ความขัดแย้ง
“Ubi dubium ibi libertas”
สุภาษิตละตินข้างต้น แปลได้ว่า ‘ที่ใดมีคำถาม (หรือความสงสัย) ที่นั่นมีเสรีภาพ’
ทำไม ‘คำถาม’ หรือ ‘ความสงสัย’ ถึงเป็นอาหารหลักของเสรีภาพ? และที่สำคัญคือ ‘คำถาม’ หรือ ‘เสรีภาพ’ เกี่ยวอะไรกับความขัดแย้ง?
คำตอบของคำถามนี้ หากพูดแบบหักดิบที่สุด สามารถอภิปรายได้ครับว่า ทุกความขัดแย้งมีฐานอยู่ที่การตั้งคำถามบางอย่างขึ้นมาก่อน ซึ่งหลายครั้งก็เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ แต่บางครั้งก็กลายเป็นการตั้งคำถามที่นำไปสู่คำถามใหม่ๆ มากกว่า จะ นำพาไปสู่คำตอบที่ถ้วนทั่วชัดเจน ความขัดแย้งกับคำถามจึงเป็นของที่อยู่คู่กันเสมอ
แต่หากคำถามกับเสรีภาพเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกันอย่างที่สุภาษิตละตินโบราณข้างต้นว่าไว้ ความขัดแย้งก็คงต้องเกี่ยวกับเสรีภาพด้วยสิว่าแต่มันเกี่ยวโยงกันยังไง?อย่างนี้ครับ คือการใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างที่
เราคุ้นชินนั้นไม่ได้พิสูจน์การมีอยู่ของความเสรีโดยตัวมันเอง เราอาจแค่ได้รับอนุญาตให้อยู่อย่างที่เราเคยชินไปก็ได้ เพราะความเคยชินมันไม่วุ่นวาย ความเคยชินทำให้ทุกอย่างนิ่งสงบ ไม่ลำบาก ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องเข้าไปจัดการ เช่น เจ้านายสั่งให้ช่วยทำนู่นทำนี่นอกเวลางานเราก็ทำตามสั่งไป แม้จะแอบเบื่อแอบรำคาญบ้าง แต่จะได้ไม่ต้องมายุ่งยากลำบากทีหลัง หรือหลายครั้งก็ทำตามความคุ้นชินว่านายสั่งก็ต้องทำ โดยไม่ตั้งคำถามว่า “เขามีสิทธิ์อะไรมาใช้เรานอกเวลางานได้?” เป็นต้น
เพราะอย่างนี้ เราจึงจะรู้สึก หรือสัมผัสกับเสรีภาพได้จริงๆ ก็ต่อเมื่อเราสามารถตั้งคำถามต่อสภาวะที่เคยชินเหล่านั้นได้โดยไม่ต้องหลบซ่อน โดยเฉพาะการถามถึงแกนกลางของความเคยชินแล้ว กลับตาลปัตรมันเสียต่อเมื่อเราสามารถ ‘มีคำถาม’ ในลักษณะนี้ได้เท่านั้น เราจึงรู้สึกถึงเสรีภาพคำอธิบายเรื่องนี้มาจากนักคิดนักปรัชญาหลายคน แต่ที่มาแรงแซงทางโค้งในช่วงหลังคงจะเป็น สลาวอย ชิเชก (Slavo jžižek) นักปรัชญาชาวสโลวีเนีย ที่หากอธิบายอย่างย่นย่อก็คือ ไม่ใช่ว่าทุกคำถามจะแสดงถึงความมีเสรีภาพได้เหมือนกันหมด อย่างคำถามว่า “ห้องน้ำไปทางไหน?” เป็นคำถามที่ระบบโครงสร้าง
ซึ่งครอบเราอยู่นั้นอนุญาตให้ถามได้ แปลได้ว่าในระบบโครงสร้างที่เราอยู่นั้นมีคำถามที่ถามกันได้โดยทั่วไป อนุญาตให้ถามได้ กับคำถามซึ่งอยู่ในพรมแดนที่ไม่ถูกอนุญาตให้ถาม
นั่นแปลว่า คำถามที่ชนเพดานขอบเขตของการ ‘ถามได้-ไม่ได้’ เท่านั้นที่เป็นคำถาม ซึ่งท้าทายหรือตรวจสอบการมีอยู่เสรีภาพของเราแล้วที่ว่านำไปสู่การกลับตาลปัตรคืออะไร?
ถ้าการตั้งคำถามที่จ่อเพดานแบบที่ว่าเท่านั้นถึงจะตรวจสอบสภาวะความมีเสรีภาพของโครงสร้างที่มีอยู่ได้ หากเราถามคำถามที่จ่อเพดานนั้นออกไป แล้วถูกทำให้กลายเป็นเรื่องห้ามถาม (ไม่กลับตาลปัตร) ก็แปลว่ามันไม่มีเสรีภาพอะไรในการถามหรอก
แต่เมื่อคำถามที่จ่อเพดานนั้นสามารถผลักพรมแดนของการ ‘ถามได้’ ให้ไกลออกไปมากขึ้น (ว่าง่ายๆ ก็คือคำถามที่จ่อเพดานนั้นได้ถูกทำให้เป็นเรื่องที่ถามได้ ซึ่งเท่ากับมันไปขยายขอบเขตของเรื่องที่ถามได้ให้มากยิ่งขึ้น) นั่นถึงจะเป็นการกลับตาลปัตรสภาวะที่เราเคยชิน จากที่เคยคิดว่าถามไม่ได้ ให้กลายเป็นเรื่องปกติที่จะถามได้
และเฉพาะสภาวะแบบนี้เท่านั้นที่แปลว่าเสรีภาพยังคงมีอยู่ ซึ่งตรงกับสุภาษิตที่ว่า ‘ที่ใดมีคำถาม ที่นั่นมีเสรีภาพ’ ด้วย
ผมขอลองยกตัวอย่างใกล้ตัวสักนิด เช่น คนจำนวนมากที่ต่อให้โดนเจ้านายสั่งงานเยอะในระดับที่ไม่มีทางทำเสร็จได้ทัน แล้วเลือกที่จะนิ่งเฉย ไม่ตอบโต้ เพราะการอยู่นิ่งๆ รับคำสั่งตามที่เคยชินดูจะเป็นเรื่องที่ชักชวนให้ทำมากกว่า ดูปลอดภัยกว่า และเราก็รู้ว่าการถามเจ้านายกลับไปว่า
“คิดอะไรอยู่ถึงสั่งงานเยอะขนาดนี้? ประเมินความเป็นจริงเป็นมั้ย?”
นั้นมันจ่อเพดานของการ ‘ถามไม่ได้’ ไปแล้ว แต่เฉพาะคำถามแบบนี้แหละครับ ที่จะพิสูจน์สถานะของเสรีภาพในโครงสร้างที่ครอบเราอยู่ได้ หากถามแล้วเจ้านายโกรธและกลายเป็นคำถามต้องห้าม เหตุการณ์อาจจะจบลงที่ความขัดแย้งหรือดรามาใหญ่ในออฟฟิศ แต่หากเจ้านายโอเคกับคำถามที่เราไม่คุ้นชินที่จะถามและจ่อเพดานแบบนี้ นั่นต่างหากคือสิ่งที่พิสูจน์ว่าโครงสร้างที่กำลังครอบเราอยู่นั้นมีเสรีภาพ
‘คำถาม’ ในเซนส์นี้ จึงเป็นสิ่งที่คนจำนวนมากไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย โดยเฉพาะคำถามชวนมองความคุ้นชินที่เรียบนิ่งจากมุมมองที่ผิดจากความเคยชิน เพราะคำถามเหล่านั้นส่งผลให้สภาวะคุ้นชินที่นิ่งอยู่กระเพื่อมและขุ่นมัวได้
ความขุ่นมัวจากน้ำมือของคำถามจึงเป็นบ่อเกิดสำคัญหนึ่งของความขัดแย้ง เพราะมันป่าวร้องสิ่งที่ไม่ควรจะนึกถึง และทำลายวิถีอันเป็นปกติของชุมชนการเมืองที่อยู่รายล้อมมัน
ในแง่นี้ เราก็พอจะพูดได้ว่า ‘เสรีภาพ’ วางอยู่บนกองซากของ ‘ความขัดแย้ง’
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in