1.
ร่างเพียวบางยืนเรียงหน้ากระดาน เนื้อผ้าบางปกปิดทรวดทรงโค้งเว้ายั่วยวน เครื่องประดับสีทองระยับดึงดูดสายตาของยักษ์ผู้เป็นใหญ่ในพื้นที่ มือหยาบลูบลวนลามเชลยที่แย่งชิงมาได้จากยักษ์กลุ่มอื่น
"เนื้อแน่นมือดี ถูกใจข้าจริง!" ยักษ์ใหญ่ส่งเสียงหัวเราะชอบใจในขณะที่เหล่าเชลยหญิงยืนเกาะกลุ่มกันด้วยความกลัว มีเพียงหนึ่งนางที่ยืนแยกกับคนอื่น คอยจ้องมองในขณะที่สุราไหลเข้าปาก เขี้ยวคมกัดฉีกเนื้อวัวป่าอย่างสบายอารมณ์ ลอบเปิดฝาขวดพิษแล้วรินลงในเหยือกเหล้า"เจ้า! เอาเหล้ามาเทให้ข้า!" เสียงตะโกนเรียกได้จังหวะที่พิษจะแทรกซึกเข้าไปในน้ำ
มือแกร่งยกเหยือกเหล้ารินลงในกระบอกไม้ไผ่ในมือของศัตรู มือใหญ่ลูบเล่นบั้นท้ายของคนที่คิดว่าเป็นสาวงาม "..กระด้างอย่างมิใช่สตรี" ดื่มกินยาพิษที่แฝงไว้ในแก้วจนหมด
เสียงหัวเราะคละกับไอสำลักเป็นสิ่งปกติในดงยักษ์ถ่อยไร้อารยธรรม ปกติจนไม่คิดเอะใจทหารยักษ์กระอักเลือดล้มลงทีละตนจนถึงคราวของยักษ์ที่เป็นใหญ่
"แค่กๆ!!" มือหนาไขว่คว้าเหยือกน้ำเพื่อบรรเทาความปวดแสบปวดร้อนในลำคอ
"..." ร่างผอมสูงถอดผ้าชิ้นบนที่เกะกะรุงรังออก พรานฝีมือฉกาจเฝ้ามองศัตรูทุรนทุรายจะหมดแรง ทหารยักษ์ที่แฝงตัวเข้ามาด้วยกันบุกเข้ามาเก็บกวาดยักษ์ที่ยังมีลมหายใจ
"แนบเนียนสมเป็นพรานจริง" ทหารยักษ์ร่างสูงใหญ่พูด หน้ากากครุฑส่งต่อจากมือถึงมือเจ้าของ "นี่ผ้านุ่ง ถอดเครื่องทรงสตรีนั่นเสียเถอะ ไม่กระดากผิวบ้างรึ"
"ไม่ต้องยุ่ง" พรานทมิฬตอบ ปลดเปลื้องเครื่องประดับที่ใช้อำพรางออก ฉีกชุดยาวเกะกะให้สั้นกระชับแล้วเดินจากไป ทิ้งกลิ่นอ่อนๆไว้ตามทางที่เดินผ่าน นกยักษ์นอนคอยท่าเจ้านายอยู่ไม่ห่าง
"ไม่กลับไปเข้าเฝ้าท่านจ้าวด้วยกันหรอกรึ" เสียงเพื่อนทหารตะโกนถามไล่หลัง สกุณเหราสบัดปีกพานายของตนบินสูงขึ้นไปบนฟ้า ไปในที่ที่ไม่มีใครล่วงรู้ ห่างไกลจากสิ่งมีชีวิตอื่น ที่ที่กลิ่นแห่งราคะจะไม่ลอยเข้าจมูกผู้ใด
เชือกเส้นใหญ่ผูกปมมัดเสียดสีเข้ากับผิวกาย ยืดร่างไว้กับคานไม้แข็งแกร่งในรังลับกลางป่า โพลงใต้ต้นไม้ใหญ่ นกใหญ่บินวนรอบบริเวณ โฉบไล่สัตว์ใหญ่ให้ออกไปพ้นโพรงไม้นั้น กลิ่นหอมยั่วยวนมาพร้อมความปวดแปลบทรมาน
2วัน 4วัน เวลาเลยผ่านไปเป็นอาทิตย์ กลิ่นเบาบางลง เจ้าของกลิ่นที่เหน็ดเหนื่อยจากการอดทนอดกลั้นกับอาการที่เกิดขึ้นในทุกเดือน ดึงปลดเชือกแล้วยันตัวลุกขึ้น ชำระเหงื่อไคลด้วยผ้าชุบน้ำในถ้วยเล็ก
นกใหญ่บินลงมาเดินวนเวียนที่หน้าโพรงไม้ เมื่อนายตนเดินออกมาจึงเข้าไปคลอเคลีย พรานทมิฬปีนขึ้นหลังสกุณเหราก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปยังที่ที่จากมา
"..พรานทมิฬ!" ทหารยักษ์เงยหน้ามองเงาดำบนฟ้าแล้วตะโกนให้สัญญาณ ปีกกว้างโบกสบัดพัดฝุ่นบนพื้นขึ้นมาฟุ้งทั่วบริเวณ "ท่านเทหะยักษารอพบเจ้าอยู่"
"ตอนนี้อยู่ที่ไหน" พรานทมิฬพยักหน้า แแล้วปล่อยให้สกุณเหราบินออกไป รอพบ..ก็คงเรียกไปถามเรื่องที่หายหัวไปเป็นอาทิตย์เหมือนเดิม ไม่ว่าจะบอกไปซักกี่ครั้งก็ยังเรียกไปพบอยู่เรื่อย
"ท่านเสด็จไปคอกวัว" ทหารยักษ์พูด "จะไปก็รีบไป หรือจะรอก็ไปรอที่ประทับ ให้ท่านเลือกวัวให้เสร็จแล้วค่อยเข้าเฝ้า"
คำพูดเหยียดหยามทำเขาคลื่นไส้ พรานทมิฬเดินตรงไปที่เต้นท์ผ้าหลังใหญ่ ทหารเฝ้ายามยกหอกขึ้นมาขวางกั้นเขาเอาไว้
"ได้ยินว่าท่านต้องการพบข้า ข้ามาเข้าเฝ้า" พรานทมิฬพูด
"เข้าเฝ้าทำไมไม่ไปรอที่ประทับวะ" ทหารยักษ์แยกเขี้ยว ไม่ใช่ยักษ์ทุกตนที่ยอมรับในตัวพรานคนสนิทของนายเหนือหัว "ใจเอ็งคงอยากจะมาสูดกลิ่นพวกวัวในคอกซะล่ะมั้ง"
"..." เขาไม่ใช่คนที่ยอมถูกเหยียดหยาม แต่ในขณะที่ร่างกายพึ่งฟื้นตัว ไม่มีทางเลยที่จะเอาชนะยักษ์ร่างใหญ่ตรงหน้าได้ พรานทมิฬยอมล่าถอยออกไป
"พรานทมิฬรึ" เสียงทุ้มต่ำพูดขึ้นจากในเต้นท์ผ้า ท้าวเทหะยักษาเดินออกมาจากสิ่งที่ยักษ์เรียกว่า 'คอกวัว' ลากจูงเด็กสาวชาวมนุษย์ถูกล่ามด้วยตรวนที่คอ "ครานี้หายไปนานกว่าคราก่อนนานนัก"
"ข้าไปในที่ที่ห่างไกล ใช้เวลานานในการกลับมา" พรานทมิฬตอบ ยักษ์สาวเดินตามออกมาโดยไร้โซ่ตรวน "คุยในยามนี้คงไม่เหมาะสม ไว้ข้าจะเข้าเฝ้าในวันพรุ่งนี้"
"ไม่ต้อง ตามข้ามา" เทหะยักษาพูดแล้วส่งตรวนให้พรานทมิฬก่อนจะเดินนำไปที่ที่ประทับของตนพร้อมกับนางยักษ์ที่เดินตามไปด้วยความเต็มใจ
พรานทมิฬมองเด็กสาวที่ถูกล่ามด้วยโซ่ เขาจำเธอได้ เธอคือเชลยของกลุ่มยักษ์กบฏที่เขาพึ่งไปทลายเมื่ออาทิตย์ก่อน ดูเหมือนเธอเองก็จำเขาได้เช่นกัน
"เดินตามมาดีๆ ไม่เช่นนั้นข้าจะลากเจ้าไป" เด็กสาวหันไปมองเชลยคนอื่นที่ขัดขืนแล้วถูกลากไปบนพื้น นางกลืนน้ำลายแล้วเดินตามไปอย่างไม่เต็มใจ
เขาไม่ได้อยากทำแบบนี้.. พวกยักษ์เรียกมันว่า 'คาวี' วรรณะที่ต่ำต้อยที่สุด พวกคาวีจะถูกรวมไว้ใน 'คอกวัว' เพื่อบำเรอเทหะยักษาเมื่อต้องการ แต่เมื่อเป็นเฉลยแล้ว ไม่ว่าจะในวรรณใด ถ้าท่าทางไร้ประโยชน์ใช้แรงงานไม่ได้แล้ว ก็ต้องมารวมกันอยู่ที่นี่ทั้งนั้น
เทหะยักษานั่งลงบนแท่นบรรทม นางยักษ์นั่งลงแทบเท้า กอดซบบนหน้าขาออดอ้อนด้วยมารยาทั้งหมดที่มี แต่นางไม่มีทางทำได้ เทหะยักษาไม่ใช่ยักษ์โง่เขลาอย่างพวกทหารยามหรือลนแรงงาน แม้ได้กลิ่นราคะของคาวี เจ้าแห่งยักษ์ก็ยังมีสติยับยั้งตนได้เสมอ
"นั่ง" พรานทมิฬพูดแล้วดึงตรวนกดลงเบาๆ เด็กสาวคุกเข่านั่งลงกับพื้น
"ที่ว่าไกลน่ั้น ไปถึงที่ใด" เทหะยักษาเอ่ยถามในขณะที่ลดมือลงลูบเล่นเส้นผมนุ่มของนางโลมที่เรียกตัวมา
"ทางใต้" พรานทิมฬตอบ "ข้าไปเยือนในแดนใหม่ เพื่อให้ในยามที่ท่านต้องการเคลื่อนไปทางได้จะได้รู้ทิศทาง"
"ข้าก็ไม่ได้เคลือบแคลงอันใด ใยจึงร้อนตัวนักเล่า" เทหะยักษาพูด
"..." พรานทมิฬไม่ได้ตอบ
"ที่เรียกเจ้ามาก็เพื่อเรื่องนี้" เทหะยักษาเรียกให้พรานทมิฬนำเชลยเดินเข้าไปใกล้ "ครั้งนี้เจ้าทำได้ดี ข้าหาเวลาที่จะตบรางวัลให้เจ้าอยู่นาน แต่ยังไม่เห็นสิ่งของอันใดที่มันจะสมกับความภักดีของเจ้า" มือใหญ่ดึงโซ่ตรวนเข้ามาใกล้ ใบหน้าขาวผ่องของเชลยนั้นแสดงถึงชาติตระกูลอันสูงส่ง
"ข้าไม่ได้ต้องการสิ่งใด" พรานทมิฬตอบ
"อย่าปฏิเสธให้ยาก" เทหะยักษาพูด "ข้ารู้หรอก เหตุผลที่เจ้าเที่ยวจรออกไปนั้น มันคืออาการของเทวาล่ะสิ"
"..." พรานทมิฬไม่ไปพูดอะไรตอบกลับ เขาดีใจเสียด้วยซ้ำที่ถูกเข้าใจผิด "เป็นดั่งที่ท่านว่า"
"เจ้านี่!" เทหะยักษาตบตักชอบใจ "แค่นางวัวไม่กี่ตัว! ข้าแบ่งให้ได้!" เขาพูดแล้วยักโซ่ตรวนใส่มือทหารคนสนิท "รับไป นี่คือรางวัลของเจ้า"
"..แต่"
"นางมนุษย์นี่มิใช่แค่สามัญชน เจ้าดูแล้วก็น่าจะรู้" เทหะยักษาพูดแล้วหันไปสนใจทรวงอกที่เบียดเข้าเรียกร้องความสนใจ "รับไปซะ อย่าขัดน้ำใจข้า บอกพวกทหาร ว่าคืนนี้เลี้ยงฉลองรับเจ้า"
"...รับด้วยเกล้า" พรานทมิฬพูดก่อนจะเดินถอยออกมาจากตำหนัก ปล่อยให้นายของตนรื่นเริงกับนางสนมที่พร้อมพลีกายให้ผู้เป็นใหญ่ หลังประตูผ้าหนามีเหล่าทหารยักษ์ที่จับจ้องรอผลการเข้าเฝ้า
พรานทมิฬเดินออกมาพร้อมของรางวัลที่ตนพึ่งได้รับ "คืนนี้เลี้ยงฉลอง" เขาพูด เหล่ายักษ์โห่ร้องแสดงความดีใจ เขาพานางเชลยเดินลับเลาะไปที่ที่พักของตน
"เจ้าจะทำอะไรข้า" เด็กสาวพูดด้วยเสียงหวาดกลัว
"ไม่รู้หรอกรึ ว่าเชลยวรรณะคาวีมีไว้ใช้ได้แค่อย่างเดียว" เขาถาม หน้าของเชลยสาวถอดสีจนซีดเผือก "แต่เจ้าก็ได้ยินแล้ว ว่าข้าไม่ได้ต้องการเจ้า"
"เช่นนั้นก็ปล่อยข้าไปเถิด" นางพูด
พรานทมิฬถอนหายใจแล้วยกร่างของเด็กสาวโยนลงบนกองผ้านุ่ม ยึดตรึงโซ่ตรวนไว้กับหลักแกร่งไม่มีทางหนี
"เปลี่ยนผ้านุ่งเสีย" พรานทมิฬพูด "ข้าไม่ได้อยากจะสมสู่กับเจ้า แต่ถ้าดื้อด้านนักข้าจะทำให้เจ้าฝันร้ายไปจนตาย" นางเชลยฟังคำขู่ดังนั้นจึงจำใจหันไปเลือกผ้าในกองมาปกปิดร่างกาย
เรื่องแบบนี้ไม่เคยอยู่ในหัวของเขา ทุกวันที่ตื่นมาพบแสงแดด มีแต่การระแวงระวังตัว ไม่ให้ตนเผยวรรณะที่แท้จริงของตนออกไปเพียงเท่านั้น
ปกปิดความจริง ว่าพรานคนสนิทที่เจ้าแห่งยักษ์ทั้งมวลไว้ใจนั้น มีวรรณะต่ำต้อยไม่ต่างจากพวกนางโลมในคอกวัว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in