เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ทิวาสวัสดิ์WITCHARIN NIRANAMKUL
ทิวาสวัสดิ์
  • คำตอบที่เรามักตามหาโดยไม่รู้ตัว คือคำตอบของคำถามที่ว่า "เราเกิดมาทำไม?"
     และ "เรามีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด" แน่นอนว่าใครหลาย ๆ คนคงค้นพบคำตอบนั้นแล้ว 
    และใครอีกหลาย ๆ คนหรืออาจจะไม่มากนัก ที่ยังคงแสวงหาคำตอบนี้โดยไม่รู้ตัว 
    คนที่ไม่รู้ตัวเหล่านี้ มักจะอยู่ในวังวนแห่งความเหนื่อยล้าที่ไม่สามารถระบุเจาะจงได้ว่า . . . 
    สาเหตุมันเกิดมาจากสิ่งใด ภวังค์ที่เอ่ยนามไม่ถูก 
    ราวกับกำลังวิ่งหนีบางอย่างที่มองไม่เห็นอยู่ในเขาวงกต 
    และกำลังมืดแปดด้านแบบสุดขีด มันมักจะเกิด ณ ช่วงเวลาที่ใคร ๆ ต่างเรียกขานว่า 
    "ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ" นั้นไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นไม่บ่อย 
    สำหรับน้อยคน มันเกิดขึ้นบ่อยกว่าที่คิด 
    จนสับสนว่านิยามของคำนี้ แท้จริง มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?

    แสงที่สาดส่องผ่านม่านสีเหลืองอ่อน 
    ลอดผ่านเข้ามาจากซอกตึกที่มีช่องว่ากั้นอยู่ไม่เกินหนึ่งเมตร 
    เป็นการบอกให้รู้ว่ายามทิิวาได้มาถึงแล้ว . . .

    ร่างกายชายหนุ่มที่กำลังทิ้งตัวพิงพนักพิงเก้าอี้ด้วยเรี่ยวแรงเท่ากับศูนย์ 
    ความเหนื่อยล้าที่ต้องต่อสู้กับยามเช้า จิตใจและร่างกายได้ทำศึกสงครามครั้งใหญ่ 
    ภายในภาพมโนนั้น ได้ลุกขึ้นไปทำอะไรต่อมิอะไรก็คงคิดตามในความเป็นจริงไม่ทัน 
    ที่บอกว่าทำตามความเป็นจริงไม่ทันนั้นเพราะ ร่างกายได้หลับลึกแน่นิ่งไม่ไหวติงสิ่งใดเลย 
    ราวกับเป็นร่างไร้วิญญาณ และตัวเลขหนึ่งสามก็ทำให้ร่างกายขยับขึ้นมากะทันหัน 
    พร้อมกับความรู้สึกสำนึกต่อเวลา ว่าได้พรากจากยามเช้าไปอีกวันแล้ว

    "ขอโทษนะตัวผมเอง ผมทำพลาดไปอีกวันแล้ว หนึ่งเปอร์เซ็นยังเป็นสิ่งที่ลำบากอยู่เลย"
    สายตาที่พร่ามัว มองเป็นร่างเปลือยเปล่าอยู่ในกระจกแนวตั้งที่ยาวสองเมตรกว้างหนึ่งเมตร 
    พร้อมผ้าขาวม้าสีแดงลายขาวสลับดำพาดอยู่ตรงบ่า 
    ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูแล้วย่างเท้าเข้าสู่ห้องชำระล้างร่างกายและจิตใจ
    เพื่อให้ตื่นขึ้นมาใช้เวลาที่เหลือของวันตามกฎของหนึ่งเปอร์เซนต์

    "กี่วันแล้วนะ ที่หลับยากตื่นยาก" 
    เสียถอนหายใจดังพร้อมสายน้ำที่ไหลผ่านร่างกายอันไร้เรี่ยงแรง
    เหมือนกับดอกกุหลาบสีขาวที่เหี่ยวเฉากลายเป็นสีน้ำตาล 
    หน้าที่เงยรับน้ำจากฟักบัว ปล่อยให้น้ำไหลผ่านล้างสิ่งสกปรกบนใบหน้า 
    พลันทำให้ใจสงบลง พร้อมต่อจิ๊กซอว์เรื่องราวที่ผ่านมา 
    และการคาดเดาจิ๊กซอว์ชิ้นถัดไปที่มองไม่เห็น . . .

    "ขอให้เป็นอีกวันที่ดี"
    ร่างกายที่เริ่มมีเรี่ยวแรง สายตาที่จ้องมองนัยตาสีน้ำตาลเข้มในกระจก 
    รูม่านตาได้ขยายกว้างหลังจากได้ยินคำพูดนั้น . . . จากตัวเอง . . .

    รสชาติกาแฟในยามบ่ายมันย้อนแย้งกันมาก 
    ความขมที่ต้องกลั้นกลืนและความชื่นใจที่ซาบซ่านผ่านรสชาติอันขมนั้น 
    ชวนให้สับสนกับชีวิต ณ ช่วงเวลาแห่งสงครามกระดาษคำตอบ
    การทำงานแลกตัวเลขหลักเดียวกับอีกสองทศนิยม มันช่างสนุกและทุกข์ใจไปพร้อมกัน สงครามกลางเมืองที่กำลังเริ่มต้น และต่อด้วยสงครามเย็น 
    ช่องว่างอันน้อยนิดที่พอให้ได้หายใจหายคอ ความรู้สึกนี้ไม่ว่าใครคงรู้สึกต่างกัน 
    เหตุผลนั้นคงต้องถามตัวเองว่า ในการทำงานที่ผ่านมานั้น 
    ได้ทำอะไรให้คุ้มกับตัวเลขหลักเดียวกับอีกสองทศนิยมรึเปล่า 
    และสิ่งนี้สำคัญยังไง ระดับความสำคัญมันต่างกัน
     
    ความพยายามไม่ได้แปรผันตรงกับผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป 
    บางทีกลลวงบางอย่างที่มองไม่เห็นก็อาจจะทรยศเรา
    ราวกับลูกธนูที่ปักผ่าชุดเกราะเหล็กกล้าอันหนาเตอะอย่างเฉียบคมและเข้าเป้า 
    เรามักจะเป็นเหยื่อสิ่งนี้ . . . มันอยู่ตรงหน้าเราแท้ ๆ 
    แต่กลับมองไม่เห็นเลยแม้แต่เงา 
    มันไม่ได้ทำให้ตายในทันทีหากเป็นสงครามกลางเมือง 
    แต่ทำให้เราเกิดแผลฉกรรจ์ที่ต้องรีบรักษาก่อนที่สงครามสุดท้ายจะประกาศออกมา 
    ถึงแม้ว่าจะรู้กำหนดการ แต่ระหว่างทางเราอาจจะเจอนักฆ่ามือดีมาดักขัดขวางนักรบอย่างเรา
     
    ช่วงสงครามเย็นถึงแม้จะสงบแต่เราก็ต้องฝึกฝนวิชาการต่อสู้เดิม
    รวมไปถึงวิชาใหม่และขัดอาวุธประจำกายให้คมกริบอยู่เสมอ 
    อุปสรรคอย่างแรกเลยคือ " เวลา "
    หากเทียบเวลาเป็นคนคนหนึ่ง เจ้าหมอนี้น่ะ คือ หมาป่าโดดเดี่ยวที่มีวินัยที่สุดในโลก เลยล่ะ
    อย่าถามว่าเจ้าหมอนี้ทำงานเก่งแค่ไหนเลย 
    ถามตัวเราเองว่าจะกำจัดเจ้าหมอนี่ให้อยู่หมัดได้ไง 
    เพราะเขาก็ทำงานอยู่กับเราโดยแทบไม่มีการสื่อสารใด ๆ บางทีก็โยนงานมาให้เราแบบดื้อ ๆ 
    ซึ่งการนั้นมักถูกเรียก "การบริหารจัดการเวลา" 

    งานเดียวที่เจ้าหมอนี้โยนให้เรา 
    และถ้าเราทำงานกับเจ้าหมาป่าโดดเดี่ยวตัวนี้ได้อย่างเข้าร่องเข้ารอย 
    เหมือนล้อรถไฟและราง ขบวนรถไฟนี้สถิติการตกรางแทบเป็นศูนย์ 
    และจะเดินทางไปได้ไกลอย่างสวัสดิภาพ

    ชื่อของผมคือ 'ภาม' ผมมีวงโคจรประปลาดที่เกิดขึ้นหลังชีวิตเข้าสู่ช่วงวัยยี่สิบ
    วงโคจรนี้เหมือนภวังค์เขาวงกตแห่งคำถามและคำตอบ

    ณ ตอนที่ผมอายุยี่สิบกำลังจะเข้ายี่สิบเอ็ดความประหลาดนี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
    ในช่วงเวลาสงครามกลางเมืองของต้นปีในครั้งที่สามของการทำงานที่มีชื่อว่า 'การศึกษา'
    ในระดับที่จะก้าวสู่ช่วงวัยทำงานโดยแท้จริง
    ทำไมผมถึงเรียกว่าการทำงานงั้นหรอ?
    เพราะมันทำเพื่อหวังผลตอบแทนที่ไม่ใช่ . . . เงิน
    แต่เป็นการแลกตัวเลขเหมือนกัน

    เป็นตัวเลขที่จะเป็นใบเบิกทางสู้เส้นทางการทำงานโดยแท้จริง
    ณ ตอนนี้ดันเกิดภวังค์หรือ วังวนไร้ชื่อเรียก นี้ขึ้นมา
    มันเริ่มจากความสงบทางอารมณ์ กาย และจิตใจ
    เรากับอยู่ ณ ที่กว้างท่ามกลางแสงจ้าของยามทิวา

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in