โดย นายสาม จ.
“มันผิดด้วยเหรอ ที่คนพิการอย่างฉันจะมีความรักกับเขาบ้าง”
...
ผมไม่เคยเห็นผู้พิการทางสายตาที่มากมายขนาดนี้มาก่อน อาจเพราะผมเพิ่งเข้าปีหนึ่งมา ยังปรับตัวกับความรู้สึกและผู้คนใหม่ๆยังไม่ได้ แต่ผมกลับชอบบรรยากาศที่นี่มาก ทั้งกลิ่นไอแห่งเสรีภาพ ความอบอุ่นระหว่างพี่น้องในมหาวิทยาลัย มิตรภาพที่ดีระหว่างเพื่อน และที่สำคัญที่สุดคือการที่มหาวิทยาลัยได้ให้เพื่อนที่พิการทางสายตา ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนในระดับอุดมศึกษาเหมือนอย่างต่างประเทศที่เขาทำกัน
.
.
.
ผมเองก็เหมือนเฟรชชี่คนอื่นๆที่ใช้เวลาอยู่หลายสัปดาห์ ในการปรับตัวเองให้เข้ากับความรู้สึกและบรรยากาศของมหาวิทยาลัย แน่นอนว่าผมและเพื่อนคนอื่นๆสามารถปรับตัวได้เป็นอย่างดี ทั้งในการใช้สิทธิเสรีภาพอย่างมีขอบเขต ความสนิทสนมกับเพื่อนๆและรุ่นพี่ การเรียนในระดับอุดมศึกษา และความรู้สึกดีๆที่มีต่อผู้พิการทางสายตา
.
.
.
ทุกคนคิดว่าเพื่อนผู้พิการทางสายตาแปลกประหลาดไปจากพวกเราใช่มั้ยหละ เวลาอ่านหนังสือก็อ่านไม่ได้ (ก็มันมองไม่เห็นหนิ) เวลาทานข้าวก็รู้สึกอยู่นะว่าอร่อยแต่ไม่รู้ว่าหน้าตาอาหารที่กินมันเป็นยังไง จะเดินทางทีก็ต้องคิดแล้วคิดอีกว่าถ้าไปที่นั่นแล้วจะปลอดภัยหรือไม่ นี่ไม่รวมเวลาอาบน้ำ แต่งตัว เล่นกีฬา ทำการบ้าน ฯลฯ
.
.
.
แต่สำหรับเพื่อนผู้การทางสายตาแล้วกลับเปล่าเลย เพราะธรรมชาติย่อมยุติธรรมเสมอ เวลาอ่านหนังสือก็มีหนังสืออักษรเบรลล์ให้อ่าน ซึ่งก็ไม่ต่างจากหนังสือเรียนปกติเลย เวลาออกเดินทางไปไหนมาไหนก็มีไม้เท้าไว้ตรวจตราสิ่งที่อยู่รอบๆ(ความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายลดลงแล้ว) เวลาทำกิจกรรมก็มีความรู้สึกที่ไวกว่าคนอื่นเสมอ ทั้งเสียงที่ได้ยิน กลิ่นที่ได้ดม อารมณ์ของคนรอบข้าง อย่างที่เขาว่าศักยภาพส่วนอื่นมันมาทดแทนปมด้อยของเราเสมอ ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าจะมีเรื่องอะไรที่ทำให้เพื่อนผู้พิการทางสายตาของผมกลายเป็นตัวประหลาดไปได้
.
.
.
จนวันนึงหลังจากที่ผมกลับจากกิจกรรมรับน้องโต๊ะที่จังหวัดระยอง ช่วงที่กำลังจะเดินกลับหอพักนั่นเอง เพื่อนร่วมโต๊ะของผมได้วานให้ผมช่วยพาเพื่อนผู้พิการทางสายตาสองคนไปส่งที่โรงอาหารกลาง ซึ่งผมเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร จึงได้พาทั้งสองคนไปส่งตามที่เพื่อนร่วมโต๊ะของผมวาน ช่วงที่ผมเดินไปส่งนั่นเอง เพื่อนผู้พิการทางสายตาคนนึงได้เล่าถึงความรู้สึกดีๆของเค้าที่มีต่อเพื่อนร่วมโต๊ะคนนึง
.
.
.
ซึ่งเท่าที่ผมจับใจความได้ก็คือ เพื่อนผู้พิการทางสายตาเล่าว่า จากที่ไม่เคยอยากมาเรียนเลย เพราะกลัวเพื่อนล้อปมด้อยของตัวเอง กลัวเพื่อนต้องลำบากในการช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา กลัวว่าจะเรียนไม่ทันเพื่อน ตอนนี้กลับรู้สึกอยากไปเรียนทุกวัน ไม่ใช่ว่าความกลัวที่ว่ามามันหายไป แต่ว่าความรู้สึกที่อยากจะเจอเขาคนนั้นมันมีมาก มากซะจนกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวทุกอย่างเพียงเพื่อได้ยินเสียงเขาคนนั้น
.
.
.
ความรู้สึกที่ว่า ตอนนอนอยากให้ตื่นเร็วๆ เพื่อที่ว่าวันรุ่งขึ้นตอนไปเรียนหรือว่าตอนทำกิจกรรมต่างๆจะได้ยินเสียงเขาบ้าง แค่เขาคนนั้นกระซิบขึ้นมาเพียงคำเดียว ภาพมืดๆที่เห็นอยู่ทุกวันมันกลับสว่างขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อยากรู้จริงๆว่าวันนี้เขาจะพูดอะไรบ้าง เขาจะทำกิจกรรมอะไรบ้าง
.
.
.
เพื่อนอีกคนก็ถามว่าทำไมไม่บอกความรู้สึกที่มีไป จะได้ไม่ต้องเก็บความรู้สึกแบบนี้นี้ไว้คนเดียว เพราะมันทรมาน ซึ่งเธอก็บอกว่าความรักมันไม่ใช่การเปิดเผยความรู้สึกหรือการครอบครองเสมอไป แค่รู้ว่าเขามีความสุข ได้ยินเสียงของเขาก็พอใจแล้ว และก็อีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากว่าบอกความรู้สึกที่แท้จริงออกไป กลัวว่าความรู้ดีๆระหว่างเพื่อนที่มีให้กันตอนนี้มันจะหายไป คนประหาดอย่างฉันคงมีสิทธิได้แค่นี้แหละ
.
.
.
ประโยคสุดท้ายนี้เองที่ทำให้ผมต้องนำกลับมาคิด บางทีอาจมีเพียงเรื่องความรักเรื่องเดียวเท่านั้น ที่ทำให้เพื่อนผู้พิการทางสายตาของผมกลายเป็น Monster หรือตัวประหลาดไปโดยปริยาย การที่คนๆนึงจะสามารถรักใครสักคนได้นั้นเป็นเรื่องยากก็จริง แต่การที่คนๆนั้นจะเก็บความรักเอาไว้ให้คงอยู่ตลอดไปนั้นยากยิ่งกว่า โดยเฉพาะคนๆนั้นไม่มีโอกาสที่จะเห็นหน้าของคนที่เขารักเลย และบางทีทางเลือกในความรักของพวกเขาเหล่านั้นอาจจะมีไม่มากนัก
.
.
.
โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าการที่เพื่อนผู้พิการทางสายตาคนนั้นเลือกทีจะเก็บความรู้สึกที่ดีไว้ในใจนั้น อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ก็ได้ เพราะว่าการเก็บความรู้สึกดีๆไว้ในใจเรานั้นสามารถเก็บมันไว้มากและนานเท่าไหร่ก็ได้ตามที่เราต้องการ เขาคนนั้นจะอยู่กับเราเสมอทุกวินาที ซึ่งคุณก็รู้ว่ามันมีความสุขมากขนาดไหน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in