ไม่มีใครที่จะลุยไปในข้อมูลยุคปัจจุบันเพื่อที่จะทำการตัดสินใจอย่าง “ละเอียดถี่ถ้วน” เกี่ยวกับแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งของชีวิตได้เพียงลำพัง แต่ใครล่ะจะมีอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้แก้ปัญหาและสนองความต้องการของเรา ความชื่นชอบ แนวโน้ม และการพยากรณ์ทั้งหลายที่เราสกัดออกมาจากข้อมูลเหล่านั้นจะถูกนำไปใช้โดยองค์กรเพียงไม่กี่แห่งหรือมันจะมีไว้สำหรับเราทุกคนกันแน่และเราจะต้องจ่ายค่าตอบแทนเท่าใดในการปกปักรักษาดอกผลอันเกิดจากข้อมูลทางโซเชียลเหล่านั้น
ขณะที่เรากำลังจะร่วมกันเปิดเผยคุณค่าของข้อมูลทางโซเชียล ผมเชื่อว่าเราควรต้องโฟกัสไปที่การลงมือปฏิบัติด้วย ไม่ใช่โฟกัสเรื่องการเข้าถึงข้อมูลเพียงอย่างเดียว ในแต่ละวันเราได้เผชิญกับการตัดสินใจเลือกจำนวนมาก ซึ่งการตัดสินใจเลือกบางอย่างอาจปรากฏขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิต แต่ข้อมูลทางโซเชียลที่เราสร้างขึ้นในทุกวันนี้กลับมีอายุการจัดเก็บที่ยาวนานมาก พฤติกรรมของเราในวันนี้อาจส่งผลต่อตัวเลือกที่เราอาจได้เผชิญในอนาคตไปไกลถึงหลายทศวรรษ น้อยคนนักที่มีความสามารถในการสังเกตรู้ถึงทุกรายละเอียดแห่งการกระทำของตนหรือมีความสามารถที่จะวิเคราะห์ว่าพฤติกรรมหนึ่งๆ อาจส่งผลต่อพวกเขาอย่างไรบ้างไม่ว่าจะในระยะสั้นหรือระยะยาว การวิเคราะห์ข้อมูลทางโซเชียลช่วยให้เราสามารถระบุความเป็นไปได้และความน่าจะเป็นต่างๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่การเลือกในขั้นตอนสุดท้ายก็ยังต้องมาจากการตรึกตรองอยู่ดี
สิ่งหนึ่งที่เทคโนโลยีเหล่านี้ทำไม่ได้คือการตัดสินใจ...แทนปัจเจกบุคคลหรือแทนสังคม...ว่าอนาคตแบบไหนที่เราต้องการกฎหมายในหลายประเทศที่มีไว้ปกป้องปัจเจกบุคคลจากการกีดกันด้านการทำงานหรือระบบประกันสุขภาพที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอาจไม่มีอีกแล้วในวันพรุ่งนี้...ซึ่งในบางประเทศมันก็ไม่มีแต่แรกด้วยซ้ำ ลองนึกภาพหากคุณเลือกแชร์ข้อมูลในแอปเกี่ยวกับสุขภาพว่าคุณกำลังเป็นห่วงเรื่องคอเลสเตอรอลสูงหรือเลือกแชร์ข้อมูลแบบนี้ในเว็บไซต์บางเว็บเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับสูตรคุมอาหารหรือออกกำลังกายแล้วคุณคิดว่าข้อกังวลเหล่านั้นจะย้อนมาทำร้ายคุณได้ไหม ลองนึกภาพสิว่ามันจะเป็นอย่างไรถ้ากฎหมายเปิดช่องให้บริษัทประกันสุขภาพคิดเงินคุณแพงขึ้นหลังจากที่พวกเขาแจกแจงความเสี่ยงทางด้านสุขภาพของคุณออกมาเป็นข้อๆ พร้อมทั้งเสนอตัวเลือกอาหารเฮลท์ตี้อื่นๆ ให้คุณแล้วแต่คุณยังดันทุรังกินอาหารทอดและนั่งจ่อมอยู่บนโซฟาทั้งวันอยู่ดี ถ้าเกิดมีผู้จัดการบริษัทสักคนใช้บริการสืบค้นข้อมูลตามเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณแล้วนำข้อมูลนั้นมาฟันธงว่าไลฟ์สไตล์ของคุณไม่เหมาะกับงานในบริษัทของเขา สุดท้ายก็เลยไม่จ้างคุณล่ะ ความเสี่ยงพวกนี้มันมีอยู่จริงนะครับ
ถ้าคนคนเดียวที่สร้างและแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณก็คือตัวคุณคนเดียว แบบนี้ก็พอมีทางที่จะยับยั้งข้อมูลเสี่ยงๆ เอาไว้ได้ มันอาจทำให้คุณใช้ชีวิตลำบากขึ้นมาก แต่ก็เป็นไปได้ อย่างไรก็ดี เราไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกแบบนั้น เพราะคุณไม่สามารถควบคุมข้อมูลอะไรเกี่ยวกับตัวเองได้มากนักหรอก ซึ่งมันจะยิ่งเห็นชัดขึ้นเวลาที่ข้อมูลทางโซเชียลถูกนำไปใช้โดยกลุ่มธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่างๆ
ด้วยความที่ข้อมูลทางโซเชียลมีความเป็นประชาธิปไตยสูงมาก คำถามจึงตกอยู่ที่พวกเราทุกคนว่าเราจะรับมือกับมันให้ดีที่สุดได้อย่างไร เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีพัฒนาเร็วมากและบริษัทต่างๆซึ่งเป็นผู้รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลนั้นโดยหลักแล้วอยู่ในธุรกิจของการสร้างสรรค์และจัดระเบียบข้อมูลไม่ใช่การสร้างสรรค์และจัดระเบียบหลักการ คำถามเหล่านี้ถูกยกขึ้นมาพิจารณาเฉพาะเวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เผลอๆ อาจจะไม่มีใครสนใจที่จะพิจารณาเลยก็ได้ และเราก็ไม่ควรยกการตัดสินใจเกี่ยวกับหลักการซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่ออนาคตของเราไปอยู่ภายใต้การตัดสินใจของบริษัทข้อมูล
เราสามารถเห็นพ้องต้องกันได้ว่าข้อมูลทั้งหมดควรถูกรวบรวม ควบรวม หล่อหลอม และวิเคราะห์เพื่อให้เราอยู่ในฐานะที่จะเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของการตัดสินใจในเรื่องต่างๆได้ดีขึ้น แต่วิจารณญาณของมนุษย์คือสิ่งสำคัญในการพิจารณาข้อดีข้อเสียเหล่านั้นให้ลึกถึงเนื้อแท้ ชีวิตของคนเราไม่ควรถูกขับเคลื่อนโดยข้อมูล แต่ควรได้รับพลังจากข้อมูลต่างหาก
• หลักการสำหรับยุค “หลังความเป็นส่วนตัว” ขณะที่ปัจจุบันเรากำลังชื่นชมกับข้อมูลซึ่งเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตของเรามากขึ้นเรื่อยๆ ก็เคยมีความพยายามที่จะปกป้องผลประโยชน์ของพลเมืองมาหลายครั้งแล้ว ในช่วงทศวรรษ 1970
สหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรปได้เสนอหลักการเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลอย่างเป็นธรรมเอาไว้กว้างๆ พวกเขาบอกว่าเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าใครเป็นผู้เก็บข้อมูลส่วนตัวของเราไป และข้อมูลเหล่านั้นจะถูกนำไปใช้อย่างไรบ้าง เราถึงกับมีสิทธิ์ที่จะแก้ไขข้อมูลส่วนตัวซึ่งเห็นว่าไม่ตรงตามความเป็นจริงได้ 4 แต่ความคุ้มครองเหล่านี้ถือว่าทั้งแข็งไปและอ่อนไปสำหรับโลกแห่งการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งกำลังถูกสร้างขึ้นในทุกวันนี้
มันแข็งไปตรงที่ผู้ออกกฎคิดว่าคนเราจะสามารถตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวซึ่งถูกเก็บไปได้ครบทั้งหมด แอมะซอนอาจอธิบายได้อย่างละเอียดยิบว่าพวกเขานำข้อมูลของคุณไปใช้อย่างไรบ้างอาจสามารถอธิบายได้ชัดเสียจนช่วยให้คุณสามารถทำการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้ดีขึ้นด้วยซ้ำ แต่การทบทวนข้อมูลทั้งหมดอาจต้องใช้เวลามหาศาล มีสักกี่คนกันที่จะยอมขุดคุ้ยข้อมูลทั้งหลายเหล่านั้น มันจะเป็นประโยชน์ต่อคุณไหมที่จะไปดูว่าแอมะซอนให้น้ำหนักข้อมูลแต่ละชิ้นอย่างไร หรือคุณจะเลือกเอาผลสรุปของข้อมูลเหล่านั้นไปเลยดีกว่า5
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in