เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
BACKYARD STORYSALMON HOUSE
BEHIND: MV มนุษย์ลืม

  • ไอเดีย

    ตอนที่แสตมป์ส่งเดโม่ 'มนุษย์ลืม' มาให้ ธนชาติและวิชัยนั่งคุยกันว่า เพลงนี้มันตีความไปได้หลายแบบมากเลย เพราะเพลงมันไม่ได้มีคำว่า 'รัก' หรือ 'เธอ' เลย เป็นแค่การกล่าวถึงการจัดการความทรงจำแบบลอยๆ เพราะงั้นแม่งจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ เป็นเรื่องชีวิต เป็นเรื่องหน้าที่ เรื่องเหตุการณ์ความขัดแย้งภายในบริษัทก็ยังได้

    วิชัยถึงกับเดินไปถามหนุงหนิง (บ.ก. สำนักพิมพ์บัน –และก็เป็นเพื่อนสนิทแสตมป์ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม) ว่าทำไมแสตมป์ถึงแต่งเพลงนี้ขึ้นมาก

    ธนช ถามแสตมป์อีกทีว่า อยากได้ MV แนวไหน พี่เขาก็บอกแค่ว่า ตามใจเลยครับ...
    โห! พี่โอเพ่นจนพวกเราโหวงๆ

    โอเค ทีนี้...พอไม่มีโจทย์อะไรมากำกับ ไอเดียพวกเราเลยไหลฟุ้งไปเรื่อย (คือปกติทำงาน Commercial ที่มีโจทย์มาแน่นๆ จนชิน การไม่มีโจทย์จึงเหมือน Sandra Bullock ใน Gravity นิดหน่อย) 

    ในครั้งแรก พวกเราตื่นเต้นกับการที่ได้ทำ MV กันจริงๆ ยิ่งเป็น MV ของแสตมป์ก็ยิ่งน่าสนุก ตอนนั้นพวกเรามีงานอื่นพันตัวอยู่หลายจ๊อบ เราก็รีบเคลียร์งานอื่นๆ ให้เร็วที่สุด เพราะอยากจะทำงานนี้เร็วๆ

    นัยน์ว่า เป็นการพักผ่อนทางสมองคิดอะไรหนุกๆ กัน

    ตัดภาพมา...ไอ้สัด! คิดไม่ออกเลยโว้ย!!!

    นั่งน้ำลายบูดกันอยู่สองสัปดาห์ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเบ่งอะไรออกมาได้เป็นชิ้นเป็นอัน
    (ปกติประชุมกันนัดเดียว ก็จะได้หัวเชื้ออะไรบางอย่างแล้ว)

    หนุงหนิงเอาเรื่องความตึ๊บของ วช และ ธนช ไปเล่าให้แสตมป์ฟัง
    แสตมป์ก็เลยแก้ไขปัญหาด้วยการเอาเพลงอื่นมาให้เลือก และดูเหมือนว่าหนึ่งในเพลงเหล่านั้นจะเป็นเพลงที่เพิ่งแต่งใหม่ เพื่อให้เข้ากับทาง Salmon House ให้มากขึ้น!
    เดี๋ยวก่อนนะ...คนเรามันไม่ควรแต่งเพลงได้ง่ายขนาดนั้นปะวะ

    หรือว่าเราสองคนแม่งจิตใจหยาบช้าเกินไปวะ?

    ไอเดียช่วงแรกๆ ที่คิดกัน เน้นไปในทาง 'อาการลืม' ซะมากกว่า เช่น
    - เอาโพสต์อิทมาเล่น (เพราะมันเป็นเรื่องเตือนใจไม่ให้ลืม) 
    อีกระดาษโพสต์อิทเนี่ย ปลุกปล้ำกันนานมากกกก สุดท้ายก็ไปต่อไม่ไหว
    - ทำ MV คาราโอเกะที่ขึ้นคำร้องเพลง 'ความคิด' (ก็คนทำมันลืม)
    - แสตมป์ไปสักที่แขน แต่ช่างสักจามระหว่างสัก ทำให้สักพลาด แสตมป์ร้องไห้อยากลืมรอยสักนี้เหลือเกิน (ฮา) 
    - เรื่องกองถ่าย MV ขี้ลืม ลืมย้ายไฟ นักแสดงลืมบท ลืมจัดพรอพ ไปจนถึงพี่แสตมป์ลืมเนื้อร้อง (ฮา) 
    - ฟุ้งไปถึงไอเดียว่า วันที่ปล่อย MV ก็ให้บอกอะไรสักอย่างไป แล้วไม่ปล่อยตามวันที่ประกาศ และอ้างว่า ลืม

    ...เนี่ย เนื้อเรื่องยังไม่ได้อะไรสักอย่าง มันคิดไปมั่วละ

    ฟุ้งไอเดียขึ้นมาเพียบ แต่เรายังไม่คลิ๊กกับมันสักที เหมือนเป็นนักมวยต่อยแย็บๆ รัวๆ แต่ยังไม่มีหมัดฮุคตรงใจ จนมาวันท้ายๆ ที่จะต้องเข้าไปเสนอ LOVEiS

    เราเลยทิ้งแนวทางเดิมที่พูดถึง 'อาการลืม' แล้วลองย้ายมาแนวทาง 'ไม่ลืม' หรือ 'สิ่งที่ตกค้างในหัว' ดู

    คือเริ่มจากการคิดเล่นๆ ว่า ให้พระเอกเปิดฮาร์ดดิสก์ แล้วภาพในโฟลเดอร์ 'แฟนเก่า' มีคลิปวีดีโอเก่าๆ ฯลฯ
    ติดอยู่ที่เนื้อเรื่องมันจะอยู่ในหน้าจอคอม หน้าจอมือถือ ซึ่งมันก็ดี แต่มัน Digital เกินไป แลดูจับต้องไม่ได้
    (อีกอย่าง...มันดูไปซ้ำกับหนัง 36 ของเต๋อ นวพลอีกด้วย)

    เราเลยได้ไอเดีย 'ย้อนอดีต' (จากการเปิดฮาร์ดดิสก์ย้อนดูเรื่องที่ผ่านมาแล้ว)
    ทีนี้ก็เลยเติม 'สิ่งที่จับต้องได้'

    'ย้อนอดีต' + 'สิ่งที่จับต้องได้' ก็คือ การจัดวางสิ่งของที่ดูแล้วระลึกถึงอดีต
    และสถานที่เดียวที่มีสิ่งของที่เล่าถึงอดีตที่ผ่านมา –นิทรรศการ

    'นิทรรศการ' อาจจะดูไม่ค่อยเท่ งั้นเป็น ให้เป็น Gallery งานศิลปะดีกว่า
    ทุกผลงานในงานนี้ สร้างจากความทรงจำของพระเอกหมดเลย

    ซึ่งพอมาสำรวจตัวเองกันจริงจังเกี่ยวกับความทรงจำของคนรักเก่า
    สิ่งของต่างๆ ในความทรงจำเหล่านั้น มักจะมีเธออยู่ด้วยเสมอ
    หนังที่ดูด้วยกัน, ทะเลที่ไปด้วยกัน, เพลงที่เคยฟังด้วยกัน

    และยิ่งบังเอิญที่คำว่า 'Exhibition' มีคำว่า 'EX' ที่แปลว่า 'แฟนเก่า' อยู่ด้วย

    นี่มันคลิ๊กยิ่งกว่าถูกหวย!

    แต่เดี๋ยวนะ...มันมีคนใช้ไอเดียนี้ไปหรือยังวะ?

    ลองเสิร์ชดูโปรเจคต่างๆ จากทั่วโลก ปรากฏว่า ยังว่างเว้ย มีคล้ายสุดคือ Museum of Broken Relationship ที่ยุโรป เป็นมิวเซียมที่ให้คนส่งข้าวของจากแฟนเก่าที่ไม่ใช้แล้วเข้ามาเก็บไว้ให้คนเดินดู 

    โอเค คอนเซ็ปต์เริ่มมาจากเหตุการณ์เดียวกัน แต่ปลายทางคนละแบบ รอดอยู่ๆ

    ธนช กับ วช ฟุ้งไอเดียงานศิลปะนู่นนี่ออกมา คุยกันอยู่สองคน ชอบกันอยู่สองคน พอเอาไปถาม หนอย เดอะ โปรดิวเซอร์ เธอถึงกับปวดกบาล เพราะด้วยความที่เนื้อเรื่องนี้ใช้ Setting เยอะพอสมควร
    เพราะเราสองคนต้องการถ่ายใน Art Gallery จริงๆ (เพราะ Setting ไฟสวยอยู่แล้ว) 

    ไหนจะผลงานที่นำมาจัดแสดง (อยากให้มิวเซียมนี้ มีผลงานในทุกแบบ ทั้งภาพถ่าย, ภาพสีน้ำมัน, Sculpter, VDO Art, หรือ Installation Art)

    แต่พอไอเดียนี้ดีที่สุด เราจึงต้องกลับมาเหลาไอเดียกันใหม่ ไม่ให้งานศิลปะมันเยอะเกินไป หรือเว่อร์จนเกินไป

  • ขายงาน

    พวกเรานัดเจอแสตมป์ที่ร้านกาแฟ 'Tom N Toms' ตรง Gateway เอกมัย เพื่อขายไอเดีย EXhibition

    ที่ร้านกาแฟ...ทุกคนเดินไปสั่งกาแฟ กลับมานั่งที่โต๊ะ

    แสตมป์ขึ้นบันไดเลื่อนมาที่ร้าน ทักทายกันตามประสา
    "คืองี้ครับ พวกเราลองเอาไอเดียเพลงมาคิดพัฒนาต่อ เราเลยได้ไอเดียว่า เราจะทำ MV นี้ให้เป็นงานนิทรรศการ ชื่อว่า 'The EXhibition นิทรรศการแฟนเก่า' โดยในงา..."
    "ซื้อ! ดี! เอา! โคตรเจ๋ง!" แสตมป์พูดสวน

    เวลาที่เหลือ นั่งรอกาแฟกัน
    "โอ้โห...ไอเดียดีแบบนี้ ส่งไลน์มาเล่าก็ได้แล้ว" แสตมป์กล่าว
    "เออ ไม่ต้องทำสตอรี่บอร์ดอะไรเลยนะครับ เจอกันตอนงานเสร็จเลย...งบน้อย"

  • ชิ้นงาน

    อย่างที่บอกว่างานนี้งบน้อย ดังนั้น มันจึงมีงานในนิทรรศการที่โดนเปลี่ยนเพราะเว่อร์เกินไป

    อะ ยกตัวอย่างอันที่เว่อร์ แล้วต้องเอาออก

    'เรือเป็ด'
    เรารู้สึกว่า ชิ้นงานที่มัน Over-sized ที่ใหญ่มาก มันเป็น Visual ที่สวย ยิ่งใน Gallery ขาวๆ คลีนๆ ถ้ามันมีเรือเป็ดสวนลุมหน้าตาห่วยๆ มันก็ยิ่งสวย
    ตัดภาพมา เรือเป็ดหาโคตรยากจริงๆ 'ให้ตายสิพับผ่า' (แสตมป์ครับ ถ้าอ่านถึงตรงนี้ Salmon House ขอเก็บค่า Tie-in ด้วยนะครับ)
    ควานหาทั่วกรุงเทพ ไปทั้งสวนสาธารณะและโรงงานไฟเบอร์กลาส ไม่มีใครให้เราเช่าเลย สุดท้ายไปได้ที่นึงมา ราคา 7,500 บาทขาดตัว (ไม่รวมค่าส่ง)
    โปรดิวเซอร์ เบรกเอี้ยด เกินงบ
    จบข่าว!

    สิ่งต่อมาที่อยากได้คือ 'รถบั๊ม'
    โปรดิวเซอร์ทำหน้านิ่งๆ "พวกมึง ไอ้แว่นสองตัว ช่วยทำอะไรที่มันง่ายๆ หน่อยได้มั้ย"

    ตัดภาพมา อะ 'กระเช้าชิงช้าสวรรค์' ก็ได้ ราคา 3,500 บาท (รวมค่าส่ง)
    อะ อะ...ก็ยังดี
    (โปรดิวเซอร์กัดฟันอนุมัติ)

    อะไรที่เราเคยคิดว่าถูก มันก็ไม่ถูกด้วยสิ
    เช่น 'ทราย' ที่เอามาใช้นั้น นึกว่ากระสอบละห้าสิบหกสิบบาท ปรากฏทั้งหมดซัดไปเกือบพัน ทีมงานบอกว่า จะเล่าว่าพระเอกกับนางเอกเคยไปทะเลด้วยกัน พี่จะไปใช้ทรายก่อสร้างไม่ได้ค่ะ มันต้องเป็นทรายทะเล มันจะละเอียดและขาว ก็โอเคๆ แพงหน่อยก็ได้

    ตัดภาพอีกที ทีมงานไปถ่าย Footage ที่หัวหินจริงๆ ปรากฏว่าทรายเหมือนทรายก่อสร้างมากกว่าซะงั้น
    แม่งเอ้ย! 555

    'พัดลม'
    เป็นอันเกือบสุดท้ายที่เราคิดได้ ตอนนั้นเราต้องการชิ้นงานชิ้นสุดท้ายที่จะทำให้พระเอกทนไม่ไหวจริงๆ
    ก็มาจากการเห็นพัดลมในออฟฟิศแม่งส่ายไปติดผนัง แล้วเราโคตรรู้สึกทรมาน เลยเอามาแต่งเป็นเนื้อเรื่องใส่เข้าไปใน MV ปรากฏเป็นชิ้นงานที่คนชอบมากที่สุดชิ้นหนึ่ง
    แสดงว่า...แม่งเป็นความทรมานสากลจริงๆ สินะ!

  • บท

    Back Story ก็คือ ชายคนหนึ่งถูกแฟนสาวบอกเลิก เพราะหญิงสาวทนพฤติกรรมไม่ใส่ใจของผู้ชายไม่ไหว (ไม่เกี่ยวกับมือที่สามใดๆ ทั้งสิ้น) เป็นการบอกเลิกที่จบลงที่ฝ่ายชายยอมรับผิดทุกอย่าง และยอมเลิกราแต่โดยดี

    เรื่องใน MV ทั้งหมด เกิดขึ้นในห้วงความคิดของพระเอกที่ยังย้อนกลับไปดูความทรงจำเดิมๆ ซ้ำๆ

    ตอนต้น นางเอกจึงทักทายด้วยคำว่า "อีกครั้ง" เพราะเขาเคยดูงานนี้มาก่อนแล้ว

    เราวางบทให้คู่รักคู่นี้ เป็นคู่รักซนๆ กวนๆ หน่อย โดยชิ้นงานที่แสดงจะเริ่มจากวันที่ทั้งคู่ยังดีกันอยู่ ไปจนถึงวันที่ทั้งคู่เลิกกัน

    บทตอนต้นจึงทำให้ติดตลก กวนตีนนิดหน่อย และชวนฝัน เพื่อที่ตอนท้ายจะดิ่งแรงๆ 

    ช่วงที่เขียนบทพูด ก็เป็นช่วงเวลาที่จั๊กกะจี๋ของวช และ ธนช มาก
    (เพราะทุกทีจะเขียนอะไรเลวๆ เสมอ)

  • Do Visual Lab

    ระหว่างที่เตรียมงาน เราก็ตะเวนหาเช่า Art Gallery ที่มีขนาดประมาณ 1 ไดโซะ
    (นั่นคือหน่วยวัดพื้นที่ที่พวกเราคุยกับแสตมป์)

    เราต้องการใช้ห้องที่ว่าเป็นเวลาทั้งหมด  2 วัน คือ วันที่ถ่าย MV และวันที่ให้คนเข้ามาดูงานจริงๆ 

    ก็ไหนๆ จะทำเป็นงานแสดงศิลปะแล้ว เราเลยชวน LOVEiS จัดมินิคอนเสิร์ตเล็กๆ จริงๆ กันซะเลย

    ซึ่งค่าเช่า Art Gallery ส่วนใหญ่ ก็เท่ากับงบประมาณทั้งหมดที่เรามีนั่นแหละ
    คะ...ความจนมันน่ากลัวจริงๆ นะครับท่านผู้ชม

    สุดท้ายเรามาค้นพบว่า ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ มักจะมี Art Gallery สำหรับแสดงงานนักศึกษาอยู่แล้วนี่!
    หรือไม่ก็ห้องประชุมอะไรสักอย่างที่สวยๆ หน่อย ก็น่าจะทดแทนกันได้

    ตัดภาพมาเราได้ห้อง 'Do Visual Lab' คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    แสตมป์เป็นศิษย์เก่าพอดี อาจารย์ใจดีก็เลยให้เช่าฟรี!
    เฮ!

  • สรุปงานนี้ Salmon สนุกกับมันมาก!
    โคตรจะงานทดลอง

    ยิ่งช่วงเตรียมชิ้นงาน ยิ่งไปกันใหญ่
    ตากล้อง ครีเอทีฟ ตัดต่อ เด็กฝึกงาน ต้องไปช่วยกันทำโทรศัพท์เชือก พ่นสี ทาสีกัน
    โมชั่นกราฟิคและเด็กฝึกงาน ก็มาช่วยกันทำงานนาฬิกา
    ส่วนโปรดิวเซอร์ก็ไปปาดสีน้ำมัน 33 เส้น
    บรรยากาศเหมือนอยู่ใต้ถุนมหาลัย

    ตอนถ่ายทำได้เพื่อนๆ น้องๆ มาช่วยแบบเอามันส์หลายคนมาก เราไม่รู้จะขอบคุณยังไง

    ตอนที่เห็นน้องๆ สร้างชิ้นงานจากจินตนาการให้กลายเป็นของจริง มันก็น่าขนลุกแล้วนะ
    พอมันถูกถ่ายทำเป็น MV ขึ้นมา ก็ยิ่งฟินแล้ว
    ยิ่งเอาแสตมป์ไปร้องเพลง 'มนุษย์ลืม' ในนิทรรศการจริงๆ และมีคนเข้าชมจริงๆ
    มันยิ่งมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

    งานนี้ เหนื่อยสัด แต่โคตรสนุก และมีความสุขมากๆ :->

  • เอ็ม

    'เอ็ม ยศฯ' เป็นคนแรกๆ ที่นึกถึง
    ในจอ เอ็มเป็นคนหน้าเศร้า ยิ้มก็ยังดูเศร้าอยู่
    เหมาะเป็นฝ่าย Passive แนวโดนทำร้ายจิตใจ
    ถึงแม้ตัวจริง เอ็มจะเป็นคนทะเล้นและกวนตีนก็ตาม

    ซึ่งเอ็มก็ทำได้จริงๆ
    พอให้ลงคลุก ยีภาพ โยเยแก้เชือก เอ็มทำได้อย่างน่าสมเพชมากๆ (ชม)

    น้องเอ็มช่างเป็นคนที่เหมาะกับการสูญเสียจริงๆ
    เล่น MV แต่ละที ไม่เคยมีความสุข
    สามารถไปดูเพลง 'ทางของฝุ่น' ได้

    บทนี้เราคิดว่า ยังไงเอ็มก็เอาอยู่แน่ๆ ที่ยากคือบทผู้หญิง...

  • ผ้าป่าน

    บทนี้แคสต์ยากและแคสต์นานที่สุด

    เราอยากได้ผู้หญิงที่ดูแวบแรก คือ ต้องเท่ ดูดุๆ นิดนึง มีความสดใสแต่ก็มีความเศร้าบางอย่างอยู่ในตาเราอยากได้ผู้หญิงที่เวลาเลิกกับแฟนแล้ว จะประคองอารมณ์ 'ฉันโอเค' ในสายตาที่ไม่ค่อยโอเคได้
    สัด...นี่มันสเปคอะไรวะ!

    ลองแคสต์น้องผู้หญิงอยู่หลายคนก็ยังไม่คลิ๊ก
    ส่วนใหญ่จะได้ผู้หญิงแนวเท่และแข็งแกร่งทุกคน ประมาณว่าโดนทิ้งก็ไม่เจ็บหรอก

    ก่อนถ่ายไม่นาน วิชัยบังเอิญเจอผ้าป่านในเน็ต แล้วพบว่าผ้าป่านมีตาที่โศกเศร้า
    คือหน้าจะยิ้มแต่ตาดำเศร้า

    บังเอิญกว่านั้น ผ้าป่านเป็น Curator (พูดง่ายๆ คือผู้จัดงานแสดงศิลปะ) อยู่แล้ว
    เนี่ย! พอมันจะได้มันก็พอดีเป๊ะทุกอย่าง

    สองวันต่อมา...สิริมา เข้ามาแคสต์และก็คลิ๊กทันที!

    ไม่ทันทีสิ ต้องปรับนิดหน่อย
    คือผ้าป่านเป็นคนกระฉับกระเฉง พูดเร็ว พูดคล่อง เราต้องมาปรับให้เธอสุขุม
    เพราะบทที่เธอได้รับมันค่อนข้างซับซ้อนนิดหน่อย คือต้องเล่นเป็นแฟนเก่าของผู้ชาย แต่ต้องนำเสนอชิ้นงานให้กับผู้ชายในลักษณะที่ไม่รู้จักกันเลย ไม่ว่าเอ็มจะมีปฏิกิริยาเว้าวอนยังไง ผ้าป่านจะต้องนิ่งๆ แข็งๆ ให้เป็น Artificial Intelligence เล็กน้อย

    แต่เราคิดว่าผ้าป่านมีความเศร้าเป็นทุนที่ดีอยู่แล้ว ดวงตาของเธอน่าจะทำงานใน MV 

    ปัญหาอีกอย่างที่เราปวดหัวมาก คือจะให้ผ้าป่านแต่งตัวยังไงดี คือ เราไม่รู้เลยว่า Curator ต้องแต่งตัวยังไง และที่สำคัญ...เราสองคนจะให้ผ้าป่านแต่งตัวยังไงไม่ให้เธอดูตลกวะ

    ตัดภาพมา...ถามผ้าป่านก็ได้วะ
    ผ้าป่าน: พี่ต้องการสีน้ำเงินเฉดไหนคะ อยากได้เนื้อผ้าแบบไหน Texture ยังไงดี ซาตินหรือผ้าฝ้ายดี อยากได้แบบทิ้งๆ หรืออยากได้แบบยับๆ

    ...คนละเอียดนี่มันละเอียดจริงๆ นะครับ

  • แสตมป์

    วช เจอแสตมป์ครั้งแรก ตอน 'สิ่งมีชีวิตในโรงแรม' พิมพ์ครั้งแรก
    น่าจะเป็นงาน A Book Fair ที่เชียงใหม่ครั้งแรกด้วย
    พี่กุ้ง A Day แนะนำให้รู้จักกับแสตมป์

    พี่กุ้ง: แสตมป์ครับ นี่วิชัยนะครับ วิชัย...นี่แสตมป์นะ
    แสตมป์ (หันมามองหน้า): รู้มั้ย จังหวัดอะไรเจอเลย...
    ...
    งงดิ! คนอะไรทักทายด้วยคำว่า "จังหวัดอะไรเจอเลย"
    วิชัย: เอ่อ มะ...ไม่รู้ครับ
    แสตมป์ (ชี้นิ้ว): น่านไง!!!!!
    วิชัย: ...
    แสตมป์เดินยิ้มๆ แล้วจากไป
    จบ.

    (ตอนที่คุยงานกัน ก็เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้แสตมป์ฟัง แต่พี่แกจำไม่ได้ละ)

    ส่วน ธนช นั้น แสตมป์ติดต่อให้เขาทำเอมวีให้ตั้งแต่ปีก่อนแล้ว ช่วงนั้น ธนช กำลังจะกลับไปทำงานที่นิวยอร์ก และแสตมป์ก็มีแผนจะไปนิวยอร์กกับแฟนพอดี
    เราจึงคุยกันว่า...ไว้ไปถ่าย MV ชิคๆ ที่นั่นด้วยกันนะครับ

    ตัดภาพมา แสตมป์บินไปแล้ว แต่ธนช นั้น Working Visa ยังไม่ผ่าน จึงแป้วซะอย่างนั้น
    ไม่นานต่อมา แสตมป์บินกลับมาแล้ว และกำลังจะออกเพลงใหม่
    แต่ธนช Working Visa ผ่านพอดี เลยปิ้วกันอีกครั้ง

    เวลาผ่านไปหนึ่งปี ทั้งคู่อยู่ในประเทศเดียวกันสักที และแสตมป์ก็มีซิงเกิ้ล 'มนุษย์ลืม' ออกมาพอดี
    โปรเจ็ค MV จึงเกิดขึ้นในที่สุด
    แฮ่ก!

    'แสตมป์' ตัวจริงเป็นคนสุภาพและให้เกียรติมากๆ มากเสียจน ธนช แอบเกร็งเสมอเมื่อต้องดีลงานด้วย
    จะกวนตีนพี่เขา ก็ยังไม่กล้า (แม้จะรู้ว่าพี่เขาก็กวนตีนเหมือนกัน 555)
    ธนช กลายเป็นคนเรียบร้อยไปทันที –เอาไว้งานหน้าจะออกลายกว่านี้นะครับ

    ในวันที่นัดคุยคอนเซ็ปต์กันครั้งแรกที่เอกมัยนั้น
    แสตมป์ทักโปรดิวเซอร์ว่า "น้องหน้าคุ้นๆนะครับ เคยไปลอนดอนมั้ยครับ"
    หนอย โปรดิวเซอร์ส่ายหน้า และบอกว่า "ไม่เคยค่ะ"
    แสตมป์จึงบอกว่า "ครับ พี่ก็ไม่เคยเหมือนกัน..."

    พอๆ กับ น่านไง ของ วช เลย...

  • Shooting

    สำหรับ Salmon House นี่น่าจะเป็นการออกกองครั้งที่สบายที่สุด

    อยู่ในห้องแอร์ (ทุกทีถ่ายกลางแดดตอนกลางวัน)
    ไม่ต้องเก็บเสียง (ทุกทีต้องเก็บเสียงแข่งกับทุกอย่างในซอย 3)
    และที่สำคัญ นักแสดงผ่านงานละครเวทีมาแล้วทั้งคู่
    (ทุกทีเจอแต่คนแก่ จำบทไม่ได้ คัทกันให้ตายไปข้าง)

    เนื่องจากห้อง Do เป็นห้องโล่งๆ ธนช กลัวว่ามันจะดูว่างๆ เหงาๆ เราจึงต้องพกฉากขาวไปด้วย เพื่อกั้นหลอกไปมาว่า ห้องนี้มีความซับซ้อนนะ

    ในซีนแรกๆ เอ็มจะต้องมีความสุข ที่ได้ระลึกถึงเรื่องน่ารักๆ แต่ไอ้เอ็มมันประเดิมซีนแรกด้วยความเศร้าสร้อยเบอร์ 10 จนต้องไปบอกให้มองผ้าป่านอย่างมีความสุขหน่อย
    ตัดมาอีกที... "เฮ้ยเอ็ม! เอ็งออกแนวหื่นไปว่ะ เอามองธรรมดาๆ ก็พอ"
    (ฮา)

    สิริมา ตัวจิ๋วมาก ต้องใส่ส้นสูงที่สูงปรี๊ด
    แต่ยัง...ยังไม่พอ! ยังต้องเอา Box มาให้ยืนซัพพอร์ตตลอด
    ฉากที่เดินบางอัน ต้องเอา Box มาต่อกันเป็นสะพานปลาเลยทีเดียว
    ดีแล้วที่ถ่าย MV ไม่ต้องเก็บเสียง เพราะเวลาเดินจะดัง ป็อก ป็อก ป็อก ตลอดเวลา (ฮา)

    ดูเหมือนผ้าป่านจะทำการบ้านเรื่องตัวเองพูดเร็วมาเป็นอย่างดี
    เธอก็เลยพูดให้ช้ากว่าปกติและพยายามไม่กระพริบตาเลย

    เย็นชาโคตรๆ

    ฉากที่ยากที่สุดคือ ฉากที่พระเอกระเบิดอารมณ์
    สิ่งที่อยากได้คือ ผ้าป่านเล่าไปเรื่อยๆ แล้วเอ็มจะต้องทนไม่ไหว และขอร้องให้ผ้าป่านหยุด
    วินาทีนั้นอยากให้ผ้าป่านหยุดมองเอ็มด้วยแววตาของคนรัก (ขอแค่วินาทีเดียว)
    ก่อนที่จะหันมาบรรยายชิ้นงานอย่างไร้อารมณ์ต่อ
    จนทำให้เอ็มทนไม่ไหว...ไปทำลายชิ้นงาน ซึ่งเป็น Climax ของเรื่อง

    ตอนถ่าย เราบรีฟผ้าป่านให้พูดถึงอนาคตที่จะสร้างกับเอ็ม ประมาณว่าเราจะมีบ้านด้วยกัน มีลูกด้วยกัน มีหมาหนึ่งตัว ต่างๆ นานา เพื่อให้เอ็มร้องไห้ให้ได้
    แต่ปรากฏว่าเอ็มไม่ยอมร้อง ทำยังไงก็ไม่ร้อง ปล่อยไหลอยู่นานมาก ก็ไม่ร้องซะที!

    คราวนี้ ก็เลยไปบอกผ้าป่านว่า ผ้าป่านรู้สึกผิดที่เลิกกับผู้ชายคนนี้ แต่เธอไม่สามารถอยู่กับคนที่ทำให้เธอทุกข์ใจได้อีกแล้ว เธอเสียใจในความไม่อดทนของตัวเอง ต่างๆ นานา
    เอ็มก็ไม่ร้องว่ะ

    บรรยากาศเริ่มเครียด เพราะเอ็มเริ่มเกร็ง
    และเราจ้างทีมไฟไว้ถึงแค่ 2 ทุ่ม เลยจากนี้เราต้องเสียค่าโอทีบาน

    โจ้ ครีเอทีฟ เข้าไปบรีฟนักแสดงอีกรอบ บรีฟนั่นนี่ พร้อมปิดท้ายว่า "ผ้าป่านตายแล้ว"
    ผ้าป่านยืนข้างๆ ได้ยิน "อ๊าว! นี่กูตายแล้วหรอเนี่ย"
    ตัดภาพมา ร้องไห้เขื่อนแตกพร้อมกันทั้งคู่ กลายเป็นคู่รักมาสารภาพบาปและพร้อมจะคืนดีกัน

    ผ้าป่านนนน แกต้องไม่ร้องสิโว้ยยยย!!!

    แต่สุดท้าย คัทที่อยู่ใน MV ก็คือคัทที่ผ้าป่านร้องไห้นั่นแหละ
    เป็นซีนหลุดเทคที่ดีมากๆ เป็นการกลั้นร้องไห้ที่ธรรมชาติสุดๆ

    ซีนสำคัญอีกซีนคือ ซีนที่เอ็มต้องพยายามถูสีน้ำมันออกจากผ้าใบเพื่อแก้ไขสิ่งที่ผ่านมา
    วิชัยกลัวอารมณ์ไม่ถึง ก็เลยกระซิบบอกเอ็มว่า ถ้าต้องพังงานชิ้นนี้ ก็ตามสบายเลยนะ ไม่ต้องอั้นอารมณ์

    ตัดภาพมา 'แคว่กกกกกกก!'
    เอ็มมันพังจริงจ้าาาา

    น้องฝึกงานเดินเข้ามากระซิบ "พี่คะ นั่นมัน 2,000 บาทเลยนะคะ"

    อืมมมม...หรือว่าที่มันพังเฟรมจริงๆ เพราะมันจะได้ไม่ต้องเล่นอีกเทควะ?

  • Trivia

    สาเหตุที่เป็นคำว่า Seen ของ Facebook แทนที่จะเป็น Read ของ Line
    เป็นเพราะ วช และ ธนช คุยงานผ่าน Facebook เป็นหลัก


    ไดอะล็อคของพระเอกที่ไม่มีเสียงพูด เป็นการ Improvise และเอ็มก็ลืมไปแล้วว่าตัวเองพูดอะไรบ้าง


    สิ่งที่ใช้เวลานานพอสมควรคือ Subtitle เลือกฟอนต์กันประมาณนึง และเลือกแถบสีกันนานมาก
    เพราะอยากให้คนอ่านง่าย และไม่กวนบรรยากาศ MV


    วินาทีที่ 00:06 จะมีชิ้นงานศิลปะวางไว้หนึ่งชิ้นด้านขวาจอ –นั่นคือขวดน้ำของ ธนช


    ในซีนรูปถ่ายขอเป็นแฟน ถ่ายกันนานมาก ไม่ว่าจะปรับโฟกัสยังไง ภาพถ่ายก็เบลอ
    ทีแรกนึกว่าเป็นอาถรรพ์เจ้าที่ซะแล้ว...
    มาดูอีกที อ๋อ รูปมันถ่ายมาเบลออยู่แล้ว!


    ซีนดีดยกทรง
    เราดีดยกทรงผ้าป่านแค่ครั้งเดียว
    (เดี๋ยว! ใจเย็นๆ เราสองคนไม่ได้ดีดเอง แต่เป็นมือ Co-Producer ที่เป็นผู้หญิงดีด)
    และที่เหลือเป็นร่างและยกทรงของน้องมังกร เด็กฝึกงาน (และเป็นมือของ Co-Producer ดีดเช่นเคย)


    ซีนดีดหลอด
    เป็นสิ่งที่ ธนช ชอบทำตอนมัธยมและอยากใส่เข้ามาในงานหลายรอบแล้ว ในที่สุดก็มีโอกาสเสียที
    แต่ผ้าป่านไม่เคยดีดหลอดมาก่อน ไม่รู้ว่าจะทำได้มั้ย
    ยิ่งหลอดลายๆ มันแข็งมาก ถือเป็นด่านบอสของนักดีดหลอด
    ปรากฏถ่ายจริง...สิริมาดีดทีเดียวแตกเสียงดัง
    แถมดีดเอง ตกใจเอง เดินหลุดโฟกัสเอง เดินเข้าโฟกัสเองด้วย #เมพ


    ทีแรกวช และธนช วางไว้ให้แสตมป์มาเล่นเป็นบทภารโรงถูพื้นในตอนท้ายเรื่องด้วยนะ


    ซีนผ้าป่านพันผ้าพันคอเหม่อมองกระจกรถนั้น พวกเรายกกองไปถ่ายทำกันที่เนปาล...
    ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริง
    แต่เราขอ Footage ของผ้าป่านตอนไปเที่ยวเมืองนอกมาประกอบ


    ที่นั่ง B17 - B18 เป็นตั๋วส่วนตัวของโปรดิวเซอร์เอง ที่นำมารีทัช
    มีความนัยน์...แต่ให้ไปถามโปรดิวเซอร์เองจะดีกว่า :->

    จบ.


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in