เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
One Shot StoryLilith
บัตรยืม(ความรัก)ในหนังสือที่ไม่ต้องคืน
  • ทุกครั้งที่ฉันหยิบหนังสือแปลกๆ ในห้องสมุดโรงเรียนขึ้นมา โดยมิได้สังเกตสนใจ กระทั่งวันหนึ่งที่ชื่อเดิมซ้ำซากกระตุกให้สะกิดใจขึ้นมา ว่าก่อนหน้าที่ฉันจะได้เซ็นชื่อลงบน "บัตรยืมหนังสือ" ท้ายเล่ม จะมีชื่อเขาอยู่ก่อนเสมอ

    มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาด ที่จะได้รับรู้โดยอ้อมว่ามีบางคนสนใจในเนื้อหาทำนองเดียวกัน และอรรถรสของหนังสือแบบที่เราอ่าน จากเริ่มแรกที่แค่สังเกตเห็นว่าเขายืมเล่มเดียวกันก่อนเสมอ หลังจากยืมเล่มโปรดซ้ำสอง บางครั้งก็จะมีชื่อเขาอยู่ถัดจากฉัน ดูเหมือนพวกเราจะมีรสนิยมที่ไม่ต่างกัน แม้ว่าจะไม่เคยพบหน้าสักครั้ง แต่ฉันกลับรู้สึกสนใจและสงสัยเหลือเกิน เขาจะเป็นคนแบบไหนกันหนอ? 

    หนังสือในห้องสมุดเล็กๆ แห่งนี้ มันช่างแคบเหลือเกิน และดูเหมือนจะต่อเติมความสนใจเกินช่วงวัยของฉันไม่เพียงพอ ฉันมองเห็นสีหน้าแปลกใจของอาจารย์บรรณารักษ์ที่ดูจะสงสัยว่าทำไมฉันถึงอ่านหนังสือแปลกๆ บางวันอ่านนิยายคลาสสิกฝรั่ง บางครั้งอ่านหนังสือเกี่ยวกับพันธุ์ไม้ บางครั้งก็กระเดียดไปทางประวัติศาสตร์ และอื่นๆ อีกมากมาย

    ฉันอ่านงานเขียนหลากหลาย คล้ายเป็นนักชิมอาหาร
    ฉันอยากเป็นนักเขียน ฉันจึงต้องอ่านให้มาก
    เหมือนที่คนเป็นเชฟต้องหัดชิมอาหารให้มากเช่นเดียวกัน

    แต่เมื่อใดที่ฉันหยิบหนังสือเล่มที่เหมือนถูกลืมในชั้นว่างอันเร้นลับ ฉันจะพบเจอกับ 'เขา' เสมอ แท้จริงแล้วเขาอาจจะแค่มีชื่อที่โหล ชื่อเด็กผู้ชายจะมีความเลิศหรูอลังการอะไรได้มากมายนัก ขนาดชื่อเด็กผู้หญิงยังซ้ำกันเสียเยอะ แต่ฉันคิดว่า...ชื่อ "อิทธิพัฒน์" ก็ไม่ได้โหลมากมาย อย่างน้อยๆ ที่ฉันผ่านมาจนถึงมัธยมปีที่ห้า ฉันไม่เคยมีเพื่อนร่วมห้องชื่อนี้เลย รวมถึงเพื่อนต่างห้องด้วย ในขณะเดียวกัน...ฉันกับคิดว่า "พรรณวิภา" ที่ฉันเขียนต่อจากชื่อเขา ดูน่าจะซ้ำกับชาวบ้านได้มากกว่าเสียด้วยซ้ำ เอ๊ะ...แลดูจะแอบคล้องจองกันดีเหลือเกินเมื่ออ่านติดต่อกัน อิทธิพัฒน์ - พรรณวิภา...นี่ฉันคิดอะไรแผลงๆ

    พักหลังฉันเริ่มมีความรู้สึกแปลกๆ เหมือนว่าการเสาะแสวงหาหนังสือเล่มที่มีชื่อเขาในบัตรยืมคืน เป็นกิจกรรมที่ทำให้ฉันมีความสุข เวลาที่ได้ลองสุ่มเลือกมาสักเล่ม แล้วพบว่ามีชื่อเขาเคยบันทึกยืมไว้ก่อนหน้าแล้ว ไม่ว่าจะต่อเนื่องกันหรือไม่ ฉันรู้สึกว่ามันเป็นความพิเศษแบบหาได้ยาก ทำนองว่า...มันเป็นพรหมลิขิตหรือเปล่านะ?

    เราไม่อาจตัดสินหนังสือจากหน้าปกได้ ฉันจึงไม่อาจปล่อยให้ตัวเองหลงละเมอเพ้อไปกับโชคชะตาเพียงลำพัง ในเมื่อเรามี 'บางสิ่ง' ที่น่าจะเหมือนกัน ฉันจึงเริ่มปฏิบัติการสื่อสารกับผู้ชายที่ฉันรู้เพียงแต่ชื่อ ไม่อาจเห็นหน้า ฉันบรรจงเขียนข้อความจากหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเราเคยยืมเหมือนๆ กัน 

    "เธอบอกว่าเธอจะเต้นรำกับเรา ถ้าเอาดอกกุหลาบสีแดงมาให้" 
    นักศึกษาหนุ่มน้อยบอก "แต่ในสวนของเราไม่มีกุหลาบแดงแม้แต่ดอกเดียว" 
    นกไนติงเกลตัวเมียได้ยินเสียงของเขาจากรังของมันในต้นโอ๊ค 
    แล้วมันก็แลลอดออกมาจากใบไม้และได้แต่คิดสงสัย 

    แล้วฉันก็สอดไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งคิดว่าเขาน่าจะยืมซ้ำอีกครั้ง เหมือนกับที่ฉันทำ แม้ว่าเนื้อหาของมันจะห่างกันเป็นร้อยปีก็เถอะ แล้วฉันก็วางหนังสือกลับเข้าที่เดิม หากมันเป็นพรหมลิขิตจริงๆ เขาก็คงจะมาเจอ แล้วก็อาจจะ...อาจจะนะ...อาจจะมีอะไรตอบกลับมา

    ฉันแอบไปดูหนังสือเล่มนี้ทุกวัน ไม่ใช่แค่เพราะความอยากรู้อยากเห็นอย่างเดียวหรอก ฉันเข้าห้องสมุดทุกวันอยู่แล้ว แวะไปดูก็คงไม่เสียหาย และวันที่สามนับจากนั้นเอง ที่โน้ตของฉันถูกเปลี่ยนเป็นดอกกุหลาบสีแดงซึ่งถูกรีดทับให้แห้ง พร้อมกับข้อความที่ถูกทิ้งไว้

    "ไม่อยากให้นกไนติงเกลต้องจิกเลือดมาย้อมดอกกุหลาบขาวเพื่อความรัก 
    มันโหดร้ายเกินไป แม้ว่าจะเป็นสไตล์ในเทพนิยายของออสการ์ ไวลด์ก็ตามเถอะ 
    คราวหน้าอ่านเล่มที่มันสดชื่นกว่านี้หน่อยไหม?"

    หัวใจฉันเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ แบบเดียวกับลายมือโย้เย้ที่ไม่ค่อยเรียบร้อยของเขา ดีังที่เขาตอบกลับมา เขาเองก็คงจะสังเกตเห็นฉันบ้างหรอก อย่างน้อยๆ ก็ชื่อฉันตอนยืมหนังสือซ้ำนั่นแหละ เขาจะรู้ไหมว่าเป็นใครที่ส่งข้อความถึงเขา? คงไม่มีอะไรจะบอกแน่ชัดได้ว่าเค้ารู้หรือไม่รู้ แต่ที่ฉันสนใจโดยแท้จริงคือที่ว่า...เขาจะอยากคุยกับฉันอีกหรือเปล่า? คงไม่มีทางได้คำตอบ...ถ้าฉันไม่ถาม ฉันจึงเขียนข้อความต่อไปอีก และใส่ไว้ในหนังสือต้นฉบับเล่มที่ลอกมาครั้งแรก

    "ฉันเคยคิดแต่ว่า กาพย์กลอนเป็นเสมือนอาหารของความรัก"

    มันถูกสอดไว้ในหนังสือเทพนิยายออสการ์ ไวลด์ ในหน้าและเรื่องเดียวกับข้อความแรก นั่นคือเรื่องของ "นกไนติงเกลและดอกกุหลาบ" ในเมื่อเขารู้ว่าฉันลอกข้อความจากเล่มไหนมา ไม่ช้าเขาคงจะแอบเห็นจิ๊กซอว์ที่ฉันทิ้งไว้ให้อีก และเป็นดังที่คาด เพียงแต่คราวนี้เขาตอบมาด้วยข้อความในหนังสือเล่มเดียวกัน และต่อเนื่องกับประโยคที่ฉันคัดมา

    "อาจเป็นได้สำหรับความรักที่งดงาม มั่นคง และสมบูรณ์
    ทุกๆ สิ่งล้วนหล่อเลี้ยงบำรุงสิ่งที่มั่นคงแข็งแรงอยู่พร้อมแล้ว"
    ----
     โอเค เธออ่านเจน ออสติน เราไม่แปลกใจในความเชยของเธอเลย
    แต่ในความเชย...เธอก็คงเห็นความโรแมนติกในเรื่อง Pride & Prejudice แน่
    อย่างน้อยๆ เธอก็คงชอบมิสเตอร์ดาร์ซี ถึงได้จำข้อความของเขาแม่น
    เราคิดว่าผู้หญิงเกือบทุกคนรักมิสเตอร์ดาร์ซี

    ฉันร้อนรนจนแทบจะเขียนตอบกลับไปว่า...สำหรับฉันเขาก็เหมือนมิสเตอร์ดาร์ซีในเรื่องนี้ เพราะคำตอบของเขาดูทรนงตัวเหลือเกิน ว่าง่ายๆ ก็ดูเหยียดและหยิ่งในความอ่านมากของเขานั่นแหละ ทว่า...ฉันยังยั้งมือได้ทัน จึงได้แต่เขียนโน้ตทิ้งไว้ใน Pride & Prejudice อีก ทว่าคราวนี้เป็นหลังจากที่ฉันยืมนิยายเรื่องนี้อีกรอบ แล้วตั้งใจมาคืนในวันที่ฉันสังเกตว่าเขาจะตอบ เพื่อเฝ้าดูว่าจะมีใครหยิบหนังสือเล่มนี้จากกองหนังสือคืน เพราะมันมีแค่เล่มเดียวในห้องสมุดโรงเรียน บอกแล้วไง...ฉันออกจะอ่านหนังสืออะไรเกินวัย

    "นายคิดยังไงที่ตอบกลับมา"

    ฉันรออยู่จนเกือบหมดเวลาพักเที่ยง เผลอหลับไปแว้บหนึ่ง พอตื่นมาก็เจอแผ่นหลังกว้างๆ ของหนุ่มแว่นตัวอวบยืนอยู่หน้าชั้นคืนหนังสือ โอ้...ไม่นะ เขากำลังวาง Pride & Prejudice ลงไป ฉันวาดฝันว่ามิสเตอร์ดาร์ซีของฉันอาจจะดูดีกว่านี้ ออกหล่อๆ ขาวๆ เกาหลี แต่นี่มาแบบตัวอวบอ้วนแสนเนิร์ด ฝันสลายเลยเรา ฉันถอนใจยาวๆ คิดว่าคงไม่เสียเวลาจีบ เอ้ย ส่งข้อความหาเขาอีก

    เวลาผ่านไปเป็นเดือน ฉันแค่คิดถึงความโรแมนติกของมิสเตอร์ดาร์ซี บวกกับห้องสมุดไม่มีเล่มไหนน่าสนใจหรือสะดุดตา ฉันจึงตั้งใจจะยืม Pride & Prejudice รอบที่สาม และเมื่อถือมันกลับมาอ่านที่บ้าน จังหวะที่เปิดหนังสือ กระดาษแผ่นหนึ่งก็หล่นลงมา...

    "แล้วเธอคิดยังไงที่เขียนหาคนไม่รู้จักล่ะ"

    ให้ตาย อีตานั่นยังกล้าเขียนกลับมาอีกแน่ะ คงคิดว่าตัวเองมีโอกาสโรแมนติกแบบพระเอกนิยายสินะ ฉันปัดมันลงถังขยะไปแบบไม่แยแส ก่อนเอนตัวนอนลงบนเตียงพลิกอ่านหนังสือต่อไปเริื่อยๆ แล้วโน้ตอีกแผ่นก็ปรากฏแก่สายตา 

    "ขอโทษที่ตอบช้า เราติดซ้อม ไม่ค่อยได้เข้าห้องสมุด
    แต่เราตอบแล้วนะ เธอจะไม่คุยกับเราอีกเหรอ?"

    โน้ตไม่ได้ลงวันที่ คราวนี้ฉันเริ่มแปลกใจ การตอบแบบนี้แสดงว่าเขาไม่ได้เห็นข้อความของฉันตั้งแต่วันนั้นสินะ แล้วคำว่าติดซ้อม...ซ้อมอะไร? ดนตรี? กีฬา? จะยังไงก็ช่าง...เขาคงไม่ใช่นายหมูอ้วนใส่แว่นคนนั้นแน่ๆ ฉันเลยลุกพรวด รื้อหนังสือดูทั้งเล่ม มีอีกสองข้อความ

    "นางสาวเบนเน็ต เธอโกรธสินะ
     หรือไม่ก็คงเลิกทำอะไรไร้สาระแบบนี้แล้ว
    แต่เราก็ยังคาดหวังว่าจะได้คุยกับเธออีกนะ พรรณวิภา 
    ถ้าไม่ใช่ก็ถือซะว่าเราไม่เคยเขียน" 

    มิสเตอร์ดาร์ซีของฉันดูจะมีความอดทนพอตัวจริงๆ และอดทนมากจนมีโน้ตอันสุดท้าย ซึ่งฉันต้องตอบแน่นอน เพราะมันมาจากหนังสือโปรดฉันอีกเล่ม รวมทั้ง...ฉันอยากมีโอกาสรู้จักเขามากขึ้นไปอีก มากกว่าแค่กุหลาบหนึ่งดอกกับข้อความ 5 ฉบับ เขาคัดข้อความมาจาก The Reader ว่า...

    "ผมรู้ตัวว่าหลงรักเธอเข้าแล้ว ผมนอนไม่หลับ 
    ผมโหยหาเธอ ผมใฝ่ฝันถึงเธอทุกขณะจิต
    ในห้วงคำนึง ผมรู้สึกว่าได้กอดรัดสัมผัสเธอ
    ก่อนจะตระหนักความจริงว่าตัวเองกำลังกอดรัดบรรดาหมอนข้างหรือผ้าห่มอยู่"
    ----
    บ้าว่ะ เรากำลังทำอะไรอยู่วะ 
    ป.ล. เธอคงไม่ตอบ แต่ถ้าเธอตอบ เราจะถือว่าเธออยากคุย 

    แน่นอนสิว่าฉันต้องอยากคุย ไม่งั้นฉันจะเริ่มเขียนก่อนเหรอ ไม่อ่านล่ะ ฉันรีบเขียนถึงเขาทันที พรุ่งนี้จะเอาไปคืนห้องสมุด ดูสิว่า 'มิคาเอล แบร์ก' (ตัวเอกในนิยาย) จะเขียนตอบกลับมาว่าอย่างไร 

    ทางเดินจากตึกที่ฉันเรียนจำเป็นต้องเดินตัดผ่านลานกว้างที่ดัดแปลงเป็นเหมือนลานกีฬา เด็กผู้ชายมักจับกลุ่มเตะบอลกันทุกเที่ยงและเย็น มันเหมือนเป็นคำสาปอะไรสักอย่างสำหรับความเพ้อเจ้อ ลูกบอลลูกหนึ่งลอยมาเข้าหัวฉัน แว่นตาและหนังสือกระเด็น ฉันรู้สึกมึนเกินกว่าจะลุกขึ้นยืนทันทีหลังจากรู้ตัวว่าล้มลง เด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งเดินมาช่วยกันดึงตัวฉัน กับเก็บข้าวของให้ แล้วก็กลายเป็นว่าเขาเจอหลักฐานน่าอายเข้าเต็มเปา คือโน้ตน้ำเน่าที่ฉันตั้งใจเขียนส่งให้นายอิทธิพัฒน์ผู้ที่ฉันไม่เคยเห็นหน้า

    "นายไม่คิดว่ามันออกจะอีโรติกเกินไปเหรอที่เลือก The Reader
    แต่เราคิดว่าถ้าเราเป็นฟลาว ชมิทซ์ เราก็อยากให้นายอ่านให้ฟัง
    อย่าคิดไปถึงเรื่องอย่างว่าล่ะ พวกเราคงเด็กเกินไป"

    คนอ่านหัวเราะเยาะในความเพ้อเจ้อที่เขาคงไม่เข้าใจ ฉันเขินจนรู้สึกร้อนที่หน้า ลืมความรู้สึกเจ็บที่หัวไปหมด ฉันผละมือออกจากเด็กชายที่พยุงให้ฉันยืนขึ้น อับอายจนทิ้งไอ้กระดาษแผ่นนั้นไว้นั่นแหละ แต่ไม่ลืมหยิบหนังสือกลับไปคืนห้องสมุดทันที รู้สึกแย่ที่เหมือนโดนคนจับไต่ความใคร่อันเพ้อเจ้อได้ ในระหว่างที่กำลังลังเลว่าจะคืน Pride & Prejudice เฉยๆ โดยที่ไม่ติดต่อเขาอีกเลยดีไหม การที่มีคนอื่นเห็นและหัวเราะเยาะกับสิ่งบ้าๆ ที่เราทำลงไปโดยตั้งใจ ด้วยความรู้สึกพิเศษ แต่เพ้อเจ้อในสายตาคนอื่น มันทำให้เรารู้สึกผิดและเสียใจไปพร้อมกัน

    ขณะที่กำลังส่งหนังสือคืนบรรณารักษ์ มีใครบางคนสะกิดฉัน พอหันกลับไปจึงพบกับเด็กผู้ชายร่างสูงเพรียวคนหนึ่ง เขาสวมแว่น ผิวกรำแดดนิดหน่อย คุ้นเหมือนจะเป็นหนึ่งในกลุ่มเด็กเตะบอลตะกี้ ฉันมองแถบดาวบนเสื้อ เหมือนว่าเขาแก่กว่า อยู่ม.หก ในมือเขามีกระดาษยู่ยี่แผ่นหนึ่งกำลังยื่นส่งให้ มันถูกพับสี่ทบจนดูเล็กลงกว่าความจริง

    "น้องทำตกไว้ตะกี้ พี่เลยเก็บมาคืน น้องวิ่งเร็วจนจะตามไม่ทันเลย" เขาว่า

    "ขอบคุณค่ะ" ฉันพูดเสียงอ้อมแอ้มในลำคอ ความกระดากอายยังไม่คลายหายไป

    "The Reader เป็นหนังสือที่ดีนะ ถ้าเราไม่มัวสนใจแต่เรื่องอีโรติก"

    เขาพูดหลังจากที่ฉันหยิบกระดาษมา อาจารย์บรรณารักษ์ยิ้มกรุ้มกริ่มขณะแกล้งทำเป็นไม่สนใจตอนเก็บหนังสือไปวางบนชั้นคืน รุ่นพี่เดินจากไปอย่างรวดเร็วด้วยช่วงขาที่ยาวกว่าฉัน เมื่อคืนหนังสือเสร็จ ฉันจึงเดินเรื่อยเปื่อยมาตรงชั้นนิยาย สบตาอยู่กับ The Reader บนชั้น...ตอนที่เปิดกระดาษออกเพื่อดูหลักฐานประจานความเพ้อของตัวเอง

    อ้าว...ไม่ใช่ลายมือของฉันนี่ แต่เป็นลายมือที่ดูคุ้นตา ข้อความเองก็เปลี่ยนไป มันถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือโย้เย้แบบเดียวกับเจ้าของดอกกุหลาบแห้ง แบบเดียวกับมิสเตอร์ดาร์ซี และน่าจะเป็นคนเดียวกับนายมิคาเอล แบร์กนั่นด้วย 

    "เป็นเวลาตลอดสัปดาห์เต็มที่ผมพยายามไม่คิดอะไรเกี่ยวกับเธอ
    แต่มันแย่ตรงที่ว่าผมไม่มีอะไรจะทำเพื่อจะเบนความสนใจไปจากเรื่องนี้"

    ฉันเงยหน้าขึ้นไป ควรที่จะได้สบตากับสันหนังสือ The Reader แต่กลับเป็นนัยน์ตาภายใต้กรอบแว่นซึ่งควรจะหายไปจากห้องสมุดตั้งแต่เมื่อกี้ ฉันก้มลงเพื่อจะเก็บกระดาษแผ่นนั้นในกระเป๋ากระโปรง พอเงยขึ้นอีกที เขาก็หายไปแล้ว ฉันคิดว่าจะไม่ยอมให้เขาเป็นเพียงชื่อในบัตรยืมหนังสือที่ฉันต้องคอยยืมและคืนวนไปเช่นนี้ 

    ฉันคว้าหนังสือเล่มนั้น...ทำไมก็ไม่รู้ แต่ฉันเชื่อว่ามันจำเป็น แล้ววิ่งตามเขาไป ลืมเสียงทัดทานจากบรรณารักษ์ห้องสมุด และเสียงเตือนบาร์โค้ดของหนังสือตรงประตู มองเห็นหลังเขาไวๆ ที่ซุ้มไม้ข้างห้องสมุด ฉันติดตามอย่างไม่ละความพยายามจนคว้าชายเสื้อของเขาไว้ได้ พร้อมกับเอ่ยประโยคที่กล้าหาญที่สุดในชีวิต (แถมไม่คิดว่าจะได้พูดด้วย)

    "พี่คะ หนูชอบพี่ค่ะ"

    มือฉันยังคาอยู่ที่ชายเสื้อสีขาวของเขา ทุกอย่างนิ่งสงบจนฉันได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นรัว ไม่นะ ถอนคำพูดทันไหม แต่ไม่น่าจะทัน เพราะเขาตอบมาในประโยคที่ทำให้หัวใจสลาย...

    "ขอโทษนะ พี่มีแฟนแล้ว"

    ทุกอย่างล่มลงไม่เป็นท่า ความโรแมนติกคงมีแต่ในหนังสือนิยายเท่านั้นสินะ แล้วฉันก็ดันหลงละเมอไปกับความเพ้อฝันจนลืมมองโลกของความเป็นจริง ด้วยความที่ฉันยังไม่ยอมปล่อยมือจากเสื้อเขามั้ง เขาเลยถอนหายใจ และแกะมือฉันออกจากเสื้อ ปากพูดต่อ

    "เปิดหนังสือไปที่หน้า 104"

    ด้วยอะไรบางอย่าง อาจเป็นเศษเสี้ยวความรู้สึกจากสมองที่ตื้นชา ฉันจึงทำตามที่เขาบอก เปิดหนังสือ The Reader ไปที่หน้า 104 มองเห็นคำบรรยายเกี่ยวกับความรู้สึกของมิคาเอล ต่อฟลาว ชมิทซ์ลางๆ ก่อนที่จะถูกดึงความสนใจไปที่กระดาษแผ่นเล็กที่แทรกอยู่ แล้วฉันก็ยิ้ม ขณะที่เงยหน้าบอกพี่เขา พร้อมสบดวงตาภายใต้กรอบแว่นเหมือนกัน

    "ได้ค่ะ ได้อีกเป็นพันๆ ครั้งเลย..."

    กระดาษแผ่นนั้นเขียนว่า

    "เป็นแฟนกันไหม"
    ป.ล.คราวนี้ไม่ต้องยืมและคืนนะ



    Fin.

    Based on ชื่อหนึ่งในบัตรยืมหนังสือห้องสมุดเมื่อราวสิบกว่าปีที่แล้ว ขอบคุณและยินดีที่ไม่รู้จัก เพราะทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้จักกัน
    ป.ล. หนังสือที่พูดถึงในเรื่องนี้ มี Oscar Wilde's Fairy Tales (สนพ.ฟรีฟอร์ม) / สาวทรงเสน่ห์ (Pride and Prejudice แปลโดย จูเลียต สนพ.แสงดาว) และ เดอะ รีดเดอร์ (แปลโดยสมชัย วิพิศมากูล สนพ.มติชน)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in