เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
อ่านจบแล้วก้มกราบPDpuggerino
หนี Covid-19 ไปแฮงค์เอาท์ที่ British Museum ออนไลน์?
  •        เปิดได้บิวตี้บล็อกเกอร์มากเนื่องจากช่วงนี้อ่านมากสุดก็คือหนังสือสอบกับปรัชญาการเมืองซึ่งเล่าแล้วจะปลอมมาก ดังนั้นเลยเลือกมาทำอะไรที่ตัวเองสนุกดีกว่าค่ะนั่นก็คื้อออ ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ออนไลน์นั่นเอง!  เรื่องของเรื่องคือว่างค่ะ นั่งไถทวิตเตอร์แล้วไปเจอกับเว็บนี้เข้า
                                                        ลองเข้าไปกันได้ค่ะ เครดิตตามนี้เลย 
    https://www.mentalfloss.com/article/75809/12-world-class-museums-you-can-visit-online  
    และก็พบว่า British Museum นั้นเปิดให้ดูพิพิธภัณฑ์รวมทั้งนิทรรศการที่จัด! เปิดแบบเปิดจริงๆ นะคะ เพราะ British Museum เนี่ยเค้าเป็นพาร์ทเนอร์ของ Google Arts & Culture’s ที่ร่วมมือกับพิพิธภัณฑ์ชื่อดังทั่วโลกกว่า 1200 แห่ง เพื่อทำให้งานศิลปะต่างๆ เนี่ยสามารถรับชมได้ในแบบ Virtual Reality ที่เราเข้าไปดูได้ทั้งในแพลทฟอร์มแบบ Website และแบบ Application โดยอาศัยเครื่องมือของ Google Street View ในการพาทัวร์นิทรรศการรวมถึงรูปปั้น สิ่งของต่างๆ พร้อมคำอธิบายแบบรูปด้านล่างเลยค่ะ ถามว่าครบมั้ย ก็อาจจะไม่ครบขนาดนั้นะแต่ก็ได้บรรยากาศภายในเสมือนว่าเราได้ไปเดินสวยๆ ที่พิพิธภัณฑ์ของจริงเลยซึ่งถือว่าเจ๋งมาก!  และทำไมเราพึ่งรู้5555 เพราะจริงๆ เค้ามีมานานแล้วนะคะ ข้อจำกัดทางด้านภาษาก็ตัดทิ้งไปเลยค่ะ เพราะเค้ามี  Google Translate ยังไงก็เข้าไปลองเล่นกันได้นะคะ 
    จากภาพก็เป็นตัวอย่างจากการเข้าไปเยี่ยมชม British Museum จากแอปค่ะ 
    พอกดเข้าไปที่รูปก็จะขึ้นตามรูปด้านล่างเลยค่ะว่ารูปอะไร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ตามภาพก็เป็นประติมากรรมของอเล็กซานเดอร์มหาราชที่จัดแสดง และเราก็จะเห็นได้ว่าในแอปเนี่ยก็มีแท็กให้เราไปค้นต่อด้วยนะ เผื่อสนใจประติมากรรมหินอ่อนเพิ่มเติม

    ถ้าเป็นในส่วนที่มีการจัดโชว์อย่างที่นำรูปมาข้างล่างคือนิทรรศการสิ่งของจากชาวมายัน(?) แม่เจ้า ซึ่งบางนิทรรศการก็สามารถกดน้องตัวส้มและเยี่ยมชมได้เลย 360 องศาแบบนี้เลยค่ะ

                                          ภาพจาก Google Arts&Cultural App 2020

    ว่าแต่ British Museum ไปเอามาได้อย่างไร? 

    เพราะความเป็นจักรวรรดินั่นเองค่ะ และนี่คือบุคคลที่ไปเอามานั่นเองค่ะ  Alfred Percival Maudslay (1850-1931), ซึ่งเป็นทูตจากจักรวรรดิิอังกฤษ นักสำรวจ และนักโบราณคดีซึ่งเป็นคนแรกๆ ศึกษาอารยธรรมมายัน ถ้าสนใจเพิ่มเติมก็เรียนเชิญที่นี่เลยค่ะ ข้อมูลน่าเชื่อถือแน่นอนจาก Victoria&Albert Museum ซึ่งก็น่าไปเยี่ยมชมเหมือนกันนะ!

    แต่ๆๆๆ ขอหยุดการโฆษณาแอปที่เราไม่ได้เงินไว้แต่เพียงเท่านี้ค่ะ เพราะเราจะพาทุกท่านมาชมนิทรรศการนี้ค่า เพราะวันนี้ใจความสำคัญเราก็คือนิทรรศการที่จัดแสดงอย่าง "Buddhist art in Myanmar” หรือชื่อไทยที่เราขอแปลเป็น พุทธศิลป์ในพม่า แบบนี้เลยค่ะ

    ทุกคนอาจจะ What ? ทำไมงานศิลปะพม่าไปอยู่ที่ British Museum ?        ก็เป็นเพราะประวัติศาสตร์การเป็นจักรวรรดิของอังกฤษนั่นเองค่ะที่ทำให้มีงานศิลปะมากมายในพิพิธภัณฑ์ขนาดนี้ ซึ่งในปัจจุบันก็มีการรณรงค์นะว่างานศิลปะหรือสิ่งต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์ให้นำกลับไปคืนเจ้าของที่เคยไปเอามาได้แล้วหรือแม้กระทั่งกรณีที่น่าสนใจอย่างกรณีของบล็อกที่ชื่อว่า  The Exhibitionist” ที่คนเขียนบล็อก คือ  Alice Procter ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์เรียกร้องให้มีการ “decolonizing” งานศิลปะต่างๆ และมองว่าการจัดแสดงงานศิลปะเหล่านี้คือการเฉลิมฉลองและระลึกความหลังของจักวรรดิอังกฤษที่มีแต่ความโหดร้าย การทำเงินจากการค้าทาสและการนำทรัพยากรของอาณานิคมตนเองมาใช้เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับตนเอง อีกทั้งยังเป็นการ “whitewash” ให้ความหมายกับงานศิลปะต่างๆ ในมุมมองของคนขาว เอาง่ายๆ คือ เอามาโชว์ความยิ่งใหญ่จนทำให้หลงลืมเบื้องหลังความโหดร้ายของจักวรรดิ 

     
                                               เครดิต : https://www.theexhibitionist.org 

    ทำไมเราถึงออกนอกเรื่องเก่งขนาดนี้ ไหนๆ ก็ออกนอกเรื่องแล้ว เรามาดูกันต่ออีกนิดนะคะว่าสังคมพม่าเป็นอย่างไรในช่วงก่อนและหลังจักรวรรดิเข้ามาซึ่งเซสชันนี้ก็น่าจะทำให้ทุกคนมองเห็นภาพความโหดร้ายของจักรวรรดิได้มากขึ้น

          ต้องกล่าวก่อนว่าสังคมพม่าเนี่ยก่อนตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษนั้นเป็นสังคมที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นรัฏฐาธิปัตย์ผูกขาดอำนาจของรัฐ และด้วยความที่ไม่ได้แยกรัฐออกจากศาสนาทำให้พระพุทธศาสนาเนี่ยผูกพันกับวิถีชีวิต จารีตประเพณีของประชาชนเป็นอย่างมาก[1]และการปกครองของพม่าอยู่ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และการจัดระเบียบทางสังคมมีการแบ่งออกเป็นชนชั้นปกครองและผู้ถูกปกครอง ถ้าหากคิดภาพราชวงศ์ สภาพสังคมไม่ออกก็จะเป็นภาพประมาณละครเพลิงพระนางเลยค่ะ 

                             เครดิตภาพ: https://www.matichon.co.th/prachachuen/news_475571

               ราชวงศ์และสังคมพม่าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่ออังกฤษเข้ามาปกครองพม่าในฐานะรัฐอาณานิคมก็ได้อ้างความชอบธรรมในการเป็นเจ้าอาณานิคมของตนด้วยอุดมการณ์เสรีนิยม[1]และภารกิจหลักของคนขาวซึ่งเป็นการจัดระเบียบสังคมตามแบบรัฐสมัยใหม่[2]ที่การปกครองจะแยกออกจากตัวผู้ปกครอง มีตรรกะทางเศรษฐกิจของทุนนิยมตะวันตก[3] พม่าซึ่งเป็นรัฐอาณานิคมจึงถือเป็นเครื่องมือในการสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษ ดังนั้นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมจึงถือเป็นผลประโยชน์ในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกของอังกฤษเอง จึงจะเห็นได้ว่าประเทศอังกฤษเข้ามาควบคุมเศรษฐกิจ การเมือง สังคมของพม่าเพื่อหาประโยชน์มากกว่าจะเป็นไปเพื่อการพัฒนาประเทศอาณานิคม ด้วยเหตุนี้เพื่อเป็นการยกระดับประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจของสังคมพม่าจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคอย่างการคมนาคม การสาธารณสุข[4] และที่สำคัญอย่างยิ่งคือการเกิดการศึกษาเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 

                                                  ภาพโรงเรียนพม่าในสมัยก่อนอาณานิคมค่ะ 

    เครดิตภาพจาก : https://commons.trincoll.edu/edreform/2014/05/the-effects-of-the-colonial-period-on-education-in-burma/


           โดยการที่เจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาของพม่าจากเดิมในยุคการศึกษาตามแบบจารีตไปเป็นการศึกษาในโรงเรียนที่ผู้เรียนจะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ตามเป้าประสงค์ของอังกฤษเพื่อมุ่งเน้นการผลิตคนเข้าทำงานในระบบทุนนิยมเสรี[5] ระบบการศึกษาสมัยใหม่นี้มุ่งแยกรัฐออกจากศาสนาและมุ่งเน้นการผลิตกำลังคนส่งผลให้การสร้างโรงเรียนนั้นเป็นไปเพื่อผลิตประชากรผู้มีความรู้ตามความต้องการของรัฐ[6] 

                                          อย่างมหาวิทยาลัยย่างกุ้งเองก็เกิดขึ้นในช่วงอาณานิคมของอังกฤษนะ 
                                          เยี่ยมชมประวัติได้ที่ https://www.uy.edu.mm/yangon-university/

               จะเห็นได้ว่าในการจัดตั้งสถาบันการศึกษาแบบสมัยใหม่จึงมีความแตกต่างจากสถาบันการศึกษาแบบพม่าดั้งเดิม เนื่องจากเจ้าอาณานิคมอย่างประเทศอังกฤษที่ประสงค์การผลิตเจ้าหน้าที่และลูกจ้างระดับล่างที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้เพื่อตอบสนองความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่งของตนเอง[8] การศึกษาในพม่าจึงกลายเป็นสิ่งที่เปิดโอกาสทางเศรษฐกิจ เนื่องจากอังกฤษได้ทําให้ความมุ่งหวังต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาจากเดิมที่เป็นผู้มีมาตรฐานจริยธรรมแบบชาวพุทธของพม่ามาสู่การเป็นเครื่องมือตอบสนองความเติบโตทางเศรษฐกิจและการเป็นพลเมืองที่ว่าง่ายของอาณานิคมอังกฤษจนนำไปสู่วิกฤตความเป็นตัวตนของพม่าที่ผูกพันกับพระพุทธศาสนาอย่างแนบแน่น อีกทั้งการศึกษาตามแบบตะวันตกยังถือเป็นเครื่องมือในการสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมพม่า อันมีที่มาจากการขาดแคลนทุนทรัพย์ในการเล่าเรียน[9]  ทำให้ขาดทักษะภาษาอังกฤษซึ่งเป็นผลผลิตจากระบบการศึกษาแบบสมัยใหม่  ส่วนลูกของชนชั้นกลางหรือชาวอินเดียที่มีฐานะก็สามารถเข้าเรียนโรงเรียนตามแบบตะวันตกที่เรียกว่าโรงเรียนฆราวาสอันมีการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษควบคู่กับภาษาพม่า[10] การศึกษาตามแบบสมัยใหม่นำมาซึ่งโอกาสในการเลื่อนสถานะตนเองภายใต้ระบบทุนนิยมเสรีเนื่องจากภาษาอังกฤษก็ถูกใช้ทั่วไปในงานราชการเช่นกัน โดยเห็นได้จากตลอดยุคอาณานิคม แรงงานที่มีทักษะ ช่างฝีมือ ช่างเทคนิค และเจ้าหน้าที่ระดับสูงถึงกลางที่ต้องใช้ความรู้สูงล้วนเป็นชาวอินเดียและชาวตะวันตก[11] เป็นเหตุให้ชาวพม่าส่วนหนึ่งไม่พอใจจากการถูกทำให้เป็นคนชายขอบจากความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ประกอบกับปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจ จึงก่อให้เกิดการฟื้นคืนความเป็นชาตินิยมขึ้นในชาวพม่ารุ่นใหม่และเกิดการรวมตัวต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราช 

                                                 ภาพพม่าภายใต้การปกครองของอังกฤษ
    เครดิต:https://publishistory.wordpress.com/2013/09/19/did-the-way-the-british-governed-burma-contribute-to-the-rise-of-burmese-nationalism-study-of-the-legal-system-and-religious-policies/. เว็บที่เอารูปมานี่มีเกี่ยวกับ British Empire หรือจักรวรรดิอังกฤษเยอะมากสามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้เลยค่ะ


    ไปไกลมากกกกกก กลับมาทัวร์พิพิธภัณฑ์กันต่อค่ะ ถ้ายังไม่กดปิด555

            นิทรรศการเปิดมาด้วยจักรวาลวิทยา (cosmology) ของพระพุทธศาสนาที่ว่าด้วยสามโลกค่ะ และภาพข้างต้นก็คือสวรรค์นั่นเอง อย่างที่กล่าวไปข้างบนเนอะ การทำดี ทำชั่วเนี่ยก็เป็นหนึ่งในคอนเซ็ปต์ของการปกครองค่ะ พอคนฃเยอะๆ ถึงแม้จะคิดว่าเอ้อ ทำดีเพราะอยากไปสวรรค์ แต่เอาเข้าจริงก็ได้ผล รัฐพม่าในช่วงเวลานั้นจึงผูกเข้ากับศาสนาและทำให้ ทำให้กษัตริย์ได้รับอำนาจในฐานะสมมติเทพได้รับอำนาจจากสวรรค์เลยมีสิทธิธรรมในการปกครองและมีสิทธิ์ขาดในการชี้ชะตาชีวิตของคนในรัฐ

    ภาพนรกของพม่านี่ก็คล้ายๆ ไทยเลยนะคะเนี่ย สมกับเป็นเพื่อนบ้านทีได้รับอิทธิพลทางพระพุทธศาสนามาเหมือกันก็จะเห็นกันได้ว่าประเทศไทยเองก็มีแนวคิดการใช้ศาสนาในการปกครองเหมือนกันอย่างภาพข้างล่างก็เป็นรูปของไตรภูมิพระร่วงที่เราคุ้นเคยตามจิตรกรรมฝาผนังวัดนั่นเอง ศิลปะก็เปลี่ยนไปตามแหล่งกำเนิดและจินตนาการของคนวาดเนอะ ว่าแต่ทำไมชาวนรกนี่ต้องตัวหม่นๆ หมองๆ เหมือนกันทั้งพุทธ ทั้งคริสต์เลยนะ แปลกดีค่ะ

    ภาพด้านล่างก็เป็นนรกของคริสต์ค่ะ มี"หม้อ" เหมือนกันเลย

                            เครดิตภาพจาก : https://www.jw.org/en/bible-teachings/

    ต่อที่ภาพของเนมิราชชาดกซี่งเป็นหนึ่งในทศชาติชาดกที่บำเพ็ญอธิษฐานบารมี แล้วที่เป็นภาพเช่นนี้คือพระเนมิราราชเนี่ยเค้าได้ไปท่องอีกสองภพภูมิมา คือ สวรรค์กับนรก

    ภาพแรกที่นำมาแสดงถึงการไปสวรรค์ของพระเนมิราช

    ภาพต่อมาคือพระเนมิราชไปนรกค่ะ สังเกตที่ "หม้อ" นะคะ

    ลองเทียบกับของไทยที่วัดใหญ่อินทารามกันค่ะ 

                                          เครดิตภาพ : http://scaasa.org/?p=340

    ต่อกันที่ภาพนี้ค่ะ เราเอามาให้ตามข้อความบรรยายที่แสดงในแอพไปเลยเพราะมันเริดมาก เค้าไปเอายันต์มาค่ะ!!

    ภาพนี้นี่เอาภาพนี้นี่เอามาพร้อมคำบรรยายก็เป็นจะเรียกว่าอะไรดี เสื้อคลุมยันต์ลงอาคม ซึ่งจะสังเกตได้ว่ามีเทวดาถือกริช พระพุทธรูปหรือพระพุทธเจ้าก็อยู่รวมกันด้วย มีเลขประกอบ ความหมายตามที่ป้ายบรรยายไว้โดยสรุปก็คือ แจ๊คเก็ตยันต์ลงอาคมนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ พลังของตัวเลข ความเชื่อเรื่องวิญญาณในท้องถิ่น โดยเสื้อคลุมนี้จะช่วยทำให้มีพลังฟันแทงไม่เข้า รวมถึงปกป้องจากลูกกระสุนได้ด้วย หรือความสามารถในการพูดที่เพิ่มมากขึ้นถ้าแบบไทยไทยก็คือสาริกาลิ้นทองอะไรแบบนี้ตามแต่คนใส่จะเลือก ก็ถือเป็นเสื้อคลุมที่ multifunction มาก

    นอกจากผ้า จิตรกรรม ก็ยังมีประติมากรรมและสิ่งของจัดแสดงอีกมากมายแบบนี้เลย

            กล่าวโดยสรุปเลยแล้วกันเนอะ ไม่ค่อยจะพาทัวร์เลย เพราะว่าจริงๆแล้วมีเรื่องที่อยากจะมานำเสนอควบคู่ไปกับการทำทัวร์ก็คือเรื่องของจักรวรรดิและเรื่องความย้อนแย้งของการจัดแสดงสิ่งของผ่านพิพิธภัณฑ์ระดับโลกอย่าง British Museum แล้วก็แง่มุมของพุทธศิลป์ว่าทำไมถึงสำคัญและสะท้อนอะไรต่อการปกครองของพม่า อยากทำเยอะมากออกมาเป็นจับฉ่ายไปเลยจ้า สุดท้ายแล้วบทความนี้ก็ขอเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการยืนยันละกันว่ามันมีเรื่องราวเบื้องหลังมากกว่านี้และเฉลิมฉลองความยิ่งใหญ่ของเทคโนโลยีที่ว้าวมาก อีกทั้งภาพต่างๆ หรือสิ่งของที่นำมาจัดแสดงไม่ใช่แค่เป็นภาพออกมา หรือเป็นรูปปั้นก็จบ แต่ถ้าเรามาลองขบคิดดันต่อหรือรู้เรื่องราวเบื้องหลังก็จะพบว่ายังมีเรื่องราวมากมายภายใต้ศิลปะนั้นนั่นเอง จบสวยมาก55555 ยังไงลองไปเล่นกันดูนะคะ 


    [1] โรเบิร์ต เอช. เทย์เลอร์, รัฐในพม่า, trans. พรรณงาม เง่าธรรมสาร สดใส ขันติวงพงศ์ และศศิธร รัชนี ณ อยุธยา (สมุทรปราการมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย, 2550), 97.

    [2] อ้างแล้ว.

    [3] อ้างแล้ว., 103.

    [4] อ้างแล้ว., 154.

    [5] ตรี จตุรานน, ความเป็นมาของการประกาศให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของพม่าในค.ศ.1961, 32.

    [6] ธนภาษ เดชพาวุฒิกุล, “ผีอังกฤษ จิตวิญญาณพม่า: อาณานิคม ชาตินิยม และการเมืองของภาษาในนโยบายด้าน การศึกษาของพม่า ทศวรรษ 1920-80,” วารสารประวัติศาสตร์, (2559): 89.

    [7] อ้างแล้ว.

    [8] อ้างแล้ว.

    [9] Ni, “The Nationalization of Education in Burma: A Radical Response to the Capitalist Development?,” 19.

    [10] เทย์เลอร์รัฐในพม่า, 157.

    [11] ลลิตา (หิงคานนท์) หาญวงษ์, “หล่ะมยิ้น: บทสะท้อนความคิดทางสังคม-เศรษฐกิจของพม่า จากยุคอาณานิคมถึงยุคหลังอาณานิคม,” วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศว, no. 1 (มกราคม-มิถุนายน 2559): 157

    [12] เทย์เลอร์รัฐในพม่า, 229.

    [13] ธนภาษ เดชพาวุฒิกุล, “ผีอังกฤษ จิตวิญญาณพม่า: อาณานิคม ชาตินิยม และการเมืองของภาษาในนโยบายด้าน การศึกษาของพม่า ทศวรรษ 1920-80,” 93.

    [14] อ้างแล้ว., 9

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in