เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
IN BEAR VIEWKhai Kung
LONELY LAND ดินแดนเดียวดาย



  • LONELY LAND ดินแดนเดียวดาย
    jirabell
    สนพ. BUNBOOK

    ----------
    “แม้จะต้องอยู่ในห้องหับแสนคับแคบแค่ไหน เวลาใครถามว่าจะไปไหนต่อ หากกำลังจะกลับที่พักเขาจะบอกว่ากลับบ้าน ไม่ใช่กลับห้อง

    สำหรับพวกเขา คำว่าบ้านไม่ได้เกี่ยวกับแค่ลักษณะภายนอก แต่เกี่ยวกับคุณค่าทางจิตใจและคนที่อาศัยอยู่ในนั้น

    ใครหลายคนบอกผมว่าฮ่องกงเป็นเมืองเหงา ถ้าไม่ใช่เพราะอิทธิพลของผู้กำกับภาพยนตร์อย่าง หว่อง การ์ ไว ที่หยิบจับอะไรมาเล่าก็ดูเหงางามไปเสียหมด ผมคิดว่าสาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะคนฮ่องกงต้องอาศัยอยู่บนตึกนี่แหละ

    ใครเคยไปยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางเมืองแล้วหันไปทางไหนก็เจอแต่ยอดตึกระฟ้า คงเข้าใจว่าทำไมผมถึงคิดอย่างนั้น

    ก่อนมาเยือน ผมเห็นภาพถ่ายตีแผ่ชีวิตในห้องแคบๆ ที่หันไปทางไหนก็ไม่เจอใคร มีเพียงผนังที่ทำหน้าที่กั้นมนุษย์คนหนึ่งออกจากมนุษย์อีกคน จริงอยู่ ชีวิตชาวฮ่องกงส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าในภาพนั้นมาก แต่ภาพที่เห็นก็ชวนให้รู้สึกถึงความโดดเดี่ยว

    ดังนั้นการที่เราเห็นคนฮ่องกงออกจากห้องมารวมตัวกันในที่สาธารณะ ทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร หรือที่ใดใดจนเบียดเสียดชวนรำคาญตา ส่วนหนึ่งนั้นเพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ จากการนอนอุดอู้อยู่ในห้อง ออกมาสูดอากาศ มองฟ้า มองน้ำ หรือนัดเจอคนรักบ้าง

    ใช่หรือไม่ว่าการอยู่ในห้องแคบทำให้เราอยากออกไปเจอโลกกว้าง

    และการกลับมาอยู่คนเดียว ทำให้เราอยากออกไปเจอใครสักคน”
    ----------

    คงจะพอบอกได้อย่างเต็มปากว่านอกจากเสน่ห์ของหวามเหงาในหนังหว่องกาไวหรือภาพมาเฟียสูปไปป์ในสูทสง่าที่ชินตามาตั้งแต่ไหน การมาฮ่องกงในครั้งนี้ส่วนหนึ่งก็ได้รับอิทธิพลจากหนังสือเล่มนี้นี่แหละ (ตอนที่เขียนถึงหนังสือเล่มนี้กำลังอยู่ที่ฮ่องกงนะครับ และในภาพคือแถวๆ Avenue star หลังจากการแสดง symphony of light จบไปไม่นาน) หลังจากผ่านการอ่านหนังสือของพี่เบลเล่มก่อนหน้ามาแล้วสองเล่ม ประกอบกับได้เห็นภาษาสำนวนสนุกๆในบทสัมภาษณ์ใน Aday มาหลายฉบับ แอบหมั่นใส้ในความคมของทวิตเตอร์มาหลายครั้ง หลังจากนั้นก็สถาปนาตัวเองเป็นแฟนคลับพี่เบลไปโดยปริยาย

    ก่อนหน้านี้ เวลาบอกใครต่อใครว่าจะไปฮ่องกงประมาณหกวัน ก็มักจะได้ปฎิกิริยาโต้ตอบกลับมาในลักษณะแบบว่าจะไปทำไมนานขนาดนั้น จะเที่ยวให้ทั่วจนแบบไม่ต้องกลับมาอีกรอบเลยหรือ แทบทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าฮ่องกงมันไม่มีอะไรหรอก จะไปทำไมตั้งเกือบสัปดาห์....แต่ว่าผมไม่เชื่อเช่นนั้น ลึกๆเชื่อเสมอว่าที่ใดมีคน ที่นั่นย่อมมีอะไร เหมือนที่หนังสือเล่มนี้ฉายชัดให้เห็นว่าภายในเมืองๆนี้มันมีอะไรอีกตั้งเยอะ

    ภาพฮ่องกงที่เคยมองว่าเป็นเมืองสุดแสนจะวุ่นวาย ภายถ่ายตึกสูงมากมายแย่งกันขึ้นท้าทายท้องฟ้าคงกลายเป็นภาพชินตาของใครต่อใคร เพียงแต่หนังสือเล่มนี้พาเราไปดูห้องกงในลักษณะที่โฟกัสไปยังความมีชีวิตของเมือง เหมือนแว่นขยายที่ส่องลงไปให้เห็นถึงความเป็นวิถี และสำรวจชีวิตผู้คนเหล่านั้นก่อนกลั่นออกมาเป็นเรื่องราวคมคายสลับกับภาพถ่ายสวยๆ

    จะว่าเล่มนี้เป็นหนังสือบันทึกการเดินทางที่ชอบเป็นอันดับต้นๆก็ไม่ผิดนัก แทบทุกหน้าที่อ่านเจอ พี่เบลมักจะมีประโยคคมคายซ่อนเอาไว้จนอดคิดไม่ได้ว่ากว่าจะเขียนได้ขนาดนี้ ต้องผ่านโลกหรือฝึกฝนนานขนาดไหนถึงจะเฉียบคายได้มากเท่า เคยลองเปิดสุ่มหน้าเล่นๆ และแทบทุกครั้งในทุกหน้าจะเจอประโชคที่ชอบเสมอๆ ภาษาลื่นไหลชวนให้ผลิกหน้าต่อไปได้เรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็อ่านจบแล้ว

    เป็นหนังสือบันทึกการเดินทางที่เราเองอยากเขียนให้ได้แบบนี้ ไม่จำเป็นต้องเล่าเป็นเส้นตรงเสมอไป เจอเรื่องใดประทับใจอยากบอกต่อก็เล่าเรื่องนั้นออกมา แต่ว่าเป็นการเล่าโดยมองเรื่องราวเหล่านั้นอย่างแจ่มชัดและหยิบมาขยายผ่านแว่นสายตาทีละประเด็นๆ

    รู้มาว่าพี่เบลเป็นผู้ที่แวะเวียนมาฮ่องกงอยู่บ่อยๆ และมักจะเห็นภาพสวยๆของเมืองนี้ผ่านทางเฟสบุ้คของพี่แกเสมอๆ เลยทำให้รู้สึกว่าเฮ้ย เมืองมันก็มีอะไรสวยๆเยอะเหมือนกันนิ และคิดว่าชีวิตนี่น่าจะต้องลองไปดูซักที จนวันนี้ที่เท้าได้มายืนเหยียบและสัมผัสความเป็นฮ่องกงกับตาถึงได้รู้ว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้น แม้มันอาจจะดูเสียงดังและวุ่นวายเกินไปบ้างอย่างที่ใครๆว่า แต่เอาเข้าจริงนั้นก็คือสิ่งที่ทำให้เขาเป็นเมืองเลื่องชื่อได้ถึงทุกวันนี้รึเปล่า

    คำถามคือเราต้องอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดนานขนาดไหนถึงจะมองเห็นสิ่งนั้นได้อย่างลึกซึ้ง นี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมเลือกเดินทางในฮ่องกงโดยใช้เวลามากกว่าที่คนส่วนใหญ่เลือกสักนิด เวลาเหลือเยอะมากพอให้หายใจทิ้งเล่นๆได้ และถ้าโชคดี ก็แอบหวังว่าจะมีเรื่องดีๆกลับไปเล่าให้ฟังบ้าง

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in