ้ม แบบเดียวกับวันแรกที่ผมชอบเธอ แล้วก้มหน้าลงอ่านบทที่ห้าต่ออย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สีหน้าผมค้างเติ่งอยู่กับความครึ่งกลางของความรู้สึก มันเป็นอะไรที่อึดอัด กระแสความอยากรู้พัดผ่านความไม่แน่ใจกับความแน่นอนปะทะกัน
ยังไม่มีคำตอบ ผมเข้าใจ เราอาจยังเด็กอยู่ อาจยังไม่ถึงเวลา หรืออาจจะไม่ใช่ กันและกันยังมาไม่ถึง
ผมนิ่งมองเธออ่านหนังสือจนจบบทที่ห้า
"เย็นนี้จะไปงานกาชาดไหม วันนี้วันสุดท้าย" เธอเงยหน้าถามเปลี่ยนเรื่องคุย มือผมเย็นเฉียบ สูดลมหายใจ ขมิบปากเป็นเส้นตรง ปลดปลงในโชคชะตา
"ไปมั้ง" ผมตอบ"อืม ไม่อยากไปเหรอ"
"ไม่รู้สิ อยากให้ไปด้วยไหมละ" เธอยิ้ม ปิดหนังสือลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
ผมไม่ได้พูดอะไรกับเธออีกตลอดบ่ายนั้น ทำตัวเองไม่ถูก ภาพรากต้นมะขามเทศยกรากเรียกผมลงไปนอนคุยด้วยโผล่มาอีกครั้ง ความสับสนอลม่านก่อเกิดขึ้น
กลิ่นความผิดหวังรุนแรงกระแทกใบหน้า
ตอนเย็นผมเข้าไปงานกาชาด เห็นเธออยู่กับเพื่อน ไม่กล้าเข้าไป ในใจคิดไปเรื่อย หลายอย่าง
จะกวนเธอไหมเธอจะตอบคำถามเรารึเปล่าแล้วความสัมพันธ์ของเราจะเป็นเช่นไร
ผมตัดสินใจไม่ไปหาเธอ วิ่งออกมาตรงไปที่บ้านเพื่อนแทน กดเกมส์สักแมทช์คงดีขึ้น ระบายอะไรสักหน่อยคงช่วยได้
เฮ้อ.อ.อ.อ.ผมอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง ตาค้างที่หน้าสุดท้ายของบทที่ห้า
"เพราะฉันพึ่งบอกรักไป และเธอก็รับฟังทุกอย่าง ทุกถ้อยคำ เหมือนความฝันแต่ฉันเองก็ไม่อาจ แน่ใจ ว่าพรุ่งนี้เขากันฉัน นั่นจะเป็นยังไง" เพลง"ดาว"น้ำเสียงของ โจ้ พอส ดังก้องในหัว สลัดยังไงก็ไม่หลุด ฉุดอารมณ์ผมให้ไปกันใหญ่
ผมกับเธอจะเป็นยังไงต่อไปหนอ ถอนหายใจ
มือพลิกหน้าต่อไป เป็นโน้ตท้ายบทเรียน มีตัวหนังสือลายมือเธอเขียนไว้เล็ก ๆ
เห็นตั้งใจอ่านหนังสือ เลยไม่กล้าชวนไปงานกาชาด อยากให้ไปด้วยมาก ๆ
"คิดถึงนะ"
ผมปิดหนังสือสังคมฯ ลืมทุกเนื้อหา
กระโดดลงจากชั้นสองของบ้านจับมอร์'ไซค์ควบออกไปย่างไม่ลังเล
"กูมานั่งอ่านอะไรอยู่ในห้องตอนนี้ว่ะเนี่ย!!!"
#หนังสือเปลี่ยนชีวิต
#สังคมศึกษาของลิงที่แสนโง่เขลา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in